xs
xsm
sm
md
lg

สรส.หาดใหญ่ยื่น “มาร์ค” ตัดไฟแต่ต้นลม ยกเลิกกฎหมายขายชาติ-ยุติแปรรูปประปาใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพ.อนันต์ บุญโสภณ ราษฎรอาวุโส
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – การเมืองภาคประชาชนใน จ.สงขลา เครื่องร้อน พันธมิตรฯ เกาะติดเครือข่ายส่งข้อมูลร่วมติดตามความพยายามแปรรูปประปาฯหาดใหญ่ สุราษฎร์ฯ และชุมพร เพื่อพิทักษ์ทรัพย์สมบัติชาติให้รุ่นลูกหลานต่อไป สรส.หาดใหญ่ ยื่นหนังสือให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาข้อเสนอด้านการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ทั้งการยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 หรือกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ขณะที่ข้อมูลวงในซัด 11 โครงการเอกชนผลิตน้ำประปาที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้ถูกเอกชนเอาเปรียบรัฐทุกประตู ยกโครงการนครปฐม-สมุทรสาครเป็นอุทาหรณ์ที่ขาดทุนหนักตั้งแต่นับหนึ่ง หากปล่อยเอกชนให้ดำเนินการตลอด 30 ปี รัฐเสียหายราว 123,212 ล้านบาท ด้านนายวีระ สมความคิด ร่วมติดตามค้นหาเส้นทางการทุจริต โดยจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ สงขลาคุยเรื่องนี้วันที่ 21 ก.พ.

ความร่วมมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา กับหลายภาคส่วนในสังคม เพื่อยับยั้งโครงการว่าจ้างเอกชนบริหารจัดการผลิตน้ำและจำหน่ายให้การประปาส่วนภูมิภาคหาดใหญ่ ระหว่างปีงบประมาณ 2552 – 2554 ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพย์สินของคนในภาคใต้รวม 3 แห่ง คือ การประปาฯหาดใหญ่ การประปาฯสุราษฎร์ธานี และการประปาฯชุมพร โดยมีการประสานข้อมูลและหาแนวทางการยับยั้งในทุกทาง

ทั้งการยื่นหนังสือคัดค้านของสหภาพแรงงานฯ กปภ. การร่วมเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้บริโภค ณ เวทีลานประวัติศาสตร์ สถานีรถไฟหาดใหญ่ และวิทยาลัยวันศุกร์ ภายใน มอ.หาดใหญ่ การยื่นหนังสือคัดค้านและให้ ส.ว.เป็นผู้ติดตามตรวจสอบความไม่ชอบมาพากล รวมถึงการให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ร่วมติดตามเบื้องหลัง เป็นต้น

แรงคัดค้านดังกล่าวส่งผลให้โครงการให้ว่าจ้างเอกชนเข้าผลิตน้ำประปา และจำหน่ายให้แก่สำนักงานประปาฯหาดใหญ่ถูกคุ้มครองชั่วคราว ขณะเดียวกันฝ่ายบริหารเองกำลังปรับปรุงกรอบการจัดจ้างเอกชน หรือ TOR และให้ลดทอนอายุสัญญาให้น้อยลง ขนาดมูลค่าโครงการเล็กลงไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ต้องผ่านการพิจารณาจาก ครม.และเชื่อว่าจะหาช่องทางอื่นเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปอย่างแน่นอน

สรส.หาดใหญ่ จี้ “มาร์ค”เลิก กม.ขายชาติปลดแอกรัฐวิสาหกิจ

นายวิรุฬห์ สะแกคุ้ม เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจ (สรส.) สาขาหาดใหญ่ เปิดเผยว่า สาเหตุที่รัฐวิสาหกิจถูกรังแกและทำให้เสียผลประโยชน์มาก เพราะจะได้เปลี่ยนมือสู่เอกชนเพื่อแสวงหาผลกำไรในกลุ่มทุน ด้วยการรู้เห็นเป็นใจของการเมือง ซึ่งมีการออกกฎหมายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 11 ฉบับ จนกระทั่งรัฐบาลในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำกฎหมายมาใช้ และทำให้ ปตท. ซึ่งเป็นธุรกิจพลังงานที่มีความสำคัญทั้งความมั่นคง และเศรษฐกิจของประเทศถูกแปรรูปด้วยข้ออ้างที่สวยหรูว่าจะสร้างความมั่นคง และไม่กระทบต่อประชาชน แต่คล้อยหลังเพียงไม่นานกลับมีการผูกขาดและขึ้นราคา ส่งผลต่อสินค้าและบริการทุกอย่างมีต้นทุนสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเพียงกลุ่มเดียวได้ผลประโยชน์มหาศาลบนคราบน้ำตาของประชาชน

