ประเด็นข่าวคราวที่น่าจะ “ฮอต” ที่สุด ขณะนี้ น่าจะหนีไม่พ้นกรณี “สนามบินเดียว!” ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย ซึ่งประมาณ 10 กว่าวันที่แล้ว นโยบายชัดเจนว่า จะย้าย “สายการบินไทย” ทั้งหมดไปประจำอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพียงสนามบินเดียว ในวันที่ 29 มีนาคม ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้ง “สายการบินต้นทุนต่ำ-โลว์คอสต์แอร์ไลน์” จะย้ายตามไปทั้งหมดปลายปี 2552
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป นโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปัจจุบันคือ “โสภณ ซารัมย์” โดยนายศรีสุข จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการฟื้นฟูการบินไทย ได้เสนอแนะว่า “ต้องย้าย” และกำหนดให้มีเพียงสนามบินเดียว (Single Airport)
เหตุผลที่นายศรีสุข จันทรางศุ อ้างว่า ถ้า “การบินไทย” ยังคงแยกใช้สองสนามบิน กล่าวคือ “สนามบินดอนเมือง” กับ “สนามบินสุวรรณภูมิ” จะทำให้ค่าใช้จ่ายของการบินไทยเพิ่มขึ้น กับสารพัดค่าใช้จ่ายที่บานไปอีกประมาณร้อยละ 60-70 แต่ถ้าย้ายการบินไทยทั้งหมดจะประหยัดค่าใช้จ่ายนับหลายร้อยล้านบาทต่อปี
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การที่กลุ่มของ “เพื่อนเนวิน” สามารถกุมกระทรวงสำคัญๆ ในรัฐบาลนี้ได้ พร้อมทั้ง “กลุ่มทุน” สนับสนุนหวนกลับไปคว้าตัวนายศรีสุขกลับเข้ามาช่วยราชการในกิจการกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง น่าวิเคราะห์ได้ว่า “ฝีไม้ลายมือระดับพระกาฬ” ของนายศรีสุข จันทรางศุ ต้องไม่ธรรมดา ที่ “รอบรู้” ทั้งหมด ทั้ง “วิชาเทพ-วิชามาร” กับ “การบริหารจัดการกิจการคมนาคม” ได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง นายเนวิน ยังยอมรับเลยว่า ฝีมือยังห่างไกลนายศรีสุข จนต้องใช้บริการแทบทุกกรณี ในแวดวงที่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม ทั้งๆ ที่ยังมีคดีความเป็น “ชะงักติดหลัง” อยู่เกี่ยวกับ “การทุจริตก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ”
เอาล่ะ เราคงไม่ว่ากัน เพราะฝีมือของนายศรีสุขนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่รู้เทคนิคทุกซอกทุกมุมในการตอบสนอง หาสารพัดวิธีให้กับนักการเมืองมาได้หลายยุคหลายสมัย จนต้องพึ่งพาตลอดเวลา เพราะฉะนั้น น่าจะเรียกว่า นายศรีสุข เป็น “เทวดาชั้นเซียน” ที่ “ซ่อนเมฆ-บนกลีบเมฆ-ในกลีบเมฆ” และสำคัญที่สุดคือ “ขี่เมฆที่มีทั้งเซียนและเทพคอยจัดให้!?!”
