เอเอฟพี - ความแตกตื่นในตลาดการเงินโลกดึงดูดนักลงทุนแห่เข้าหาแหล่งลงทุนปลอดภัย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ดิ่งลงไปอยู่เฉียด 0%
ความต้องการการลงทุนระยะสั้นที่ปลอดภัยที่เข้าขั้นอลหม่าน ฉุดให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นของกระทรวงการคลัง ซึ่งก็คือบรรดาตั๋วเงินคลังสหรัฐฯทั้งหลาย กำลังลดต่ำฮวบฮาบ โดยตั๋วเงินคลังชนิดระยะ 4 สัปดาห์และชนิด 3 เดือนลดลงอยู่ที่ 0.01% เมื่อวันศุกร์ (5) จาก 1.515% และ 1.785% ตามลำดับในช่วงต้นเดือนกันยายน
ตราสารหนี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯชนิดอื่นๆ ที่มีระยะเวลาไถ่ถอนคืนยาวกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรคลัง หรือตั๋วเงินคลัง ก็มีอัตราผลตอบแทนลดลงทำสถิติต่ำสุดเช่นเดียวกัน อาทิ พันธบัตรคลังระยะ 10 ปีลดลงอยู่ที่ 2.505% และระยะ 30 ปี 3.005% ณ ช่วงหนึ่งของการซื้อขายวันศุกร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังระยะ 6 เดือนอยู่ที่ 0.20%
อัตราผลตอบแทนที่ลดลงสะท้อนถึงความต้องการเครื่องมือการลงทุนเหล่านี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดในโลกท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาด
เกร็ก มิชาโลว์สกี้ นักวิจัยของเว็บไซต์การเงินเอฟเอ็กซ์ดีดี กล่าวว่าขณะนี้นักลงทุนดูเหมือนเต็มใจขายหุ้นและมาช้อนซื้อตราสารหนี้กระทรวงการคลังแทน ปัจจัยสำคัญคือความกลัว เนื่องจากนักลงทุนค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่มีทางผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด และแนวโน้มโดยรวมของอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยนโยบาย "เฟดฟันด์เรต" ลงมาอยู่ที่ 1.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดลงต่อไปอีก
ทว่า บ็อบ ไอเซนเบส นักวิเคราะห์ของคัมเบอร์แลนด์ แอดไวเซอร์ส มองว่าอัตราผลตอบแทนที่ต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเป็นสัญญาณ 'การรวน' ของตลาด โดยแจงว่า พวกตราสารหนี้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต่างก็กำลังย่ำแย่เช่นเดียวกับหุ้น อาทิ บรรดาพันธบัตรเทศบาลของสหรัฐฯ กำลังจ่ายผลตอบแทนสูงถึง 6.0% โดยไม่หักภาษี และยิ่งสูงกว่านั้นอีกสำหรับพวกหุ้นกู้ ซึ่งก็คือตราสารหนี้ของภาคบรรษัท แต่ความกลัวว่าจะมีการผิดนัดชำระหนี้และการขาดข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพพันธบัตรและหุ้นกู้เหล่านี้ จึงยังคงทำให้นักลงทุนหนีไปหาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ
ไอเซนเบสเสริมว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พันธบัตรคลังและตั๋วเงินคลัง เป็นที่ต้องการมากขึ้นคือ การตัดสินใจของเฟดในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงิน ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดผ่านธนาคารกลางแห่งอื่นๆ
ทว่า ธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์หลายแห่งลังเลที่จะนำเงินนี้ไปปล่อยกู้แบบปกติ และหันมาซื้อพันธบัตรและตั๋วเงินคลังกันยกใหญ่
คำถามสำคัญสำหรับตลาดขณะนี้คือ ตลาดพันธบัตรและตั๋วเงินคลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตกหรือเปล่า
