สัมภาษณ์
ศูนย์ข่าวภูเก็ต
“เกียรติศักดิ์ ชาครหัตถะการ” ชายวัย 42 ปี ไม่ได้เป็นคนสุราษฎร์ธานีโดยกำเนิด แต่มาตั้งรกรากที่สุราษฎร์ธานีกว่า 20 ปีแล้ว ด้วยการยึดอาชีพ เปิดร้านขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค และกระโดดเข้ามาร่วมต่อสู้กับพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศในการปกป้องชาติ เมื่อเขาได้สัมผัสกับตัวเองจนมั่นใจว่าพันธมิตรฯทำเพื่อปกป้องชาติจริงๆ และแม้การชุมนุมของพันธมิตรฯจะยุติแล้ว แต่เกียรติศักดิ์และแกนนำอีกหลายคนในสุราษฎร์ธานีไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว เขาและผองเพื่อนพี่น้องพันธมิตรฯยังเดินหน้าสร้างความเป็นกลุ่มก้อนให้แก่พันธมิตรฯสุราษฎร์ธานีด้วยการจัดตั้ง “สมัชชาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสุราษฎร์ธานี”
นายเกียรติศักดิ์ ชาครหัตถะการ ประธานศูนย์ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดสุราษฎร์ฯ บอกกับ “ ASTV ผู้จัดการรายวัน” ถึงการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้ขับไล่ระบอบทักษิณกับพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศ ได้ติดตามข่าวสารผ่านทาง ASTV มาโดยตลอด เพราะตอนนั้นไม่แน่ใจว่าคนที่เดินทางไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ไปเพราะอะไร รับจ้างไปหรือเปล่า หรือไปเพราะมีการจัดตั้ง และทำเพื่อพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นหรือเปล่า จึงไม่ได้เดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ได้แต่ติดตามการเคลื่อนไหวผ่านทาง ASTV
จนกระทั่ง มีการเป่านกหวีดระดมคนในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 ซึ่งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำได้ออกมาประกาศการระดมพลครั้งนี้เป็นการทำสงครามขับไล่ระบอบทักษิณเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
เมื่อได้รับทราบว่าเป็นการระดมพลครั้งสุดท้าย และต้องการพี่น้องพันธมิตรฯเป็นจำนวนมากในการทำสงครามเผด็จศึกครั้งสุดท้าย จึงตัดสินใจชวนภรรยาเดินทางโดยเครื่องบินไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ และไปสมทบกับพี่น้องพันธมิตรฯสุราษฎร์ธานี เพื่อไปสัมผัสด้วยตัวเองว่า การชุมนุมเป็นจริงเหมือนที่พูดหรือไม่ พร้อมกับได้ร่วมเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังทำเนียบรัฐบาล
“จากการที่ได้ไปร่วมชุมนุมกับพี่น้องพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก ทำให้ข้อสงสัยต่างๆหมดไปทันที เพราะกลุ่มคนที่มาร่วมชุมนุมมีความหลากหลายมาก เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ มีความคิด และมีฐานะดี ซึ่งตรงนี้เราเรียนรู้และสัมผัสได้ด้วยตัวเอง ทุกคนที่มา มาด้วยความสมัครใจไม่มีการจ้างและจัดตั้งแต่อย่างใด และทุกคนที่มาร่วมชุมนุมมาเพื่อปกป้องชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์รวมทั้งขับไล่คนชั่วออกจากประเทศ”
นายเกียรติศักดิ์ บอกอีกว่า หลังจากได้ไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯครั้งแรก ซึ่งอยู่ร่วมชุมนุมประมาณ 2 วัน ก็กลับมาสุราษฎร์ธานี เมื่อกลับมารู้สึกเป็นห่วงพี่น้องพันธมิตรฯที่ร่วมชุมนุมกันที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจชวนภรรยาเดินทางไปร่วมชุมนุมทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยปิดร้านซึ่งเป็นร้านค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ในช่วงที่เดินทางไปร่วมชุมนุม เปิดขายแค่สัปดาห์ละ 4 วันเท่านั้น จนพันธมิตรฯจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้จัดกิจกรรมในพื้นที่ด้วยการตั้งจอโปรเจกเตอร์ถ่ายทอดสดจากเวทีพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯ ที่บริเวณสะพานนริศ เขตเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี จึงได้ไปช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการ ซึ่งช่วงแรกของการตั้งจอโปรเจกเตอร์ จะต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งในเรื่องของจอโปรเจกเตอร์ เครื่องเสียง วันละประมาณ 6,000 บาท แกนนำในช่วงนั้นจึงได้ระดมทุนจากคนที่รู้จักและลูกค้าที่มาซื้อสินค้าที่ร้าน มีการนำเสื้อยืดพันธมิตรฯจากส่วนกลาง และแผ่นซีดีมาจำหน่าย เพื่อหาเงินในการจัดซื้อทั้งจอโปรเจกเตอร์และเครื่องเสียง
การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯสุราษฎร์ธานี เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯทั้งเคลื่อนไหวในพื้นที่สุราษฎร์ฯและเดินทางไปสมทบที่กรุงเทพฯ แต่ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีเหตุการณ์อะไรก็มีการรวมตัวกันครั้งหนึ่ง ไม่สามารถระดมพลให้ได้ตามที่หวัง
