xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯสงขลาอุ่นใจ “ประปาหาดใหญ่” ไม่ซ้ำรอยทำรัฐเสียหาย ยื่นเรื่องถึงมือ “วีระ” แล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เวทีการคัค้านการแปรรูปประปาฯหาดใหญ่ ให้เอกชนเข้าบริหาร ของเหล่าพันธมิตรฯสงขลา ซึ่งพันธมิตรฯและสหภาพรัฐวาสาหกิจฯ เดินหน้าที่จะคัดค้านนโยบายนี้จนถึงที่สุด
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – พันธมิตรฯ สงขลา ยกโครงการซื้อน้ำประปาใน จ.นครปฐม-สมุทรสาครเป็นกรณีศึกษา เพื่อคัดค้านการให้เอกชนเข้าบริหารประปาฯหาดใหญ่ หลังจากพบเงื่อนงำที่คาดว่าจะนำไปสู่การทุจริตที่ทำให้รัฐเสียหายรวมกว่า 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งล่าสุดได้มีการส่งไปถึง สตง., ป.ป.ช. และที่ประชุมของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เดินหน้าตรวจสอบในโครงการนี้แล้ว ขณะเดียวกันพันธมิตรฯ สงขลาได้ส่งข้อมูลสำคัญของโครงการที่จะเกิดขึ้นใน อ.หาดใหญ่ให้แก่นายวีระ สมความคิด ประธานกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ร่วมตรวจสอบอีกแนวหนึ่ง

”วีระ” ลุยจับทุจริต “ประปาหาดใหญ่”

ความคืบหน้าโครงการว่าจ้างเอกชนผลิตน้ำประปาและจำหน่ายให้กแก่อารประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นนโยบายที่จะเกิดขึ้นในปี 2552 ใน 3 จังหวัดภาคใต้ นำโดย การประปาฯหาดใหญ่, ชุมพร และระนองนั้น

หลังจากนั้นสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การประปาส่วนภูมิภาค (สร.กปภ.) ส่งเรื่องให้แก่ สรส.หาดใหญ่ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา ร่วมขับเคลื่อนคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทุกรูปแบบ และได้ส่งหนังสือร้องเรียนให้ ส.ส. และ ส.ว. เป็นผู้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากล ร่วมด้วยการให้ความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแก่ประชาชน

ภายหลังจากที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนให้ รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา แล้ว ก็ได้นำรายละเอียดไปให้คณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ นายประสาน มฤคพิทักษ์ ส.ว.ได้เดินทางมาพบกับ พันธมิตรฯ สงขลา ซึ่งรวมสมาชิกดังเช่น สรส.หาดใหญ่. สร.กปภ. เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และขอข้อมูลต่างๆ เพื่อจะได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับการประปาฯหาดใหญ่ เข้าข่ายการกระทำอันทุจริตหรือไม่ และในประเด็นใดบ้าง รวมทั้งกรณีศึกษาที่กปภ.ได้ทำสัญญาเพื่อให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในระบบผลิตน้ำและขายน้ำประปาให้แก่ กปภ. รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ ซึ่งยังผลความเสียหายจนถึงปัจจุบันและอยู่ระหว่างการตรวจสอบทุจริตของหน่วยงานต่างๆ

นอกจากนี้ พันธมิตรฯ สงขลา โดย สร.กปภ.ยังให้ข้อมูลนายวีระ สมความคิด ประธานกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โดยมอบเอกสารต่างๆ ประกอบการศึกษาข้อมูลอีกด้วย ซึ่งคาดว่าการทำงานจะมีความคืบหน้าในอีกไม่ช้านี้

นายวิรุฬห์ สะแกคุ้ม เลขานุการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟฯ สาขาหาดใหญ่ เปิดเผยว่า การนำโครงการให้เอกชนผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้แก่การประปาหาดใหญ่นด งเรื่องไปยังเครือข่ายต่างช่วยกันตรวจสอบ และร่วมกันหาข้อมูลที่เป็นประเด็นเคลือบแคลงใจว่า โครงการดังกล่าวส่อไปในทางทุจริต และอยากฟังเหตุผลของผู้บริหารถึงการดำเนินการดังกล่าว เพราะที่ผ่านมา 11 โครงการที่ดำเนินการมาก่อนล่วงหน้าล้วนแต่ประสบปัญหาการขาดทุน และกระทบไปถึงผู้ใช้น้ำ รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อภาครัฐอีกด้วย

