นายกรัฐมนตรี แจงเงินค่าครองชีพผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ถือเป็นนโยบายตลอดชีพ ยกเว้นข้าราชการบำนาญ ชี้ ต้องใช้งบสูงถึงปีละ 40,000 ล้านบาท กำจัดขบวนการทุจริตนมโรงเรียน รื้อระบบฮั้วประมูล โอนองค์กรท้องถิ่นเป้นผู้ดูแลแทนในเบื้องต้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"
วันนี้ (8 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวบันทึกเทปผ่านรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีแห่งประเทศไทย ระหว่างการเดินทางพบปะประชาชนที่ จ.ลพบุรี เพื่อชี้แจงถึงนโยบายและผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีจะใช้ระยะเวลาภายใน 1 เดือนนี้ ลงพื้นที่ชี้แจงนโยบายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ สำหรับผลงานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้านความสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะการเปิดสถานีรถไฟ ประตูเส้นทางทางคมนาคมสายใหม่ระหว่างหนองคาย-ท่านาแล้ง ส.ป.ป.ลาว ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในเรื่องเศรษฐกิจการค้าขายและการลงทุนต่อไปในอนาคต ขณะที่ในปี 2552 นี้ รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นปีส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะอุตสากรรมผลิตวัตถุดิบ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่านักลงทุนชาวต่างชาติ ได้รับปากว่าจะใช้ไทยเป็นฐานกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจโลก เช่นการส่งเสริมอบรมแรงงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการส่งเสริมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า ภายในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้ารัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ชุมหมู่บ้าน ที่ประชาคมท้องถิ่นจะยึดวิถีทางตามแบบทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงในการดำรงชีวิต โดยรัฐบาลจะเป็นผู้คอยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณเท่านั้น นอกจากนี้ ปัญหาในเรื่องนมดิบล้นตลาด และปัญหาทุจริตนมโรงเรียน ถือว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกัน โดยในเบื้องต้นการแก้ปัญหานมล้นตลาดรัฐบาลจะช่วยเหลือผู้เสียงโคนม โดยการขยายการแจกนมโรงเรียนให้ไปถึงระดับประถมการศึกษา 6 ส่วนปัญหาทุจริตนมโรงเรียนนั้นรัฐบาลจะยกเลิกการฮั้วประมูลนมทั้งหมด และโอนให้องค์กรท้องถิ่นเป็นดูแลจัดการ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ และพเนื่องจากในวันนี้เป็นวันสตรีสากล รัฐบาลตระหนักดีว่าสตรีในปัจจุบันยังถูกคุกคามโดยเป็นเหยื่อของความเหยื่อ รัฐบาลยืนยันที่จะเข้มงวดในเรื่องบังคับใช้กฏหมาย รวมทั้งจะเปิดโอกาสสตรีเข้าไปมีส่วงนบริหารจัดการในทุกระดับมากขึ้น
นายกรัฐมนตรีได้ตอบข้อซักถามของประชาชนที่ จ.ลพบุรี ที่ยังข้องใจในเรื่องระยะเวลาเงินค่้าครองชีพของผู้สูงอายุ ว่า ถือเป็นนโยบายตลอดชีพของรัฐบาลนี้ ยกเว้นหากมีรัฐบาลใหม่แล้วยกเลิกกันไป ในส่วนข้าราชการบำนาญถือว่าเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากจากการสำรวจขณะนี้มีผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งรัฐต้องจัสรรงบประมาณให้ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี ในส่วนของผู้ที่ฐานะดีไม่เดิอดร้อน หากจะช่วยลดภาระรัฐบาล ก็ไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์ โดยไม่ไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประสงค์รับค่าครองชีพก็จะช่วยลดภาระงบประมาณในส่วนนี้ไปได้เหมือนกัน