วิเคราะห์หน้า 2
แม้การลงพื้นที่ทั่วประเทศของรัฐมนตรี และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามยุทธศาสตร์“ตรึงกำลังชนบท-เจาะฐานรากหญ้า” ของรัฐบาล ต้องเจอกับแรงต้านจากกลุ่มเสื้อแดง ที่มีการรวมตัวกันถือป้ายขับไล่
ไม่ต้อนรับการลงพื้นที่ กีดกันไม่ให้เข้าสถานที่ราชการตามแผนตรวจเยี่ยมหน่วยราชการได้โดยสะดวก รวมถึงการปาขวดน้ำ-ตีนตบไล่ส่ง
คนที่เจอเข้ากับตัวเองก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่วัดโบสถ์ อ.เมือง ลพบุรี
ถึงแม้จะไม่มี ”ปล้าร้า” อย่างที่แกนนำเสื้อแดงออกมาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ภาพที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี มีการเกณฑ์คนเข้ามาจากทั้งอยุธยา สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี เข้ามารวมกลุ่มกับเสื้อแดงลพบุรี เพื่อก่อการครั้งนี้
กำลังคนเสื้อแดงแม้จะไม่มาก แต่วิธีการสำคัญกว่า คือมุ่งหวังให้ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อมีผลให้อภิสิทธิ์เสียหน้า ที่ถูกประชาชนต่อต้านและขับไล่ ผ่านวลีหยาบๆ มันๆ บนแผ่นป้าย อาทิ
“แม้แต่ลิงลพบุรี ยังไม่เอานายกฯอภิสิทธิ์ กูไม่เอามึงรัฐบาลเผด็จการ”
ทำให้คิดไปได้ว่า หากไม่มีการเตรียมการป้องกัน ขนตำรวจ-เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองนับพันไปดูแลความปลอดภัย การต่อต้านผู้นำประเทศของเสื้อแดงอาจหนักหน่วงกว่านี้มาก
หรือตัวสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ก่อนหน้านี้ออกมาทำทีขึงขัง เตือนผวจ.-ผบก.จังหวัด ว่าให้คอยดูแลพื้นที่อย่าให้มีคนออกมาก่อกวน หรือสร้างความปั่นป่วนระหว่างรัฐมนตรีลงพื้นที่ไม่เช่นนั่น จะเจอเช็คบิล
ก็ปรากฏว่า เจ้าตัวก็เจอเหมือนกัน ในการลงพื้นที่ไปยังวัดป่าขะ ต.ป่าขะ อ.บ้านนา จ.นครนายก ทว่าเสื้อแดง มาแค่หยิบมือเดียวไม่กี่สิบคน และไม่มีเหตุรุนแรงอะไร การต่อต้านเทพเทือก จึงเป็นแค่สีสันวันหยุดเท่านั้น
จริงอยู่ว่า ตัวนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หลายคนที่เจอแรงต่อต้านจะไม่ติดใจเอาความ และมองว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ที่ต้องมีทั้งคนสนับสนุน และคนต่อต้าน ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ตัว ทักษิณ ชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เคยเจอการขับไล่ของเสื้อเหลือง จนหนีหัวซุกหัวซุนนานนับปี
ทว่า หากจับสัญญาณความรุนแรง และก่อหวอดเพื่อต่อต้านรัฐบาลของฝายตรงข้าม ก็พบว่าอาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อไม่ให้เกิดสภาพประชาชนไม่เชื่อฟังอำนาจรัฐ ทำตัวเหนือความถูกต้อง และขอบเขตของกฎหมาย
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เพราะนี่คือหลักการของประชาธิปไตย ที่ประชาชนย่อมต้องแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า รู้สึก และคิดเห็นอย่างไรกับรัฐบาลได้เต็มที่
เพียงแต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวต้องทำอย่างบริสุทธิ์ใจ และไม่มุ่งหวังให้ประเทศเกิดสภาพ”อนาธิปไตย” อันแตกต่างจาก ”อารยะขัดขืน”โดยสิ้นเชิง
