00 สังเกตให้ดีช่วงนี้ “เสี่ยแม้ว”กำลังโหมปลุกระดมอย่างหนัก กลุ่มเป้าหมายก็ยังเป็น“รากหญ้า” เหมือนเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย โดยใช้วิธีแบบเน้น “ส่งถึงบ้าน”กันเลยทีเดียว
00 ตามตารางเวลา“โฟนอิน”เข้ามาในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ ขอนแก่น หนองคาย อยุธยา เรื่อยดะ ไปจบที่เชียงใหม่ เชียงราย ก่อนที่จะชุมนุมใหญ่ไล่ “มาร์ค” ในกรุงเทพฯ ราวปลายเดือนนี้ ตั้งเป้าเอาไว้ราววันที่ 27-28 มี.ค. ดูแล้วก็ชวนติดตามไม่น้อย
00 เพราะถ้าดูแบบผิวเผิน ไม่ต้องอ้อมค้อม ย่อมดูออกว่าเป็นการเดินสายปลุกระดมรวบรวมสรรพกำลังก่อนจะถึงวันดีเดย์ใหญ่ ซึ่งพิจารณาดูเนื้อหาคำพูดที่ “เสี่ยแม้ว” พ่นออกมามีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือ คุยโม้ สร้างความหวัง และบิดเบือน เริ่มจากอย่างแรกโม้แหลกทำนองว่าตนเองเป็นกูรูด้านเศรษฐกิจ วิกฤตแบบนี้ถ้าเขายังอยู่จะไม่มีทางลำบาก และสุดท้ายบอกว่าถูกรังแกจนต้องระเหเร่ร่อนเป็น “สัมภเวสี”
00 ถ้าฟังดูเผินๆ มันก็เคลิ้มได้เหมือนกัน เพราะในยุคที่ครองอำนาจเมื่อ 5-6 ปีก่อนเศรษฐกิจทั่วโลกยังดี อยู่ในช่วงขาขึ้น และยิ่งหันมาใช้ประชานิยมกระตุ้นเข้าไปอีกเศรษฐกิจมันก็ยิ่งขยายตัวก้าวกระโดดในระยะสั้น ถือว่าจับจ่ายใช้คล่อง แต่หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วมีแต่ “เปลือก” มีแต่หนี้ คนที่รวยเอา รวยเอาก็คือ “เสี่ยแม้ว” กับกลุ่มทุนในครอบครัวและคนใกล้ชิดเท่านั้น
00 ดังนั้นการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 27 มี.ค.ของ “เสื้อแดง” ก็จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า "พลังแม้ว” จะมีมากแค่ไหน มีอยู่จริงหรือไม่ เพราะขนาดลงทุนปลุกระดมกันถึงหัวกระไดบ้าน แต่หากยังมากันแค่ไม่กี่หมื่นถือว่าไม่คุ้มค่า
00 อีกด้านหนึ่ง ถ้าให้เดาสาเหตุที่ต้องเร่งโหมแรงไฟกันในช่วงนี้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังดำดิ่งอย่างหนัก แต่ที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นนักลงทุนในต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ล้วนขาดทุนเจ๊งไม่เป็นท่า ดังนั้นมีทางเดียวที่จะเอาคืนได้ ก็ต้องมีอำนาจรัฐ ถ้าฝันเป็นจริงก็ได้หลายต่อ ทั้งไม่ต้องติดคุก ได้เสวยอำนาจ ได้ทั้งทรัพย์สินเงินทอง
00 มองทางฝั่งประชาธิปัตย์บ้าง พยายามเดินย้อนศร ลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ไล่ไปตั้งแต่ นายกฯลงมาในหลายจังหวัด หากจะให้คะแนนยังถือว่ายังไม่เป็นกอบเป็นกำ ไม่ค่อยหวือหวา หรือสร้างกระแสต้อนรับได้มากตามที่หวัง แถมบรรยากาศต้อนรับเป็นไปอย่างแกนๆ ไม่เร้าใจ ในทางตรงกันข้าม พื้นที่สื่อยังกลายเป็นของพวกเสื้อแดง ชูเท้าตบเข้าใส่อีกต่างหาก สรุปก็คือถ้ายังขืนเรื่อยๆ เรียบๆ เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่คิดใช้มืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการการตลาด ถือว่าน่าจะเหนื่อย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่การ “สัปยุทธ์” ของจริง ไม่มียั้งกันแล้ว เพราะแต่ละฝ่ายล้วนมีเดิมพันสูงทั้งนั้น
00 รำคาญกับพวกบรรดานักวิชาการ วิชาเกินบางกลุ่มที่กำลังขมีขมัน ล่าชื่อกันอยู่ตอนนี้ เป้าหมายเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางคนถึงขั้นหนักข้อให้ยกเลิกมาตรา 112 กันเลยทีเดียว อ้างว่าขัดขวางต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเป็นกฎหมายที่ล้าหลังไปโน่น ทั้งในความเป็นจริงแล้วถือว่า “มีวาระซ่อนเร้น” อย่างมีอคติ และเป็นคนละเรื่องกัน
00 เพราะเสรีภาพทางวิชาการ การแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้โดยเสรีในไทย วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้เต็มที่ แต่คนละเรื่องกับการดูหมิ่น จงใจให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างนี้ทำไม่ได้ ซึ่งคนไทยไม่มีวันยอมเด็ดขาด กรณีของ ใจ อึ้งภากรณ์ ที่กำลังหนีคดีไปอังกฤษ หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมที่ทำความผิดในอดีตก็ไม่ใช่สาเหตุมาจากการแสดงความเห็นทางวิชาการ แต่เป็นเพราะคำพูดและการแสดงความเห็นดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งล่าสุดก็คือแถลงการณ์ “สยามแดง” นั่นเอง ชัดหรือยัง !!