อย่างไรก็ตาม “สายการบินไทย” ก็ดี และ/หรือ “คนไทย” ทุกคนยังโชคดีที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามตะล่อมให้รัฐมนตรีคมนาคม “ชะลอ” ความคิดเอาไว้ก่อน ด้วยการศึกษาพิจารณาให้ดีที่สุดภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ก่อน จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย เนื่องด้วย ทั้ง “สารพัดกระแส” ไม่ว่า “กระแสสังคม-กระแสพนักงานการบินไทย-สหภาพฯ” ต่างๆ ที่ “แตกแยกทางความคิด” ว่า น่าจะคงสภาพการใช้และการบริการทั้งสองสนามบินไว้
ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้ไปพิจารณาทบทวนใหม่ทั้งหมด เนื่องด้วยต้องการให้มีการศึกษาตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อสมมติฐานต่างๆ ทั้งในแง่ “ส่วนต่าง” ของจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ทั้งสองสนามบิน ตลอดจน “ความคุ้มค่า” ที่จะใช้ “สนามบินเดียว” หรือ “สองสนามบิน”
แต่เท่าที่ได้มีการสดับตรับฟังจากสารพัดข้อมูลทุกทิศทุกทาง ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งใน “เชิงลึก” และไม่สำคัญเท่ากับ “เชิงลับ” ว่าน่าจะมี “วาระแฝง-วาระซ่อนเร้น” บางประการหรือไม่ ที่อยู่ดีๆ ก็จะมี “นโยบายสนามบินเดียว” โผล่ขึ้นมา โดยอาศัย “การบินไทย” เป็น “หัวหอกจุดประกาย” ให้ย้ายไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิภายในปลายเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำทั้งหมดปลายปี 2552
จาก “การซุบซิบนินทา” ของเหล่าบรรดา “นกกระจิบกระจอก” ต่างเห็นพ้องกันว่า น่าจะเป็น “แผนซ้อนแผน” ที่หวังผลเลิศกับ “การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2” หรือ “การสร้างเทอร์มินอล 2 (Terminal 2)” พร้อมกับ “ลานสนามบิน” ใหม่อีกต่างหาก เนื่องด้วย “งบประมาณก่อสร้าง” เพิ่มเติมนับหมื่นกว่าล้านบาท!
เพราะถ้ายังใช้นโยบายสองสนามบิน “ข้ออ้าง” ในการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะเกิดขึ้นได้ยาก โดยอ้างว่า การใช้สองสนามบินไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย แต่ถ้ามีสนามบินเดียวแล้ว การก่อสร้างขยายเพิ่มเติม จะคุ้มกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดมากกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว “ไม่น่าเป็นเช่นนั้นทั้งหมด!”
อย่างไรก็ตาม เราคงพิสูจน์อะไรไม่ได้ทั้งหมดว่า “วาระซ่อนเร้น” กับ “การสร้างเหตุการณ์” ด้วยการประท้วงของ “สหภาพการบินไทย” ที่แบ่งออกเป็น “สนับสนุน-คัดค้าน” ประกอบกับการผลักดันให้การบินไทยย้ายกลับไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปัจจุบันทันด่วน จะเป็นจริงดัง “ข้อสงสัย-ข้อสมมติฐาน” ข้างต้นหรือไม่ ในกรณีนี้ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์!”
จากข้อมูลที่ได้มานั้น สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันรองรับ “นักท่องเที่ยว-นักเดินทาง” ที่ใช้บริการอยู่ประมาณ 60 ล้านคนต่อปี สนามบินดอนเมืองประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งเรียกว่า น่าจะเกือบเต็มพิกัดอยู่แล้ว!
ถามว่า ถ้ายกเลิกสนามบินดอนเมือง “ผู้ใช้บริการ” จะต้องย้ายทั้งหมดมาที่สนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มเป็น 90 ล้านคนต่อปี สนามบินสุวรรณภูมิน่าจะแบกรับได้อีกเพียง 1-2 ปี และแน่นอน ก็จะมีการเสนอว่า “สนามบินสุวรรณภูมิ” ต้อง “ขยายเฟส 2”
ถามว่า แล้วจะทำอย่างไรกับสนามบินดอนเมือง ที่ปัจจุบันสามารถให้บริการได้อย่างพร้อมเพรียง และใช้เพียงสนามบินภายในประเทศเท่านั้นในส่วนของอาคารเท่านั้น ทำไมไม่ขยายสู่อาคาร 1 และอาคาร 2 ที่สามารถเสียบปลั๊กเปิดไฟ ทำความสะอาด แล้วเปิดบริการใช้ได้ทันที ยังไม่จำเป็นต้อง “ขยายเฟส 2” ภายใน 2-3 ปี หรือ 3-5 ปีนี้ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตัวเลขตกลงอย่างมากจากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก!