ขอย้ำว่า คนเสื้อเหลืองที่ออกมาไล่รัฐบาลทักษิณ สมัคร และสมชายนั้น เป็น “อารยะขัดขืน” แต่คนเสื้อแดงที่กระทำต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์วันนี้ เป็นการก่อหวอดของขบวนการ “อนาธิปไตย”
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ตอนนี้หลังจากพบว่าฝ่ายการเมืองซีกตรงข้ามรัฐบาล มีการวางแผนล้มรัฐบาลโดยดึงประชาชนในต่างจังหวัดมาเป็นตัวกันชน เพื่อเซฟตัวเองแต่ให้ประชาชนเป็นตัวล่อ เป็นเหยื่อ เพื่อล้มรัฐบาล
แม้ประเมินแล้ว พลังของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล รวมถึงพลังคนเสื้อแดง จะไม่น่าหนักใจหลังจากเห็นสัญญาณว่า เริ่มถดถอยลงตามลำดับ เพราะปลุกไม่ขึ้นในหลายพื้นที่ แม้จะพยายามแล้ว
เพียงแต่รูปแบบการต่อต้าน สร้างความวุ่นวายเช่นนี้ คงไม่จบง่ายๆ
ตามยุทธศาสตร์ “ตายเป็นตาย ขอกลับบ้านเกิด” ของทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องมุ่งหวังใช้แรงต่อต้านจากประชาชนคนเสื้อแดง ที่จะต้องมีอย่างต่อเนื่อง มาเป็นข้ออ้างของฝ่ายตัวเอง โดยใช้เวทีโฟนอินผ่านรายการความจริงวันนี้สัญจรทั่วประเทศเป็นช่องทาง เพื่อปลุกเร้าคนเสื้อแดงและผู้ยังนิยมทักษิณ ให้คล้อยตาม
รวมถึงจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นหลักในการให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่า รัฐบาลชุดนี้ ประชาชนไม่ยอมรับ จึงถูกต่อต้านจากประชาชนในจังหวัดต่างๆ ทั้งๆ ที่ทักษิณและเพื่อไทยก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ขบวนการปลุกปั่น จัดตั้ง เช่นนี้
เห็นได้จากคำโฟนอินของทักษิณ หลายต่อหลายครั้ง ก็มุ่งหมายไปในทิศทางนี้คือให้ประชาชนคนเสื้อแดงออกมารวมกลุ่มกัน เพื่อกดดันรัฐบาล แล้วผนึกกำลังกันเพื่อเป็นโล่กำบังให้ทักษิณ กลับประเทศ โดยไม่มีความผิด
รัฐบาลจึงมิควรจะอยู่ในสภาพตั้งรับ แล้วปล่อยให้เกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้ได้บ่อยครั้ง เพราะไม่เป็นผลดีต่อส่วนรวม
จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาการรวมตัวต่อต้านรัฐบาลเวลานี้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการกับกลุ่มแกนนำ-ประชาชน เพราะนั่นจะเป็นเผด็จการ
และต้องไม่ถือโอกาสนี้มากลั่นแกล้งข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าเป็นคนของขั้วอำนาจเก่า เช่น ผู้ว่าฯ-ผบก.จังหวัด แต่ควรให้บุคคลเหล่านี้ทำงานในความรับผิดชอบของตัวเองให้เต็มที่ ยกเว้นแต่จะพบว่ามีพฤติกรรมให้ท้ายผู้ต่อต้านรัฐบาลที่ใช้รูปแบบความรุนแรง กระทำผิดกฎหมาย ถ้าแบบนี้ก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
การแก้ปัญหาของรัฐบาล จึงต้องวางแผนทั้ง ระยะสั้น-ยาว บนเป้าหมายคือให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ปล่อยให้มีการชุมนุมได้ตามกรอบกติกาประชาธิปไตย
แต่ต้องไม่ให้กลุ่มบุคคลใด มาถือโอกาสนี้สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง และทำให้ส่วนรวมได้รับผลกระทบด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย จนรัฐบาลไม่สามารถรักษากติกาความถูกต้องให้อยู่ในสังคมนี้ได้
ส่วนแผนจะเป็นเช่นใด เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องไปขบคิดกันเอง