00 ตามตารางเวลา“โฟนอิน”เข้ามาในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ ขอนแก่น หนองคาย อยุธยา เรื่อยดะ ไปจบที่เชียงใหม่ เชียงราย ก่อนที่จะชุมนุมใหญ่ไล่ “มาร์ค” ในกรุงเทพฯ ราวปลายเดือนนี้ ตั้งเป้าเอาไว้ราววันที่ 27-28 มี.ค. ดูแล้วก็ชวนติดตามไม่น้อย
00 เพราะถ้าดูแบบผิวเผิน ไม่ต้องอ้อมค้อม ย่อมดูออกว่าเป็นการเดินสายปลุกระดมรวบรวมสรรพกำลังก่อนจะถึงวันดีเดย์ใหญ่ ซึ่งพิจารณาดูเนื้อหาคำพูดที่ “เสี่ยแม้ว” พ่นออกมามีอยู่ไม่กี่เรื่อง คือ คุยโม้ สร้างความหวัง และบิดเบือน เริ่มจากอย่างแรกโม้แหลกทำนองว่าตนเองเป็นกูรูด้านเศรษฐกิจ วิกฤตแบบนี้ถ้าเขายังอยู่จะไม่มีทางลำบาก และสุดท้ายบอกว่าถูกรังแกจนต้องระเหเร่ร่อนเป็น “สัมภเวสี”
00 ถ้าฟังดูเผินๆ มันก็เคลิ้มได้เหมือนกัน เพราะในยุคที่ครองอำนาจเมื่อ 5-6 ปีก่อนเศรษฐกิจทั่วโลกยังดี อยู่ในช่วงขาขึ้น และยิ่งหันมาใช้ประชานิยมกระตุ้นเข้าไปอีกเศรษฐกิจมันก็ยิ่งขยายตัวก้าวกระโดดในระยะสั้น ถือว่าจับจ่ายใช้คล่อง แต่หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วมีแต่ “เปลือก” มีแต่หนี้ คนที่รวยเอา รวยเอาก็คือ “เสี่ยแม้ว” กับกลุ่มทุนในครอบครัวและคนใกล้ชิดเท่านั้น
00 ดังนั้นการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 27 มี.ค.ของ “เสื้อแดง” ก็จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า "พลังแม้ว” จะมีมากแค่ไหน มีอยู่จริงหรือไม่ เพราะขนาดลงทุนปลุกระดมกันถึงหัวกระไดบ้าน แต่หากยังมากันแค่ไม่กี่หมื่นถือว่าไม่คุ้มค่า
00 อีกด้านหนึ่ง ถ้าให้เดาสาเหตุที่ต้องเร่งโหมแรงไฟกันในช่วงนี้ เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังดำดิ่งอย่างหนัก แต่ที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นนักลงทุนในต่างประเทศรูปแบบต่างๆ ล้วนขาดทุนเจ๊งไม่เป็นท่า ดังนั้นมีทางเดียวที่จะเอาคืนได้ ก็ต้องมีอำนาจรัฐ ถ้าฝันเป็นจริงก็ได้หลายต่อ ทั้งไม่ต้องติดคุก ได้เสวยอำนาจ ได้ทั้งทรัพย์สินเงินทอง
00 มองทางฝั่งประชาธิปัตย์บ้าง พยายามเดินย้อนศร ลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ไล่ไปตั้งแต่ นายกฯลงมาในหลายจังหวัด หากจะให้คะแนนยังถือว่ายังไม่เป็นกอบเป็นกำ ไม่ค่อยหวือหวา หรือสร้างกระแสต้อนรับได้มากตามที่หวัง แถมบรรยากาศต้อนรับเป็นไปอย่างแกนๆ ไม่เร้าใจ ในทางตรงกันข้าม พื้นที่สื่อยังกลายเป็นของพวกเสื้อแดง ชูเท้าตบเข้าใส่อีกต่างหาก สรุปก็คือถ้ายังขืนเรื่อยๆ เรียบๆ เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่คิดใช้มืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการการตลาด ถือว่าน่าจะเหนื่อย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไปจะเริ่มเข้าสู่การ “สัปยุทธ์” ของจริง ไม่มียั้งกันแล้ว เพราะแต่ละฝ่ายล้วนมีเดิมพันสูงทั้งนั้น
00 รำคาญกับพวกบรรดานักวิชาการ วิชาเกินบางกลุ่มที่กำลังขมีขมัน ล่าชื่อกันอยู่ตอนนี้ เป้าหมายเพื่อปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางคนถึงขั้นหนักข้อให้ยกเลิกมาตรา 112 กันเลยทีเดียว อ้างว่าขัดขวางต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือเป็นกฎหมายที่ล้าหลังไปโน่น ทั้งในความเป็นจริงแล้วถือว่า “มีวาระซ่อนเร้น” อย่างมีอคติ และเป็นคนละเรื่องกัน
00 เพราะเสรีภาพทางวิชาการ การแสดงความคิดเห็นสามารถทำได้โดยเสรีในไทย วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้เต็มที่ แต่คนละเรื่องกับการดูหมิ่น จงใจให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างนี้ทำไม่ได้ ซึ่งคนไทยไม่มีวันยอมเด็ดขาด กรณีของ ใจ อึ้งภากรณ์ ที่กำลังหนีคดีไปอังกฤษ หากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมที่ทำความผิดในอดีตก็ไม่ใช่สาเหตุมาจากการแสดงความเห็นทางวิชาการ แต่เป็นเพราะคำพูดและการแสดงความเห็นดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งล่าสุดก็คือแถลงการณ์ “สยามแดง” นั่นเอง ชัดหรือยัง !!