เช่นเดียวกับความพยายามที่จะผลักดันให้เอกชนเข้ามาบริหารการประปาฯ ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของกลุ่มนักการเมือง ผู้บริหาร ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากถูกแปรรูปเต็มตัวร้ายแรงอย่างยิ่งหากทำให้คนจนไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรน้ำที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีพ

ดังนั้น ในนามของ สรส.หาดใหญ่ ซึ่งมีสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการประปาส่วนภูมิภาค (สร.กปภ.) เป็นสมาชิก ได้ดำเนินการคัดค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในด้านการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ดังนี้

1.รัฐบาลต้องยกเลิกนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเอกชน โดยไม่มีเงื่อนไข ข้อแรกต้องยกเลิก พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542 โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

2.รัฐบาลต้องยกเลิกและเรียกคืนรัฐวิสาหกิจ ที่ถูกแปรสภาพเป็นบริษัททุกรูปแบบ ปรับคืนสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อเป็นบริการสาธารณะในรูปแบบรัฐสวัสดิการโดยไม่มีเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปตท. และธุรกิจพลังงาน การฟื้นฟู ร.ส.พ. ที่ สคร. และกระทรวงการคลังเห็นชอบเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ผ่านมา

3.รัฐบาลจะต้องจัดตั้งกระทรวงรัฐวิสาหกิจ เพื่อแยกการบริหารรัฐวิสาหกิจและนำงบประมาณรายได้ของรัฐวิสาหกิจกลับมาพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยแยกงบประมาณของรัฐวิสาหกิจออกจากกระทรวงการคลัง และให้มีการตั้งกองทุนพัฒนารัฐวิสาหกิจโดยให้ทุกภาคส่วนรวมทั้งสหภาพแรงงานมีส่วนร่วมในการบริหารกองทุน

4.รัฐบาลจะต้องยกร่างกฎหมายการพัฒนารัฐวิสาหกิจ โดยการยกร่างให้มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนรวมทั้งสหภาพแรงงาน เพื่อเป็นกรอบการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และทบทวนบทบาทองค์กรอิสระที่กำกับรัฐวิสาหกิจ เช่น กทช.

5.ในการแต่งตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้สหภาพแรงงานร่วมเป็นกรรมการ

6.การสรรหาผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจควรดำเนินการอย่างไม่ล่าช้า และเห็นควรให้ดำเนินการในการคัดเลือกในระบบเดิม แต่อาจกำหนดเพิ่มเรื่องความรู้ ความสามารถ กระบวนการคัดเลือก และประเมินผลอย่างต่อเนื่อง

เปิด 11 โครงการเอกชนดำเนินกิจการประปา

นพ.อนันต์ บุญโสภณ ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า ความพยายามแปรรูปการประปาฯในครั้งนี้ มีการใช้ลูกเล่นแพรวพราวที่หากประชาชนไม่รอบคอบอาจจะไม่เห็นความผิดปกติ โดยมีการซ่อนการแปรรูปไว้ เช่นการอ้างปรับปรุงโครงสร้าง โดยการแบ่งงานให้บริษัทเอกชนเข้ามาทำในบางส่วน เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ห้ามแปรรูปในกิจการบางอย่าง แต่เลี่ยงใช้เป็นการมอบอำนาจจัดการแทนรัฐ หรือการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการประปาฯหาดใหญ่กำลังจะเดินตามรอยการแปรรูปเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ “เอเอสทีวีผู้จัดการ” ได้รับข้อมูลถึงโครงการว่าจ้างเอกชนเข้ามาดำเนินกิจการของการประปาฯที่ดำเนินการมาในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ก่อนพยายามรุกคืบสู่การประปาฯหาดใหญ่, ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ว่า กปภ.ได้ทำสัญญาเพื่อให้เอกชนเข้าดำเนินการในระบบผลิตน้ำและขายน้ำให้กปภ. รวม 11 โครงการแล้ว วงเงินลงทุนโครงการรวม 16,467 ล้านบาท และมูลค่าสินน้ำ (น้ำประปา) ที่ซื้อ-ขายรวม 133,640 ล้านบาท ใน 3 รูปแบบ คือ
สุมิตร นวลมณี ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา
1.BOOT หมายถึงให้เอกชนลงทุนก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งผลิตและขายส่งให้แก่ กปภ.ในลักษณะ Bulk sale และเอกชนจะต้องโอนทรัพย์สินทั้งหมดแก่ กปภ.เมื่อครบสัญญา ได้แก่ โครงการปทุมธานี-รังสิต, นครสรรค์, ฉะเชิงเทรา และบางปะกง