แม้การลงพื้นที่ทั่วประเทศของรัฐมนตรี และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามยุทธศาสตร์“ตรึงกำลังชนบท-เจาะฐานรากหญ้า” ของรัฐบาล ต้องเจอกับแรงต้านจากกลุ่มเสื้อแดง ที่มีการรวมตัวกันถือป้ายขับไล่
ไม่ต้อนรับการลงพื้นที่ กีดกันไม่ให้เข้าสถานที่ราชการตามแผนตรวจเยี่ยมหน่วยราชการได้โดยสะดวก รวมถึงการปาขวดน้ำ-ตีนตบไล่ส่ง
คนที่เจอเข้ากับตัวเองก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่วัดโบสถ์ อ.เมือง ลพบุรี
ถึงแม้จะไม่มี ”ปล้าร้า” อย่างที่แกนนำเสื้อแดงออกมาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ภาพที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี มีการเกณฑ์คนเข้ามาจากทั้งอยุธยา สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี เข้ามารวมกลุ่มกับเสื้อแดงลพบุรี เพื่อก่อการครั้งนี้
กำลังคนเสื้อแดงแม้จะไม่มาก แต่วิธีการสำคัญกว่า คือมุ่งหวังให้ภาพที่ปรากฏผ่านสื่อมีผลให้อภิสิทธิ์เสียหน้า ที่ถูกประชาชนต่อต้านและขับไล่ ผ่านวลีหยาบๆ มันๆ บนแผ่นป้าย อาทิ
“แม้แต่ลิงลพบุรี ยังไม่เอานายกฯอภิสิทธิ์ กูไม่เอามึงรัฐบาลเผด็จการ”
ทำให้คิดไปได้ว่า หากไม่มีการเตรียมการป้องกัน ขนตำรวจ-เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองนับพันไปดูแลความปลอดภัย การต่อต้านผู้นำประเทศของเสื้อแดงอาจหนักหน่วงกว่านี้มาก
หรือตัวสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ก่อนหน้านี้ออกมาทำทีขึงขัง เตือนผวจ.-ผบก.จังหวัด ว่าให้คอยดูแลพื้นที่อย่าให้มีคนออกมาก่อกวน หรือสร้างความปั่นป่วนระหว่างรัฐมนตรีลงพื้นที่ไม่เช่นนั่น จะเจอเช็คบิล
ก็ปรากฏว่า เจ้าตัวก็เจอเหมือนกัน ในการลงพื้นที่ไปยังวัดป่าขะ ต.ป่าขะ อ.บ้านนา จ.นครนายก ทว่าเสื้อแดง มาแค่หยิบมือเดียวไม่กี่สิบคน และไม่มีเหตุรุนแรงอะไร การต่อต้านเทพเทือก จึงเป็นแค่สีสันวันหยุดเท่านั้น
จริงอยู่ว่า ตัวนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หลายคนที่เจอแรงต่อต้านจะไม่ติดใจเอาความ และมองว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ที่ต้องมีทั้งคนสนับสนุน และคนต่อต้าน ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ตัว ทักษิณ ชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็เคยเจอการขับไล่ของเสื้อเหลือง จนหนีหัวซุกหัวซุนนานนับปี
ทว่า หากจับสัญญาณความรุนแรง และก่อหวอดเพื่อต่อต้านรัฐบาลของฝายตรงข้าม ก็พบว่าอาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อไม่ให้เกิดสภาพประชาชนไม่เชื่อฟังอำนาจรัฐ ทำตัวเหนือความถูกต้อง และขอบเขตของกฎหมาย
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เพราะนี่คือหลักการของประชาธิปไตย ที่ประชาชนย่อมต้องแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า รู้สึก และคิดเห็นอย่างไรกับรัฐบาลได้เต็มที่
เพียงแต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวต้องทำอย่างบริสุทธิ์ใจ และไม่มุ่งหวังให้ประเทศเกิดสภาพ”อนาธิปไตย” อันแตกต่างจาก ”อารยะขัดขืน”โดยสิ้นเชิง