ท่านผู้อ่านที่เคยมีโอกาสได้เดินทาง อาจจะไกลใกล้ มากบ้างไม่มากก็น้อย ต่างรู้ดีว่า แต่ละประเทศและเมืองใหญ่ๆ ทั้งโลกนั้น แม้กระทั่งประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง แถบๆ บริเวณใกล้เคียงกับบ้านเรา เขาก็มี 2 สนามบินเป็นอย่างน้อย ส่วนเมืองใหญ่ๆ ระดับโลกนั้นไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเขาจะมีมากกว่า 2 สนามบินภายในเมืองเดียวกันด้วยซ้ำ
เราอย่าลืมว่า กรุงเทพมหานครปัจจุบันไม่ว่า เศรษฐกิจจะขึ้นลงเลวร้ายเพียงใด กรุงเทพฯ ยังเป็นศูนย์กลาง (HUB) ของ “ระบบการขนส่งทางอากาศ-ถนนหนทาง (Logistics)” ที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สามารถเชื่อมโยงได้หมดไปจนถึงประเทศจีนตอนล่าง เวียดนาม สิงคโปร์ ตลอดจน “กลุ่มประเทศ CLMV : กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม” ในทุกเส้นทางไม่ว่า ทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ
บรรดาสื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชนโดยทั่วไป มีความคิดเห็นตรงกันว่า “สนามบินเดียว” ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เนื่องด้วยในกลุ่มประเทศที่พัฒนาเจริญแล้ว ล้วนมี 2-3 สนามบินทั้งสิ้น อย่าลืมว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง ที่จริงๆ แล้วมีประชากรจำนวนมากสูงถึงประมาณ 10 ล้านคน และมีชาวต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยว ตลอดจนมาทำงานในบ้านเมืองเราอีกนับหลายล้านคน ต่างเดินทางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศประมาณวันละนับล้านคนทีเดียว
การย้ายสนามบินทั้งหมดมาปักหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แน่นอนจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินดอนเมืองปีละน่าจะประมาณ 30 ล้านคนเป็นอย่างน้อย จะต้องย้ายมาใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งหมายความว่า จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 60 กว่าล้านคน เป็นเกือบ 100 ล้านคนต่อปี ถามว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะแบกรักไหวหรือไม่ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป
สนามบินสุวรรณภูมิ แน่นอนที่จะต้องขยายเพิ่มเทอร์มินอล ตลอดจนลานสนามบินที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า ต้องก่อสร้างเพิ่มเติมใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท คำถามสำคัญที่ต้องถามซ้ำอีกครั้งว่า “การปิดสนามบินดอนเมือง” เป็น “วาระแฝง” ใช่หรือไม่ ในการขออนุมัติขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 เพื่อ “ความชอบธรรม” ในการขยาย
ถึงอย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะ “มองทะลุ!” ถึงกรณี “ข้อสงสัย!” ข้างต้น จึงอยากให้ชะลอการย้ายสนามบินเพื่อทำการศึกษา หาความเหมาะสม เพียงประเด็นสำคัญที่น่าห่วงใยอย่างมากว่า คุณอภิสิทธิ์ จะ “ต้านทาน!” ความตั้งใจและ “ผลประโยชน์” ไหวหรือไม่กับ “กลุ่มพลังอำนาจทางการเมือง” ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ตลอดจน “กลุ่มผลประโยชน์” ที่สนับสนุนอยู่ขณะนี้
ขอย้ำว่า “ภารกิจ” สำคัญ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรืออยากเป็น “นักการเมืองน้ำดี!” เพื่อพัฒนาตนเองชาติบ้านเมืองจนเป็น “รัฐบุรุษ” และอายุเพียง 40 กว่าปีเท่านั้น!
ไตร่ตรองให้รอบคอบกับ “ผลประโยชน์มหึมา” ที่ “ซ่อนเร้น” ไว้กับ “สนามบินเดียว!”
พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป นโยบายของกระทรวงคมนาคม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปัจจุบันคือ “โสภณ ซารัมย์” โดยนายศรีสุข จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการฟื้นฟูการบินไทย ได้เสนอแนะว่า “ต้องย้าย” และกำหนดให้มีเพียงสนามบินเดียว (Single Airport)
เหตุผลที่นายศรีสุข จันทรางศุ อ้างว่า ถ้า “การบินไทย” ยังคงแยกใช้สองสนามบิน กล่าวคือ “สนามบินดอนเมือง” กับ “สนามบินสุวรรณภูมิ” จะทำให้ค่าใช้จ่ายของการบินไทยเพิ่มขึ้น กับสารพัดค่าใช้จ่ายที่บานไปอีกประมาณร้อยละ 60-70 แต่ถ้าย้ายการบินไทยทั้งหมดจะประหยัดค่าใช้จ่ายนับหลายร้อยล้านบาทต่อปี
ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การที่กลุ่มของ “เพื่อนเนวิน” สามารถกุมกระทรวงสำคัญๆ ในรัฐบาลนี้ได้ พร้อมทั้ง “กลุ่มทุน” สนับสนุนหวนกลับไปคว้าตัวนายศรีสุขกลับเข้ามาช่วยราชการในกิจการกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง น่าวิเคราะห์ได้ว่า “ฝีไม้ลายมือระดับพระกาฬ” ของนายศรีสุข จันทรางศุ ต้องไม่ธรรมดา ที่ “รอบรู้” ทั้งหมด ทั้ง “วิชาเทพ-วิชามาร” กับ “การบริหารจัดการกิจการคมนาคม” ได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง นายเนวิน ยังยอมรับเลยว่า ฝีมือยังห่างไกลนายศรีสุข จนต้องใช้บริการแทบทุกกรณี ในแวดวงที่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม ทั้งๆ ที่ยังมีคดีความเป็น “ชะงักติดหลัง” อยู่เกี่ยวกับ “การทุจริตก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ”
เอาล่ะ เราคงไม่ว่ากัน เพราะฝีมือของนายศรีสุขนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่รู้เทคนิคทุกซอกทุกมุมในการตอบสนอง หาสารพัดวิธีให้กับนักการเมืองมาได้หลายยุคหลายสมัย จนต้องพึ่งพาตลอดเวลา เพราะฉะนั้น น่าจะเรียกว่า นายศรีสุข เป็น “เทวดาชั้นเซียน” ที่ “ซ่อนเมฆ-บนกลีบเมฆ-ในกลีบเมฆ” และสำคัญที่สุดคือ “ขี่เมฆที่มีทั้งเซียนและเทพคอยจัดให้!?!”
อย่างไรก็ตาม “สายการบินไทย” ก็ดี และ/หรือ “คนไทย” ทุกคนยังโชคดีที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามตะล่อมให้รัฐมนตรีคมนาคม “ชะลอ” ความคิดเอาไว้ก่อน ด้วยการศึกษาพิจารณาให้ดีที่สุดภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ก่อน จะตัดสินใจครั้งสุดท้าย เนื่องด้วย ทั้ง “สารพัดกระแส” ไม่ว่า “กระแสสังคม-กระแสพนักงานการบินไทย-สหภาพฯ” ต่างๆ ที่ “แตกแยกทางความคิด” ว่า น่าจะคงสภาพการใช้และการบริการทั้งสองสนามบินไว้
ประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้ไปพิจารณาทบทวนใหม่ทั้งหมด เนื่องด้วยต้องการให้มีการศึกษาตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนข้อสมมติฐานต่างๆ ทั้งในแง่ “ส่วนต่าง” ของจำนวนผู้โดยสารที่ใช้ทั้งสองสนามบิน ตลอดจน “ความคุ้มค่า” ที่จะใช้ “สนามบินเดียว” หรือ “สองสนามบิน”