แม้อัตราผลตอบแทนต่ำเปิดโอกาสให้วอชิงตันกู้ยืมได้ถูกลง แต่ไอเซนเบสชี้ว่า สถานการณ์นี้อาจเป็นอันตรายทั้งต่อเศรษฐกิจและค่าเงินดอลลาร์ เพราะเมื่อฟองสบู่แตก นักลงทุนจะแห่ขายพันธบัตรและตั๋วเงินคลัง บีบให้รัฐบาลต้องจ่ายผลตอบแทนสูงขึ้นสำหรับพันธบัตรและตั๋วเงินคลังที่ขายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเหวี่ยงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไมค์ ลาร์สัน นักวิเคราะห์ของเวสส์ รีเสิร์ช สำทับว่าตลาดพันธบัตรระยะยาวอาจเกิดเป็นการแตกตัวของฟองสบู่ครั้งใหญ่ที่สุด ที่ร้ายแรงกว่าฟองสบู่ยุคดอทคอมและตลาดอสังหาริมทรัพย์
"พันธบัตรและตั๋วเงินคลังแทบไม่เคยเคลื่อนไหวเร็วและแรงเท่านี้มาก่อน และอัตราดอกเบี้ยที่สวนทางกับราคาพันธบัตรก็แทบไม่เคยลดต่ำและลดเร็วขนาดนี้"
ลาร์สันเสริมว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคลังระยะ 10 ปีดิ่งลงจาก 4.08% เมื่อกลางเดือนตุลาคมอยู่ที่เกือบ 2.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากช่วงกลางทศวรรษ 1950
"มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อได้ว่า ความต้องการพันธบัตรและตั๋วเงินคลังจะไม่ยั่งยืน และวันสิ้นสุดกำลังมาถึงอย่างรวดเร็ว"
ซาล กาเทียรี นักเศรษฐศาสตร์ของบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ยอมรับว่าเวลานี้นักลงทุนโยนเงินใส่ตลาดพันธบัตรคลังด้วยความเชื่อมั่นแรงกล้า เหมือนตอนซื้อบ้านและหุ้นดอทคอมในยุครุ่งเรือง
กระนั้น กาเทียรีเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อถูกปราบปรามราบคาบไปแล้ว และนักลงทุนยังคงมั่นใจในรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้น แม้ราคาพันธบัตรและตั๋วเงินคลังตอนนี้สูงเกินไป แต่คงไม่ถึงกับทำให้ฟองสบู่แตกง่ายๆ
ความต้องการการลงทุนระยะสั้นที่ปลอดภัยที่เข้าขั้นอลหม่าน ฉุดให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นของกระทรวงการคลัง ซึ่งก็คือบรรดาตั๋วเงินคลังสหรัฐฯทั้งหลาย กำลังลดต่ำฮวบฮาบ โดยตั๋วเงินคลังชนิดระยะ 4 สัปดาห์และชนิด 3 เดือนลดลงอยู่ที่ 0.01% เมื่อวันศุกร์ (5) จาก 1.515% และ 1.785% ตามลำดับในช่วงต้นเดือนกันยายน
ตราสารหนี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯชนิดอื่นๆ ที่มีระยะเวลาไถ่ถอนคืนยาวกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรคลัง หรือตั๋วเงินคลัง ก็มีอัตราผลตอบแทนลดลงทำสถิติต่ำสุดเช่นเดียวกัน อาทิ พันธบัตรคลังระยะ 10 ปีลดลงอยู่ที่ 2.505% และระยะ 30 ปี 3.005% ณ ช่วงหนึ่งของการซื้อขายวันศุกร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังระยะ 6 เดือนอยู่ที่ 0.20%
อัตราผลตอบแทนที่ลดลงสะท้อนถึงความต้องการเครื่องมือการลงทุนเหล่านี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดในโลกท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาด
เกร็ก มิชาโลว์สกี้ นักวิจัยของเว็บไซต์การเงินเอฟเอ็กซ์ดีดี กล่าวว่าขณะนี้นักลงทุนดูเหมือนเต็มใจขายหุ้นและมาช้อนซื้อตราสารหนี้กระทรวงการคลังแทน ปัจจัยสำคัญคือความกลัว เนื่องจากนักลงทุนค่อนข้างมั่นใจว่าถึงอย่างไรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่มีทางผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด และแนวโน้มโดยรวมของอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยนโยบาย "เฟดฟันด์เรต" ลงมาอยู่ที่ 1.0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดลงต่อไปอีก