ขอย้ำว่า คนเสื้อเหลืองที่ออกมาไล่รัฐบาลทักษิณ สมัคร และสมชายนั้น เป็น “อารยะขัดขืน” แต่คนเสื้อแดงที่กระทำต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์วันนี้ เป็นการก่อหวอดของขบวนการ “อนาธิปไตย”
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ตอนนี้หลังจากพบว่าฝ่ายการเมืองซีกตรงข้ามรัฐบาล มีการวางแผนล้มรัฐบาลโดยดึงประชาชนในต่างจังหวัดมาเป็นตัวกันชน เพื่อเซฟตัวเองแต่ให้ประชาชนเป็นตัวล่อ เป็นเหยื่อ เพื่อล้มรัฐบาล
แม้ประเมินแล้ว พลังของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล รวมถึงพลังคนเสื้อแดง จะไม่น่าหนักใจหลังจากเห็นสัญญาณว่า เริ่มถดถอยลงตามลำดับ เพราะปลุกไม่ขึ้นในหลายพื้นที่ แม้จะพยายามแล้ว
เพียงแต่รูปแบบการต่อต้าน สร้างความวุ่นวายเช่นนี้ คงไม่จบง่ายๆ
ตามยุทธศาสตร์ “ตายเป็นตาย ขอกลับบ้านเกิด” ของทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องมุ่งหวังใช้แรงต่อต้านจากประชาชนคนเสื้อแดง ที่จะต้องมีอย่างต่อเนื่อง มาเป็นข้ออ้างของฝ่ายตัวเอง โดยใช้เวทีโฟนอินผ่านรายการความจริงวันนี้สัญจรทั่วประเทศเป็นช่องทาง เพื่อปลุกเร้าคนเสื้อแดงและผู้ยังนิยมทักษิณ ให้คล้อยตาม
รวมถึงจะนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นหลักในการให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่า รัฐบาลชุดนี้ ประชาชนไม่ยอมรับ จึงถูกต่อต้านจากประชาชนในจังหวัดต่างๆ ทั้งๆ ที่ทักษิณและเพื่อไทยก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ใครอยู่เบื้องหลัง ขบวนการปลุกปั่น จัดตั้ง เช่นนี้
เห็นได้จากคำโฟนอินของทักษิณ หลายต่อหลายครั้ง ก็มุ่งหมายไปในทิศทางนี้คือให้ประชาชนคนเสื้อแดงออกมารวมกลุ่มกัน เพื่อกดดันรัฐบาล แล้วผนึกกำลังกันเพื่อเป็นโล่กำบังให้ทักษิณ กลับประเทศ โดยไม่มีความผิด
รัฐบาลจึงมิควรจะอยู่ในสภาพตั้งรับ แล้วปล่อยให้เกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้ได้บ่อยครั้ง เพราะไม่เป็นผลดีต่อส่วนรวม
จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหาการรวมตัวต่อต้านรัฐบาลเวลานี้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการจัดการกับกลุ่มแกนนำ-ประชาชน เพราะนั่นจะเป็นเผด็จการ
และต้องไม่ถือโอกาสนี้มากลั่นแกล้งข้าราชการในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าเป็นคนของขั้วอำนาจเก่า เช่น ผู้ว่าฯ-ผบก.จังหวัด แต่ควรให้บุคคลเหล่านี้ทำงานในความรับผิดชอบของตัวเองให้เต็มที่ ยกเว้นแต่จะพบว่ามีพฤติกรรมให้ท้ายผู้ต่อต้านรัฐบาลที่ใช้รูปแบบความรุนแรง กระทำผิดกฎหมาย ถ้าแบบนี้ก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
การแก้ปัญหาของรัฐบาล จึงต้องวางแผนทั้ง ระยะสั้น-ยาว บนเป้าหมายคือให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ปล่อยให้มีการชุมนุมได้ตามกรอบกติกาประชาธิปไตย
แต่ต้องไม่ให้กลุ่มบุคคลใด มาถือโอกาสนี้สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง และทำให้ส่วนรวมได้รับผลกระทบด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย จนรัฐบาลไม่สามารถรักษากติกาความถูกต้องให้อยู่ในสังคมนี้ได้
ส่วนแผนจะเป็นเช่นใด เป็นหน้าที่รัฐบาลต้องไปขบคิดกันเอง