ดังนั้น พันธมิตรฯ สงขลา จึงมิอาจปล่อยให้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับที่อื่นมาเกิดขึ้นซ้ำรอยใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หรือในภูมิภาคใดๆ ได้อีก จึงต้องการให้เครือข่ายต่างๆ ที่มีหน้าที่โดยตรง หรือตัวแทนของภาคประชาชนได้ร่วมกันตรวจสอบนำความจริงมาตีแผ่ และติดตาม 11 โครงการที่ทำมาก่อน ศึกษาเพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง โดยเฉพาะโครงการนครปฐม-สมุทรสาคร ซึ่งส่อในการทุจริต และมีหลายหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

ชงโครงการนครปฐม-สมุทรสาครยื่น สตง.-ป.ป.ช.ตรวจสอบ

สำหรับกรณีที่ กปภ.ได้ทำสัญญาเพื่อให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการในระบบผลิตน้ำและขายน้ำประปาให้แก่ กปภ. รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ ส่งผลให้รัฐเสียหายจากการดำเนินกิจการดังกล่าวเป็นมูลค่า 120,000 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ 7 สัญญาซื้อขายน้ำ-ขายน้ำประปาใน จ.นครปฐมและสมุทรสาคร สัญญาเลขที่ 189/2543 ระยะเวลาโครงการ 30 ปี ซึ่งตลอดอายุโครงการจะทำให้รัฐสูญเสียเงินรวม 120,000 ล้านบาท

สร.กปภ.ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และประธาน ป.ป.ช. เพื่อขอให้สอบสวนผู้กระทำผิด กรณีการจัดซื้อน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ตามสัญญาเลขที่ 189/2543 ที่ทำให้รัฐเสียหายรวมมูลค่า 120,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีความเป็นมาตั้งแต่ บริษัท วีเคซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจดทะเบียนนิติบุคคลวันที่ 11 กันยายน 2543 ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 100,000 บาท และได้รับการลงนามในสัญญากับ กปภ. วันที่ 21 กันยายน 2543 วงเงินลงทุนก่อสร้าง 8,375,000,000 บาทนั้น ตามที่ได้พิจารณาตามเอกสารเห็นว่า การจัดซื้อน้ำประปาดังกล่าวไม่โปร่งใส ทำให้รัฐเสียหายโดยได้สรุปข้อพิรุธใน 15 ประเด็น ดังนี้

1.การทำสัญญาซื้อขายระหว่าง กปภ.และบริษัทไม่โปร่งใส เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนเพียง 10 วัน ด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 100,000 บาท แต่ได้รับงานที่มีวงเงินลงทุนสูงถึง 8,375,000,000 บาท อาจมีการนำข้อมูลลับภายในของหน่วยงานรัฐมาเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม (พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ มาตรา 11,12 และมาตรา 83,157 และ 341 ตามประมวลกฎหมายอาญา)

2.ทำสัญญาผิดหลักการในการทำธุรกิจ กล่าวคือ ซื้อน้ำจากเอกชนในราคาแพง แต่นำไปขายให้ประชาชนในราคาถูก และเอกชนสามารถปรับอัตราค่าน้ำขึ้นได้ทุกปี (เอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้าง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ มาตรา 11 และมาตรา 83,157 และ 341 ตามประมวลกฎหมายอาญา)

3.มูลค่าการลงทุนของโครงการเกิด 1,000 ล้านบาท ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม. แต่สัญญานี้ วิเคราะห์โครงการบิดเบือนจากความเป็นจริงให้มีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งที่ความเป็นจริงโครงการนี้มีมูลค่า 8,375 ล้านบาท และมูลค่าสินค้าที่ซื้อขาย 54,713 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 63,088 ล้านบาท (สัญญานี้ไม่ผ่าน ครม.)