ทว่า บ็อบ ไอเซนเบส นักวิเคราะห์ของคัมเบอร์แลนด์ แอดไวเซอร์ส มองว่าอัตราผลตอบแทนที่ต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเป็นสัญญาณ 'การรวน' ของตลาด โดยแจงว่า พวกตราสารหนี้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต่างก็กำลังย่ำแย่เช่นเดียวกับหุ้น อาทิ บรรดาพันธบัตรเทศบาลของสหรัฐฯ กำลังจ่ายผลตอบแทนสูงถึง 6.0% โดยไม่หักภาษี และยิ่งสูงกว่านั้นอีกสำหรับพวกหุ้นกู้ ซึ่งก็คือตราสารหนี้ของภาคบรรษัท แต่ความกลัวว่าจะมีการผิดนัดชำระหนี้และการขาดข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพพันธบัตรและหุ้นกู้เหล่านี้ จึงยังคงทำให้นักลงทุนหนีไปหาทางเลือกการลงทุนอื่นๆ
ไอเซนเบสเสริมว่า อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พันธบัตรคลังและตั๋วเงินคลัง เป็นที่ต้องการมากขึ้นคือ การตัดสินใจของเฟดในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงิน ซึ่งรวมถึงการอัดฉีดผ่านธนาคารกลางแห่งอื่นๆ
ทว่า ธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์หลายแห่งลังเลที่จะนำเงินนี้ไปปล่อยกู้แบบปกติ และหันมาซื้อพันธบัตรและตั๋วเงินคลังกันยกใหญ่
คำถามสำคัญสำหรับตลาดขณะนี้คือ ตลาดพันธบัตรและตั๋วเงินคลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตกหรือเปล่า
แม้อัตราผลตอบแทนต่ำเปิดโอกาสให้วอชิงตันกู้ยืมได้ถูกลง แต่ไอเซนเบสชี้ว่า สถานการณ์นี้อาจเป็นอันตรายทั้งต่อเศรษฐกิจและค่าเงินดอลลาร์ เพราะเมื่อฟองสบู่แตก นักลงทุนจะแห่ขายพันธบัตรและตั๋วเงินคลัง บีบให้รัฐบาลต้องจ่ายผลตอบแทนสูงขึ้นสำหรับพันธบัตรและตั๋วเงินคลังที่ขายดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเหวี่ยงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไมค์ ลาร์สัน นักวิเคราะห์ของเวสส์ รีเสิร์ช สำทับว่าตลาดพันธบัตรระยะยาวอาจเกิดเป็นการแตกตัวของฟองสบู่ครั้งใหญ่ที่สุด ที่ร้ายแรงกว่าฟองสบู่ยุคดอทคอมและตลาดอสังหาริมทรัพย์
"พันธบัตรและตั๋วเงินคลังแทบไม่เคยเคลื่อนไหวเร็วและแรงเท่านี้มาก่อน และอัตราดอกเบี้ยที่สวนทางกับราคาพันธบัตรก็แทบไม่เคยลดต่ำและลดเร็วขนาดนี้"
ลาร์สันเสริมว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคลังระยะ 10 ปีดิ่งลงจาก 4.08% เมื่อกลางเดือนตุลาคมอยู่ที่เกือบ 2.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากช่วงกลางทศวรรษ 1950
"มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อได้ว่า ความต้องการพันธบัตรและตั๋วเงินคลังจะไม่ยั่งยืน และวันสิ้นสุดกำลังมาถึงอย่างรวดเร็ว"
ซาล กาเทียรี นักเศรษฐศาสตร์ของบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ยอมรับว่าเวลานี้นักลงทุนโยนเงินใส่ตลาดพันธบัตรคลังด้วยความเชื่อมั่นแรงกล้า เหมือนตอนซื้อบ้านและหุ้นดอทคอมในยุครุ่งเรือง
กระนั้น กาเทียรีเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อถูกปราบปรามราบคาบไปแล้ว และนักลงทุนยังคงมั่นใจในรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้น แม้ราคาพันธบัตรและตั๋วเงินคลังตอนนี้สูงเกินไป แต่คงไม่ถึงกับทำให้ฟองสบู่แตกง่ายๆ