2.BOO หมายถึง ให้เอกชนลงทุนก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งผลิตและขายส่งน้ำให้แก่ กปภ. ในลักษณะ Bulk sale โดยเอกชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดตลอดอายุสัญญา ได้แก่ โครงการราชบุรี-สมุทรสงคราม, เกาะสมุย (RO), พนัสนิคม-บ้านบึง และพัทยา

3.BTO หมายถึงให้เอกชนร่วมลงทุนกับ กปภ. เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบผลิต ปรับปรุงระบบจำหน่ายน้ำประปา และโอนให้แก่ กปภ.ทันทีที่ก่อสร้างเสร็จ โดย กปภ.จะให้เอกชนเป็นผู้ผลิตและขายน้ำส่งให้แก่ กปภ. หรือ Bulk sale

ผลกำไร-ขาดทุนที่ผ่านมาปรากฏว่า มีโครงการที่ได้กำไร 7 แห่ง ได้แก่ โครงการปทุมธานี-รังสิต ดำเนินการแล้ว 9 ปี กำไร 219.73 ล้านบาท, ฉะเชิงเทรา ดำเนินการแล้ว 4 ปี 8 เดือน กำไร 153.51 ล้านบาท, บางปะกง ดำเนินการแล้ว 4 ปี 8 เดือน กำไร 175.86 ล้านบาท, ภูเก็ต ดำเนินการแล้ว7 ปี 6 เดือน กำไร 205.93 ล้านบาท, เกาะสมุย ดำเนินการแล้ว 2 ปี 5 เดือน กำไร 42.23 ล้านบาท, พัทยา ดำเนินการแล้ว 2 ปี กำไร 7.54 ล้านบาท และ ระยอง ดำเนินการแล้ว 1 ปี 6 เดือน กำไร 72.33 ล้านบาท

ส่วนโครงการที่ขาดทุน มี 4 แห่ง ได้แก่ โครงการนครสวรรค์ ดำเนินการแล้ว 5 ปี - 6.25 ล้านบาท, ราชบุรี-สมุทรสงคราม ดำเนินการแล้ว 7 ปี 1 เดือน - 712.05 ล้านบาท, นครปฐม-สมุทรสาคร ดำเนินการแล้ว 3 ปี 9 เดือน - 2,845.24 ล้านบาท, พนัสนิคม-บ้านบึง ดำเนินการแล้ว 2 ปี 11 เดือน - 6.54 ล้านบาท

ตะลึง! โครงการเดียว 30 ปีรัฐสูญกว่าแสนล้าน

สำหรับตัวเลขกำไร-ขาดทุนเบื้องต้นทั้ง 11 โครงการ พบว่า โครงการนครปฐม-สมุทรสาคร ส่งผลให้รัฐเสียหายจากการดำเนินการมากที่สุด เป็นมูลค่า 123,212 ล้านบาท หากปล่อยให้มีการดำเนินการตามอายุสัญญา 30 ปี และมีเงื่อนงำความไม่โปร่งใสหลายประการ ทั้งการทำสัญญาซื้อขายระหว่าง กปภ.และบริษัทที่ไม่ใช่การซื้อขายทางแพ่งตามปกติ แต่มีการซ่อนสาระสำคัญให้รัฐรับความเสี่ยง และเสียผลประโยชน์ , การทำสัญญาผิดหลักการในการทำธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้รับจ้าง โดยซื้อน้ำจากเอกชนในราคาแพงแต่นำไปขายในราคาถูก, จำกัดสิทธิ์ของรัฐให้ซื้อน้ำกับบริษัทเพียงเจ้าเดียว เป็นต้น

ทั้งนี้ เมื่อนำตัวเลขจากอดีต (เริ่มสัญญา) – ปัจจุบัน และปัจจุบัน – อนาคต (สิ้นสุดสัญญา) พบว่าตัวเลขการขาดทุนเบื้องต้น (สะสม) ตลอดอายุสัญญาโครงการ 30 ปี จะเป็นเงินประมาณ -22,867.25 ล้านบาท ในกรณีที่ไม่ได้ปรับค่าน้ำ ณ อัตราเฉลี่ยของ กปภ. คือ 15.28 บาท/ลบ.ม. และ -1,622.25 ในกรณีได้ปรับค่าน้ำที่สะท้อนต้นทุน ประมาณ 49 บาท/ลบ.ม.

