xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์ค"แจงเงินผู้สูงอายุ เป็นนโยบายตลอดชีพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (8 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ระหว่างการเดินทางพบปะประชาชนที่ จ.ลพบุรี เพื่อชี้แจงถึงนโยบายและผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าคณะรัฐมนตรีจะใช้ระยะเวลาภายใน 1 เดือนนี้ ลงพื้นที่ชี้แจงนโยบายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับผลงานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้านความสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะการเปิดสถานีรถไฟ ประตูเส้นทางทางคมนาคมสายใหม่ ระหว่างหนองคาย-ท่านาแล้ง สปป.ลาว ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในเรื่องเศรษฐกิจการค้าขายและการลงทุนต่อไปในอนาคต
ขณะที่ในปี 2552 นี้ รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นปีส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะอุตสากรรมผลิตวัตถุดิบ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่านักลงทุนชาวต่างชาติ ได้รับปากว่าจะใช้ไทยเป็นฐานกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่นการส่งเสริมอบรมแรงงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการส่งเสริมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า ภายในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้ารัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ชุมชน หมู่บ้าน ที่ประชาคมท้องถิ่นจะยึดวิถีทางตามแบบทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในการดำรงชีวิต โดยรัฐบาลจะเป็นผู้คอยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณเท่านั้น
นอกจากนี้ปัญหาในเรื่องนมดิบล้นตลาดและปัญหาทุจริตนมโรงเรียน ถือว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกัน โดยในเบื้องต้นการแก้ปัญหานมล้นตลาดรัฐบาลจะช่วยเหลือผู้เลี้ยงโคนม โดยการขยายการแจกนมโรงเรียนให้ไปถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนปัญหาทุจริตนมโรงเรียนนั้น รัฐบาลจะยกเลิกการฮั้วประมูลนมทั้งหมดและโอนให้องค์กรท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลจัดการ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ และเนื่องจากในวันนี้ (8มี.ค.) เป็นวันสตรีสากล รัฐบาลตระหนักดีว่าสตรีในปัจจุบันยังถูกคุกคามโดยเป็นเหยื่อของความรุนแรง รัฐบาลยืนยันที่จะเข้มงวดในเรื่องบังคับใช้กฏหมาย รวมทั้งจะเปิดโอกาสให้สตรีเข้าไปมีส่วนบริหารจัดการในทุกระดับมากขึ้น
นายกรัฐมนตรี ได้ตอบข้อซักถามของประชาชนที่ จ.ลพบุรี ที่ยังข้องใจในเรื่องระยะเวลาเงินค่าครองชีพ ของผู้สูงอายุ ว่าถือเป็นนโยบายตลอดชีพของรัฐบาลนี้ ยกเว้นหากมีรัฐบาลใหม่แล้วยกเลิกกันไป ในส่วนข้าราชการบำนาญถือว่า เป็นข้อยกเว้น เนื่องจากจากการสำรวจขณะนี้มีผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งรัฐต้องจัสรรงบประมาณให้ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี ในส่วนของผู้ที่ฐานะดี ไม่เดือดร้อน หากจะช่วยลดภาระรัฐบาล ก็ไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ โดยไม่ไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประสงค์รับค่าครองชีพก็จะช่วยลดภาระงบประมาณในส่วนนี้ไปได้เหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น