เอเอฟพี – “โอบามา” ยืนกราน “จีน”ควรมั่นใจเต็มที่ในเศรษฐกิจอเมริกา หลังผู้นำแดนมังกรแสดงความเคลือบแคลงต่อความปลอดภัยของการลงทุนของปักกิ่งในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์
คำพูดดังกล่าวของผู้นำสหรัฐฯมีขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าวิจารณ์สถานะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มของเม็ดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่จีนลงทุนกับพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวภายหลังการพบปะกับลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เมื่อวันเสาร์ (14) ว่า ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่นักลงทุนทั้งหมดสามารถมั่นใจเต็มที่ในความมั่นคงปลอดภัยของการลงทุนในสหรัฐฯ
“มีเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้ว่าแม้ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ ยังมีการลงทุนไหลเข้าสู่สหรัฐฯ อย่างแท้จริง ผมคิดว่าเหตุผลดังกล่าวก็คือการยอมรับว่าเรามีเสถียรภาพสูงสุดไม่เฉพาะในด้านระบบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบการเมืองด้วย”
โอบามาเสริมว่าความเห็นนี้ใช้ได้ทั้งกับเครื่องมือการลงทุนของกระทรวงคลัง และการลงทุนในภาคเอกชนและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ (13) เวินกล่าวกับผู้สื่อข่าวในปักกิ่งว่า ตนกังวลกับความปลอดภัยของเงินลงทุนของจีนจำนวนมหาศาลในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญวิกฤตร้ายแรงที่สุดในช่วงหลายทศวรรษ และต้องการให้วอชิงตันดำเนินการตามที่รับปากและรักษาสภาพการเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือ รวมถึงรับประกันความปลอดภัยของสินทรัพย์จีน
คำพูดของผู้นำแดนมังกรสร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาดทั่วโลก รวมถึงบ่อนทำลายความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนครั้งล่าสุด หลังจากสัปดาห์ที่แล้วเกิดความตึงเครียดด้านการทหาร เมื่อสหรัฐฯ ระบุว่าเรือจีนก่อกวนเรือตรวจการณ์ “อิมเพกเคเบิล” ของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ ทำให้ต้องใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อหลีกเลี่ยงการชน ขณะที่จีนโต้ว่าอิมเพกเคเบิลกำลังปฏิบัติภารกิจในการสอดแนม
จีนยังไม่เห็นด้วยที่วอชิงตันวิจารณ์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในทิเบต อย่างไรก็ดี สองประเทศพยายามลดความขัดแย้งโดยหยางเจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสฯ (12)
ทั้งนี้ ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ปักกิ่งถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ มูลค่า 727,400 ล้านดอลลาร์ มากกว่าญี่ปุ่นที่ถืออยู่ 626,000 ล้านดอลลาร์
ในฐานะเจ้าหนี้ใหญ่สุดของสหรัฐฯ จีน “จึงมีความสนใจอย่างที่สุดต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ” เวินกล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การขาดความเชื่อมั่นในพันธบัตรคลังสหรัฐฯ อาจฉุดค่าดอลลาร์และบีบให้วอชิงตันต้องขึ้นดอกเบี้ย
เดือนที่ผ่านมา ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ขอให้จีนลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ต่อไป เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังหยุดนิ่งของอเมริกา และส่งเสริมให้จีนนำเข้าสินค้า รวมถึงแสดงให้เห็นว่าจีนตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่าสองประเทศเกี่ยวดองกันใกล้ชิด “ถ้าจะรุ่งหรือร่วงก็ต้องไปด้วยกัน”
อนึ่ง เชื่อกันว่าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศส่วนใหญ่ของจีน ซึ่งมีถึง 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปีที่แล้วนั้น ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้สหรัฐฯเสียเป็นส่วนใหญ่
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาวก็กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยต่อการลงทุนเท่ากับสหรัฐฯ อีกแล้ว
เดือนที่แล้ว โอบามาเปิดเผยข้อเสนองบประมาณมูลค่า 3.55 ล้านดอลลาร์ ที่ประกอบด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศและการศึกษา โดยมีการคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2009 แต่จะลดลงเหลือ 1.171 ล้านล้านดอลลาร์ในปีถัดไป
จีนนั้นเป็นกังวลว่าหนี้มหาศาล ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเกือบ 800,000 ล้านดอลลาร์ของโอบามาเพื่อผลักดันการเติบโตของสหรัฐฯ อาจส่งผลลบต่อสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ซึ่งผู้สังเกตการณ์บางรายยอกว่าอาจจะเป็นการกระตุ้นให้จีนลดการถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