4.สัญญาอ้างว่าเป็นการซื้อขายทางแพ่งตามปกติ แต่เนื้อหาในสัญญานั้นไม่ใช่เป็นการซื้อขายทางแพ่ง เช่น ระบุให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีขายอื่นๆ (พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ)

5.ค่าน้ำดิบในสัญญาข้อ 9.10.4 ระบุให้รัฐฯ เป็นผู้รับผิดชอบหากกรมชลประทานเรียกเก็บค่าน้ำบริษัทไม่รับความเสี่ยง แต่ให้รัฐรับแทน (พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานฯ และเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้าง)

6.เขียนสัญญาซ่อนสาระสำคัญให้รัฐเสียประโยชน์ฯ และการเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้าง เช่น ให้รัฐรับผิดชอบความเสี่ยงทั้งหมด เช่นต้นทุนจากการก่อสร้าง หรือต้นทุนจากการดำเนินงาน (ค่าไฟฟ้า, สารส้ม, คลอรีน ฯลฯ) ข้อความที่ระบุในสัญญากลับระบุให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสี่ยงในการลงทุน และร่วมรับผิดชอบในการผลิตน้ำของเอกชน ร่วมรับผิดชอบในการบำรุงรักษา ยอมให้เอกชนใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทรัพย์สินของรัฐ (ที่ดิน, แหล่งน้ำ) ดึงให้หน่วยงานของรัฐเข้าไปร่วมรับผิดชอบในเรื่องภาษี อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแทนเอกชน
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสงขลาร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ สาขาหาดใหญ่และพนักงานประปาหาดใหญ่ ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการว่าจ้างบริษัทเอกชนผลิตน้ำประปาหาดใหญ่ ให้แก่ รศ.ดร.ประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เพื่อช่วยหาทางยับยั้งโครงการ
7.เอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้างขึ้นค่าน้ำได้ หากไม่ได้รับ BOI ผลักภาระความเสี่ยงให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบ

8.จำกัดสิทธิของรัฐให้ซื้อน้ำกับบริษัทเพียงเจ้าเดียว (ผูกขาด) ไม่สามารถซื้อจากผู้อื่นหรือผลิตเองได้ ตามสัญญาข้อ 9.1.2 (ฉ) (พ.ร.บ.สัญญาไม่เป็นธรรม)



9.การปรับค่าน้ำไม่เป็นธรรม ตามสัญญาข้อ 9.10.2 โดยเริ่มคิดค่าน้ำตั้งแต่ปี 2542 ราคา 13.9 บาท/ลูกบาศก์เมตร และปรับขึ้นทุกปีจนซื้อจริงเมื่อปี 2547 ราคา 17.44 บาท/ลูกบาศก์เมตร (ปี 2542-2547 ซื้อขายลม) และที่มีการปรับปีแรกๆ เยอะ เพื่อดึงเงินในอนาคตมาให้บริษัทใช้ก่อน

10.ไม่มีการซื้อขายน้ำจริง แต่ขึ้นราคาทุกปี และราคาเริ่มต้นคิด CPI ที่ปี 2542 (ปี2542-2547 เป็นเวลา 5 ปี)

11.กรณีวงเงินลงทุนของบริษัทมากกว่าประมาณการ บริษัทสามารถขึ้นค่าน้ำได้อีกทำให้รับฐสียเปรียบ

12.คุณภาพของน้ำประปา ตามสัญญาข้อ 13.1.1 ระบุให้ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาได้ถ้าผู้ขายผิดสัญญา หากไม่สามารถผลิตน้ำประปาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานน้ำประปาที่กำหนดเกินกว่าเวลา 60 วัน ซึ่งระยะเวลา 60 วันนี้กำหนดไว้นานเกินไป จึงมีผลต่อความเสี่ยงของประชาชน โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นสำคัญ

13.มีการซื้อขายน้ำเกินอายุสัญญา 5 ปี โดยมีการลงนามในสัญญาซื้อขายปี 2543 ต้องหมดสัญญาปี 2573 (30 ปี) ตามที่เริ่มคิดอัตราค่าน้ำเริ่มต้น แต่สัญญาระบุให้หมดสัญญาปี 2577 (35 ปี)

14.มีการสมยอมให้ซื้อขายน้ำนอกอายุสัมปทาน (ยังไม่ได้รับสัมปทาน) โดยบริษัทขอสัมปทานจากกรมทรัพยากรฯ วันที่ 11 มกราคม 2548-10 มีนาคม 2573 (อายุสัมปทาน 25 ปี แต่บริษัทซื้อขายน้ำกับรัฐตั้งแต่ 21 กรกฎาคม2547