แต่เท่าที่ได้มีการสดับตรับฟังจากสารพัดข้อมูลทุกทิศทุกทาง ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ทั้งใน “เชิงลึก” และไม่สำคัญเท่ากับ “เชิงลับ” ว่าน่าจะมี “วาระแฝง-วาระซ่อนเร้น” บางประการหรือไม่ ที่อยู่ดีๆ ก็จะมี “นโยบายสนามบินเดียว” โผล่ขึ้นมา โดยอาศัย “การบินไทย” เป็น “หัวหอกจุดประกาย” ให้ย้ายไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิภายในปลายเดือนมีนาคมนี้ พร้อมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำทั้งหมดปลายปี 2552
จาก “การซุบซิบนินทา” ของเหล่าบรรดา “นกกระจิบกระจอก” ต่างเห็นพ้องกันว่า น่าจะเป็น “แผนซ้อนแผน” ที่หวังผลเลิศกับ “การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2” หรือ “การสร้างเทอร์มินอล 2 (Terminal 2)” พร้อมกับ “ลานสนามบิน” ใหม่อีกต่างหาก เนื่องด้วย “งบประมาณก่อสร้าง” เพิ่มเติมนับหมื่นกว่าล้านบาท!
เพราะถ้ายังใช้นโยบายสองสนามบิน “ข้ออ้าง” ในการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 จะเกิดขึ้นได้ยาก โดยอ้างว่า การใช้สองสนามบินไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย แต่ถ้ามีสนามบินเดียวแล้ว การก่อสร้างขยายเพิ่มเติม จะคุ้มกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดมากกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว “ไม่น่าเป็นเช่นนั้นทั้งหมด!”
อย่างไรก็ตาม เราคงพิสูจน์อะไรไม่ได้ทั้งหมดว่า “วาระซ่อนเร้น” กับ “การสร้างเหตุการณ์” ด้วยการประท้วงของ “สหภาพการบินไทย” ที่แบ่งออกเป็น “สนับสนุน-คัดค้าน” ประกอบกับการผลักดันให้การบินไทยย้ายกลับไปใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างปัจจุบันทันด่วน จะเป็นจริงดัง “ข้อสงสัย-ข้อสมมติฐาน” ข้างต้นหรือไม่ ในกรณีนี้ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์!”
จากข้อมูลที่ได้มานั้น สนามบินสุวรรณภูมิปัจจุบันรองรับ “นักท่องเที่ยว-นักเดินทาง” ที่ใช้บริการอยู่ประมาณ 60 ล้านคนต่อปี สนามบินดอนเมืองประมาณ 30 ล้านคน ซึ่งเรียกว่า น่าจะเกือบเต็มพิกัดอยู่แล้ว!
ถามว่า ถ้ายกเลิกสนามบินดอนเมือง “ผู้ใช้บริการ” จะต้องย้ายทั้งหมดมาที่สนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มเป็น 90 ล้านคนต่อปี สนามบินสุวรรณภูมิน่าจะแบกรับได้อีกเพียง 1-2 ปี และแน่นอน ก็จะมีการเสนอว่า “สนามบินสุวรรณภูมิ” ต้อง “ขยายเฟส 2”
ถามว่า แล้วจะทำอย่างไรกับสนามบินดอนเมือง ที่ปัจจุบันสามารถให้บริการได้อย่างพร้อมเพรียง และใช้เพียงสนามบินภายในประเทศเท่านั้นในส่วนของอาคารเท่านั้น ทำไมไม่ขยายสู่อาคาร 1 และอาคาร 2 ที่สามารถเสียบปลั๊กเปิดไฟ ทำความสะอาด แล้วเปิดบริการใช้ได้ทันที ยังไม่จำเป็นต้อง “ขยายเฟส 2” ภายใน 2-3 ปี หรือ 3-5 ปีนี้ เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ตัวเลขตกลงอย่างมากจากสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก!