ภายในจีนเองก็มีการวิจารณ์ว่า ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา จีนควรลงทุนในบ้านแทนที่จะไปอุดหนุนประเทศที่รวยที่สุดในโลก หรือกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ในประเทศอื่นๆ แทน
คำพูดดังกล่าวของผู้นำสหรัฐฯมีขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าวิจารณ์สถานะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มของเม็ดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่จีนลงทุนกับพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวภายหลังการพบปะกับลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล เมื่อวันเสาร์ (14) ว่า ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่นักลงทุนทั้งหมดสามารถมั่นใจเต็มที่ในความมั่นคงปลอดภัยของการลงทุนในสหรัฐฯ
“มีเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้ว่าแม้ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ ยังมีการลงทุนไหลเข้าสู่สหรัฐฯ อย่างแท้จริง ผมคิดว่าเหตุผลดังกล่าวก็คือการยอมรับว่าเรามีเสถียรภาพสูงสุดไม่เฉพาะในด้านระบบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระบบการเมืองด้วย”
โอบามาเสริมว่าความเห็นนี้ใช้ได้ทั้งกับเครื่องมือการลงทุนของกระทรวงคลัง และการลงทุนในภาคเอกชนและอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ (13) เวินกล่าวกับผู้สื่อข่าวในปักกิ่งว่า ตนกังวลกับความปลอดภัยของเงินลงทุนของจีนจำนวนมหาศาลในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญวิกฤตร้ายแรงที่สุดในช่วงหลายทศวรรษ และต้องการให้วอชิงตันดำเนินการตามที่รับปากและรักษาสภาพการเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือ รวมถึงรับประกันความปลอดภัยของสินทรัพย์จีน
คำพูดของผู้นำแดนมังกรสร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาดทั่วโลก รวมถึงบ่อนทำลายความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนครั้งล่าสุด หลังจากสัปดาห์ที่แล้วเกิดความตึงเครียดด้านการทหาร เมื่อสหรัฐฯ ระบุว่าเรือจีนก่อกวนเรือตรวจการณ์ “อิมเพกเคเบิล” ของสหรัฐฯ ในทะเลจีนใต้ ทำให้ต้องใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อหลีกเลี่ยงการชน ขณะที่จีนโต้ว่าอิมเพกเคเบิลกำลังปฏิบัติภารกิจในการสอดแนม
จีนยังไม่เห็นด้วยที่วอชิงตันวิจารณ์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในทิเบต อย่างไรก็ดี สองประเทศพยายามลดความขัดแย้งโดยหยางเจี๋ยฉือ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ไปเยือนทำเนียบขาวเมื่อวันพฤหัสฯ (12)
ทั้งนี้ ณ สิ้นปีที่ผ่านมา ปักกิ่งถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ มูลค่า 727,400 ล้านดอลลาร์ มากกว่าญี่ปุ่นที่ถืออยู่ 626,000 ล้านดอลลาร์
ในฐานะเจ้าหนี้ใหญ่สุดของสหรัฐฯ จีน “จึงมีความสนใจอย่างที่สุดต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ” เวินกล่าว
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การขาดความเชื่อมั่นในพันธบัตรคลังสหรัฐฯ อาจฉุดค่าดอลลาร์และบีบให้วอชิงตันต้องขึ้นดอกเบี้ย
เดือนที่ผ่านมา ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ขอให้จีนลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ต่อไป เนื่องจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังหยุดนิ่งของอเมริกา และส่งเสริมให้จีนนำเข้าสินค้า รวมถึงแสดงให้เห็นว่าจีนตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่าสองประเทศเกี่ยวดองกันใกล้ชิด “ถ้าจะรุ่งหรือร่วงก็ต้องไปด้วยกัน”
อนึ่ง เชื่อกันว่าทุนสำรองเงินตราต่างประเทศส่วนใหญ่ของจีน ซึ่งมีถึง 1.95 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปีที่แล้วนั้น ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้สหรัฐฯเสียเป็นส่วนใหญ่
โรเบิร์ต กิบส์ โฆษกทำเนียบขาวก็กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยต่อการลงทุนเท่ากับสหรัฐฯ อีกแล้ว
เดือนที่แล้ว โอบามาเปิดเผยข้อเสนองบประมาณมูลค่า 3.55 ล้านดอลลาร์ ที่ประกอบด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านสาธารณสุข การเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศและการศึกษา โดยมีการคาดการณ์ยอดขาดดุลงบประมาณ 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2009 แต่จะลดลงเหลือ 1.171 ล้านล้านดอลลาร์ในปีถัดไป
จีนนั้นเป็นกังวลว่าหนี้มหาศาล ซึ่งรวมถึงมาตรการกระตุ้นเกือบ 800,000 ล้านดอลลาร์ของโอบามาเพื่อผลักดันการเติบโตของสหรัฐฯ อาจส่งผลลบต่อสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ซึ่งผู้สังเกตการณ์บางรายยอกว่าอาจจะเป็นการกระตุ้นให้จีนลดการถือครองพันธบัตรคลังสหรัฐฯ
ภายในจีนเองก็มีการวิจารณ์ว่า ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา จีนควรลงทุนในบ้านแทนที่จะไปอุดหนุนประเทศที่รวยที่สุดในโลก หรือกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ในประเทศอื่นๆ แทน