ประกอบกับมีหลายคนสอบถามเรื่องการระดมทุนที่จะนำมาเคลื่อนไหวในพื้นที่ ที่เกิดความไม่เชื่อมั่นแกนนำในขณะนั้น ไม่มีสถานที่ในการติดต่อประสานงานที่ชัดเจน จึงได้ตกลงที่จะใช้ร้านค้าส่งของตน คือ “ร้านแม่เหล็ก” ซึ่งตั้งอยู่บ้านเลขที่ 13 ถ.ท่าทอง ต.ตลาด อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เป็นศูนย์ประสานงานพันธมิตรฯสุราษฎร์ธานี ทำให้การทำงานของพันธมิตรฯมีสถานที่ในการติดต่อประสานงานอย่างชัดเจน
นอกจาก ร้านแม่เหล็ก จะเป็นศูนย์ประสานงานแล้ว ยังเป็นสถานที่ในการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกต่างๆ ที่จะเป็นการช่วยกันระดมทุน เช่น เสื้อพันธมิตรฯที่ส่งมาจากกรุงเทพฯ เสื้อพันธมิตรฯที่สกรีนเองในพื้นที่ และแผ่นซีดี ก็สามารถมาซื้อได้ที่ร้าน ทำให้ไม่มีปัญหาเคลือบแคลงจากผู้ที่ร่วมบริจาค สร้างความโปร่งใสในการทำงาน เพราะทำงานในรูปของคณะกรรมการ มีการชี้แจงรายละเอียดให้รับทราบทั้งหมด
นายเกียรติศักดิ์ บอกเพิ่มว่า ภายหลังจากที่มีการยุติการชุมนุมของพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯ แกนนำพันธมิตรฯสุราษฎร์ธานีมีความเห็นร่วมกันว่า ไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรฯซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เสียสละต้องกระจัดกระจาย ต้องการให้พันธมิตรฯเกาะกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้น จึงได้ริเริ่มทำโครงการแจกจานดาวเทียม ASTV ให้มอบไปตามอำเภอต่างๆ โดยได้รับการสนับสนุนทุนก้อนแรกจากคุณพ่อของน้องแอร์ “ เมธาวดี” พิธีกรของทาง ASTV ในการซื้อจานดาวเทียม ASTV ซึ่งเบื้องต้นได้มีการะดมทุนซื้อจานไปแล้วทั้งสิ้น 5 จาน แจกและติดตั้งให้แก่ชุมชนที่สนใจติดต่อเข้ามา ซึ่งขณะนี้ได้แจกไปแล้วที่ นาสาร พุพลี พระแสง ไชยบุรี นาเดิม และไชยา โดยมีเงื่อนไขว่า จุดที่ติดตั้งจานดาวเทียมฯจะต้องมีคนเข้า-ออกไม่ต่ำกว่าวันละ 20 คน มีคนดูแลรักษา และต้องการที่จะเผยแพร่ข่าวสารของ ASTV โดยได้มอบให้แกนนำแต่ละอำเภอเป็นคนดูแล
ภายหลังจากที่ได้นำจานดาวเทียม ASTV ไปแจกระยะหนึ่งแล้ว แกนนำก็จะสัญจรเข้าไปในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะแนะนำให้ชุมชนนั้นจัดตั้งเป็นเครือข่ายหรือ “สมัชชาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสุราษฎร์ธานี” ซึ่งแนวคิดในการจัดตั้งเป็นสมัชชา เพื่อต้องการที่จะให้พันธมิตรฯเป็นกลุ่มเป็นก้อน เมื่อมีการเรียกรวมตัวเมื่อใดก็สามารถที่จะติดต่อประสานงานกันได้สะดวกและรวดเร็ว
ในการจัดตั้งเป็นสมัชชาฯนั้นจะมีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจนในรูปแบบของคณะทำงาน ที่มาจากพี่น้องพันธมิตรฯในพื้นที่นั้นๆ และมีการประชุมหารือกันทุกๆเดือน โดยได้จัดตั้งไปแล้วที่นาสาร พุพลี บางสวรรค์
ทั้งนี้ มีเป้าหมายขยายการจัดตั้งสมัชชาฯให้ครบทั้ง 19 อำเภอ มี 131 ตำบล 1,058 หมู่บ้าน ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งแต่ละหมู่บ้านนั้นจะมีผู้ประสานงาน 2 คน
นายเกียรติศักดิ์ บอกอีกว่า นอกจากการจัดตั้งสมัชชาฯให้ครบทุกหมู่บ้านแล้ว พันธมิตรฯสุราษฎร์ฯ ได้แสดงออกชัดเจนในการต่อต้านค้าปลีกข้ามชาติที่เข้ามาเปิดสาขาในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพราะการเข้ามาของค้าปลีกข้ามชาติในขณะนี้ ได้ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น จนทำให้ค้าปลีกค้าส่งในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก
จึงต้องออกไปให้ความรู้เรื่องกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง เพราะหากอยู่กันเฉยๆเชื่อว่าค้าปลีกค้าส่งข้ามชาติเหล่านั้น จะขยายสาขาในลักษณะที่เป็นสาขาเล็กๆเข้าไปทุกพื้นที่ เหมือนกับที่เกาะสมุยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
นายเกียรติศักดิ์ บอกทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนและพันธมิตรฯสุราษฎร์ธานีต่อสู้ร่วมกับพี่น้องพันธมิตรฯทั่วประเทศในการปกป้องชาติ เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ อยากให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม เพราะหากเราไม่ลุกขึ้นมาปกป้องความเป็นธรรมในสังคม คนเล็กๆไม่รวมตัวกันต่อสู้ก็จะถูกเอาเปรียบจากคนที่มีอำนาจและนายทุนที่ใหญ่กว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตราบใดที่คนตัวเล็กๆอย่างเราลุกขึ้นมาต่อสู้ผู้มีอำนาจก็ไม่กล้าที่จะเข้ามารังแกอย่างแน่นอน