15.ไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 เรื่องการควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกแห่งสาธารณชน (ข้อ4) พ.ร.บ.การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ.2522 และฉบับแก้ไข (ฉบับ 3 ) พ.ศ. 2550 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินกิจการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535

จากเอกสารหลักฐานตามสัญญาซื้อขายน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาคในพื้นที่ จ.นครปฐมและสมุทรสาคร เลขที่ 189/2543 มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า สัญญานี้ไม่โปร่งใส ส่อทุจริตสมรู้ร่วมคิดเป็นขบวนการ

**กมธ.ส.ส.รับลูกลุยสอบจัดซื้อน้ำประปาสูญกว่าแสนล้าน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมของคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 22 ที่กรุงเทพฯ พิจารณาเรื่องขอให้สอบสวนผู้กระทำผิด กรณีการจัดซื้อน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ตามสัญญาที่ 189/2551 ทำให้รัฐเสียหายรวมมูลค่า 120,000 ล้านบาท

คณะกรรมาธิการได้เชิญอดีตผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค รองผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค และผู้ที่เกี่ยวข้องตามสัญญาดังกล่าวมาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการดำเนินงานในโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการได้รับทราบข้อเท็จจริง ดังนี้

1.โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ กปภ. ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐเกี่ยวข้องกับการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในกิจการประปา ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) และฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ให้ขยายการผลิตและการบริหารน้ำประปาในเขตเมืองและภูมิภาค และจัดให้มีการปรับโครงสร้างของอัตราค่าน้ำให้สอดคล้องกับต้นทุนค่าใช้จ่ายของผู้ลงทุน ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการตามรูปแบบของ BOO (BUILD-OWN-OPERATE) ที่การประปาส่วนภูมิภาคไม่ได้มีการร่วมทุน แต่จะซื้อน้ำประปาตามต้นทุนจริง แล้วขายให้ประชาชนตามอัตราที่ทางภาครัฐกำหนด

2.ส่วนสัญญาเลขที่ 189/2543 นั้น คู่สัญญามีเงินลงทุน 8,375 ล้านบาท มีกำลังผลิตน้ำสูงสุด 320,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ระยะเวลาของสัญญา 30 ปี โดยในระยะแรกได้มีการขายน้ำประปา 200,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน มีพื้นที่จำหน่ายน้ำประปาในเขต อ.สามพราน อ้อมน้อย และสมุทรสาคร ซึ่งการประปาในแต่ละแห่งมีต้นทุนการผลิตน้ำประปาที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่ 8 บาท-40 บาท/ลูกบาศก์เมตร แต่ราคาขายน้ำประปาให้ประชาชนเป็นอัตราเดียวกันทั้งหมด

โครงการนครปฐม-สมุทรสาคร เป็นโครงการแก้ปัญหาแผ่นดินทรุดตัวจากการใช้น้ำบาดาล ซึ่ง กปภ.ระบุให้เอกชนส่งน้ำตามจำนวนโดยได้กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และมีราคาการผลิตน้ำส่งให้ กปภ.ราคา 13.90 บาท/ลูกบาศก์เมตร ซึ่ง กปภ.ขายน้ำให้แก่ประชาชนในราคา 7 บาท/ลูกบาศก์เมตร คณะผู้บริการ กปภ. เห็นว่าต้นทุนดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่ต่างจากราคาการขายจริงมากนัก

คณะกรรมาธิการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว จะส่งผลกระทบทำให้รัฐเกิดความเสียหาย จากการที่ปี 2542 มีการเรียกเก็บค่าน้ำจากประชาชนในอัตราเท่ากับที่โครงการแล้วเสร็จ และมีการขึ้นราคาค่าน้ำทั้งที่ประชาชนไม่มีการใช้น้ำ กปภ.จะต้องจ่ายเงินค่าน้ำให้แก่บริษัทเอกชนในอัตราขั้นต่ำ 300,000 คิว และท่อที่ใช้ในการส่งน้ำจากแหล่งที่ผลิตเป็นของบริษัทเอกชน เมื่อเกิดการชำรุดเสียหายก็จะส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถนำน้ำเข้าสู่ระบบให้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด โดยคณะกรรมาธิการได้รับทราบข้อเท็จจริง และเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามความรอบคอบจึงเห็นควรให้การประปาส่วนภูมิภาคจัดส่งเอกสารเพิ่มเติม
กำลังโหลดความคิดเห็น