เมื่อนักบัญชีได้วิเคราะห์ตัวเลขกำไร-ขาดทุนสุทธิในโครงการนครปฐม-สมุทรสาคร พบว่าตัวเลขขาดทุนสุทธิตลอดอายุโครงการนี้จะเป็นเงินประมาณ -123,212 ล้านบาท กรณีคิด CPT (อัตราเงินเฟ้อ) ไม่คงที่ และ -64.181 ล้านบาท กรณีคิด CPT คงที่ 3%

เผยสัญญาปล่อยเอกชนข่มรัฐวิสาหกิจ

เอกสารดังกล่าว ยังระบุด้วยว่า สาเหตุสำคัญที่ขาดทุน วิเคราะห์ได้ดังนี้ 1.ทำสัญญาผิดหลักการในการทำธุรกิจ กล่าวคือ ซื้อน้ำจากเอกชนในราคาแพง แต่นำไปขายประชาชนในราคาถูก และอัตราค่าน้ำซื้อจากเอกชนได้ปรับขึ้นทุกปีตามสัญญา แต่อัตราค่าน้ำของ กปภ.ต้องเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล และคาดว่าการขอปรับอัตราค่าน้ำจากรัฐบาลมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากอัตราค่าน้ำเฉลี่ยของ กปภ. (15.28 บาท/ลบ.ม.) สูงกว่า กปน. (12.00 บาท/ลบ.ม.) และสูงกว่าอัตราค่าน้ำของท้องถิ่นถึง 3 เท่าตัว

2.สัญญาที่จัดทำไปแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ทำสัญญาโดยอ้างว่าเป็นการซื้อขายในทางแพ่งตามปกติ แต่เนื้อหาในสัญญาเป็นการร่วมดำเนินการกับเอกชน จึงเป็นการทำสัญญาที่ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องการให้มีการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ให้เป็นไปด้วยความชัดเจน โปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อรัฐ โดยต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการตามกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้ถ้ามูลค่าโครงการตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่โดยข้อเท็จจริงไม่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ

การทำสัญญาที่มีการร่วมกิจการกับบุคคลอื่น แต่มิได้เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การประปาส่วนภูมิภาค (ฉบับที่3) พ.ศ.2550 มาตรา 48 (5) แก้ไข พ.ร.บ.การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ.2552 มาตรา 48 (7)

3.มีการทำสัญญาไม่เป็นไปตามประเด็นที่คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นชอบ (ข้อกฎหมาย 3.3 และ 3.4)

4.ปริมาณน้ำที่รับซื้อมาในราคาสูงมีการสูญหายในระบบประมาณ 30-40% เนื่องจากเส้นท่อของ กปภ.ที่รับน้ำจากเอกชนมีสภาพเก่าชำรุดมาก ไม่สามารถรับแรงดันน้ำที่ส่งมาจากระบบผลิตน้ำของเอกชนได้

5.เอกชนคิดเงินลงทุนก่อสร้างในราคาสูงกว่า กปภ.มาก จึงขายน้ำให้ กปภ.ในราคาสูงเช่นกัน เนื่องจากเอกชนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการลงทุนอันประกอบด้วย ค่าที่ปรึกษา ค่าที่ดิน ค่ากำไร ค่าโสหุ้ย ค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมขออนุมัติต่างๆ ซึ่ง กปภ.ไม่เสียเงินลงทุนในส่วนนี้

พธม.ขอมือ “วีระ” จับผิดเปิดเวที 21 ก.พ.

นายสุมิตร นวลมณี ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.สงขลา เปิดเผยว่า การคัดค้านโครงการน้ำประปาใน อ.หาดใหญ่ ไม่สามารถหยุดนิ่งได้อีกต่อไป เพราะเห็นตัวอย่างของโครงการที่เคยทำมาก่อนซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ก่อความเสียหายให้แก่รัฐอย่างใหญ่หลวง ผู้บริโภคต้องซื้อน้ำแพงกว่าการให้ กปภ.เป็นผู้ดำเนินการเอง และประชาชนต้องสูญเสียเงินภาษีในการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น ดังนั้น ชาวสงขลา สุราษฎร์ธานี และชุมพร จะร่วมคัดค้านจนถึงที่สุด เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของส่วนรวม และสกัดไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาหาผลประโยชน์กับรัฐในพื้นที่อื่นๆ

ทั้งนี้ พันธมิตรฯ สงขลา ได้ส่งข้อมูลทั้งหมดให้นายวีระ สมความคิด ซึ่งมีความชำนาญในการจับผิดคนโกง และจะเปิดเวทีทอล์กโชว์เรื่องนี้ ตลอดจนกลโกงเรื่องอื่นๆ ในสังคมไทยที่ยังไม่มีการคลี่คลายให้สังคมได้ประจักษ์ ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่โรงยิมเนเซียม สนามกีฬาจิระนคร เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา
กำลังโหลดความคิดเห็น