ท่านผู้อ่านที่เคยมีโอกาสได้เดินทาง อาจจะไกลใกล้ มากบ้างไม่มากก็น้อย ต่างรู้ดีว่า แต่ละประเทศและเมืองใหญ่ๆ ทั้งโลกนั้น แม้กระทั่งประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง แถบๆ บริเวณใกล้เคียงกับบ้านเรา เขาก็มี 2 สนามบินเป็นอย่างน้อย ส่วนเมืองใหญ่ๆ ระดับโลกนั้นไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเขาจะมีมากกว่า 2 สนามบินภายในเมืองเดียวกันด้วยซ้ำ
เราอย่าลืมว่า กรุงเทพมหานครปัจจุบันไม่ว่า เศรษฐกิจจะขึ้นลงเลวร้ายเพียงใด กรุงเทพฯ ยังเป็นศูนย์กลาง (HUB) ของ “ระบบการขนส่งทางอากาศ-ถนนหนทาง (Logistics)” ที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สามารถเชื่อมโยงได้หมดไปจนถึงประเทศจีนตอนล่าง เวียดนาม สิงคโปร์ ตลอดจน “กลุ่มประเทศ CLMV : กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม” ในทุกเส้นทางไม่ว่า ทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ
บรรดาสื่อมวลชน นักวิชาการ และประชาชนโดยทั่วไป มีความคิดเห็นตรงกันว่า “สนามบินเดียว” ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เนื่องด้วยในกลุ่มประเทศที่พัฒนาเจริญแล้ว ล้วนมี 2-3 สนามบินทั้งสิ้น อย่าลืมว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง ที่จริงๆ แล้วมีประชากรจำนวนมากสูงถึงประมาณ 10 ล้านคน และมีชาวต่างชาติ ทั้งนักท่องเที่ยว ตลอดจนมาทำงานในบ้านเมืองเราอีกนับหลายล้านคน ต่างเดินทางทั้งภายในประเทศและต่างประเทศประมาณวันละนับล้านคนทีเดียว
การย้ายสนามบินทั้งหมดมาปักหลักอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แน่นอนจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบินดอนเมืองปีละน่าจะประมาณ 30 ล้านคนเป็นอย่างน้อย จะต้องย้ายมาใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งหมายความว่า จะมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 60 กว่าล้านคน เป็นเกือบ 100 ล้านคนต่อปี ถามว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะแบกรักไหวหรือไม่ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป
สนามบินสุวรรณภูมิ แน่นอนที่จะต้องขยายเพิ่มเทอร์มินอล ตลอดจนลานสนามบินที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า ต้องก่อสร้างเพิ่มเติมใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท คำถามสำคัญที่ต้องถามซ้ำอีกครั้งว่า “การปิดสนามบินดอนเมือง” เป็น “วาระแฝง” ใช่หรือไม่ ในการขออนุมัติขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 เพื่อ “ความชอบธรรม” ในการขยาย
ถึงอย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะ “มองทะลุ!” ถึงกรณี “ข้อสงสัย!” ข้างต้น จึงอยากให้ชะลอการย้ายสนามบินเพื่อทำการศึกษา หาความเหมาะสม เพียงประเด็นสำคัญที่น่าห่วงใยอย่างมากว่า คุณอภิสิทธิ์ จะ “ต้านทาน!” ความตั้งใจและ “ผลประโยชน์” ไหวหรือไม่กับ “กลุ่มพลังอำนาจทางการเมือง” ของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ตลอดจน “กลุ่มผลประโยชน์” ที่สนับสนุนอยู่ขณะนี้
ขอย้ำว่า “ภารกิจ” สำคัญ ถ้าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรืออยากเป็น “นักการเมืองน้ำดี!” เพื่อพัฒนาตนเองชาติบ้านเมืองจนเป็น “รัฐบุรุษ” และอายุเพียง 40 กว่าปีเท่านั้น!
ไตร่ตรองให้รอบคอบกับ “ผลประโยชน์มหึมา” ที่ “ซ่อนเร้น” ไว้กับ “สนามบินเดียว!”