xs
xsm
sm
md
lg

มิจฉาทิฐิทั้งสองฝ่าย ซ้ำเติมความหายนะของชาติ

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

ฝ่ายเสื้อแดง พลพรรคฯ รักทักษิณ เรียกร้องให้โละรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทน แล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยมุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้อง หากมองผ่านๆ เป็นแผนเพื่อช่วยคุณทักษิณให้พ้นผิด แต่แผนลึกที่ซุ่มซ่อนอำพรางอยู่ คือการรุกทางการเมืองเพื่อมุ่งไปสู่ระบบประธานาธิบดี โดยผ่านรัฐธรรมนูญปี 2540 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้มีรูปแบบการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) และพัฒนาไปสู่ระบบประธานาธิบดีในที่สุด

อีกแนวทางหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้เสนอแนวทางให้มีการปฏิรูปการเมือง โดยให้สถาบันพระปกเกล้าฯ เป็นแกนนำ โดยจะให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ มุ่งหมายว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะสามารถสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้

ป. เพชรอริยะ ขอบอกว่า ทั้งสองแนวคิด เป็นแนวทางมิจฉาทิฐิ ล้วนต่างก็ยึดแนวทางลัทธิรัฐธรรมนูญ โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลาง และรัฐธรรมนูญกลายเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองของชาติอย่างชั่วร้ายที่สุด นับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ซึ่งได้สร้างความหายนะให้กับประเทศชาติและประชาชนมามายมาย ยาวนานเกินกว่าที่จะกล่าว ดังที่ปรากฏอยู่

ส่วนวิธีคิดเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ
เพื่อประชาชนนั้น เป็นวิธีคิดที่แผ่เมตตาออกไปเพื่อที่จะให้ ให้ด้วยนโยบายที่เป็นธรรมต่อประชาชน ให้ด้วยวิธีคิดที่เป็นธรรม ให้ด้วยสติปัญญา ทำให้ประชาชนในชาติฉลาดรู้เท่าทัน ไม่ใช่เอาเงินไปแจกมอมเมา เพื่อจะได้คะแนนเสียงเป็นสิ่งตอบแทน แต่กลับทำให้ประชาชนโง่เขลา ประเทศชาติเสื่อมโทรมตกต่ำเสียเกียรติยศ

ทางสายกลาง คืออะไร? คือปัญญาในการคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นเหตุเป็นผล อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล แล้วสืบสาวไปหาเหตุ หรือปมเงื่อนแห่งปัญหาของประเทศชาติในกัจจานโคตตสูตร (พระไตรปิฎกเล่มที่ 16 ข้อที่ 42) ท่านพระกัจจานโคตต์ มีความสงสัยเรื่องสัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบหรือเห็นอย่างถูกต้องวิถีธรรม) จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถามว่า สัมมาทิฐิ มีเหตุอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่า สัมมาทิฐิ

พระพุทธเจ้า
ตรัสว่า ดูกรกัจจจานะ โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมีกับความไม่มี ถ้าบุคคลเห็นความเกิดของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความไม่มีในโลกย่อมไม่มี และเมื่อบุคคลเห็นความดับของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงแล้ว ความมีในโลกย่อมไม่มี เพราะบุคคลส่วนมากยังพัวพันด้วยอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น และอนุสัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนของเรา จึงมองไม่เห็นไม่สงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละเกิดขึ้น ทุกข์นั่นแหละดับไป พระอริยสาวกนั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า สัมมาทิฐิ

อีกประเด็นหนึ่งชนทั่วไปมักจะเข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ และสิ่งทั้งปวงไม่มี อันเป็นความเห็นความเข้าใจสุดโต่งทั้งสองด้าน พระพุทธเจ้า ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงสอนทางสายกลาง ไม่เข้าไปสุดโต่งทั้งสองข้าง ทรงชี้แจงว่า “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ…ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมเกิดขึ้นด้วยประการอย่างนี้ และในอีกด้านหนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ… ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ จึงเกิดขึ้นได้อย่างนี้”

พระพุทธเจ้า จะไม่แสดงว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ หรือสิ่งทั้งปวงไม่มี แต่ให้มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น และดับไปตามเหตุปัจจัยตาม กฎอิทัปปจจยตาและปฏิจจสมุปบาท เมื่อได้พิจารณา อริยสัจ 4 จะเห็นได้ว่า ทุกข์ เป็นผล เพราะเกิดจากเหตุ คือ สมุทัย ได้แก่ อวิชชา ตัณหา (ความทะยานอยาก) อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาตัวตนเป็นเรา เป็นเขา เป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง) และ นิโรธ เป็นผลของการปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นเหตุ จะเห็นว่า คำสอนพระพุทธองค์เป็นทางสายกลาง คือให้คิดพิจารณาสัมพันธภาพระหว่างปัจจัยเหตุและผล เมื่อคิดจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ นั่นเอง

ท่านทั้งหลายหากได้พิจารณา มรรคมีองค์ 8 ข้อที่หนึ่งคือ สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบหรือเห็นถูกต้อง เมื่อเห็นชอบจะเป็นปัจจัยให้คิดชอบ, พูดชอบ, กระทำชอบ, อาชีพชอบ, ระลึกชอบ, ตั้งใจมั่นชอบ แต่ในที่นี้จะแสดงให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย ถ้าเหตุดี ผลก็จะดี เป็นไปตามลำดับตลอดสาย แต่ถ้าเหตุเลว จะแผ่ความเลวออกไปเป็นลำดับ ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดตลอดสายเดียวเช่นกัน

เมื่อได้พิจารณากฎอิทัปปจจยตา อันเป็นกฎสัมพันธภาพของเหตุปัจจัยระหว่างเหตุและผล คือ

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี)

เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น)

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี (เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นก็ไม่มี)

เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับด้วย)

ท่านทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า ในจักรวาลนี้ โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะพ้นไปจาก กฎอิทัปปจจยตา นี้ได้ สรรพสิ่งล้วนเป็นไป ดำเนินไปตามกฎอิทัปปจจยตาทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติ แล้วนำมาสอน บัญญัติ ก็ล้วนแล้วเป็นไปตามกฎอิทัปปจจยตาทั้งสิ้น

เมื่อจะคิดแก้ปัญหา ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ก็ต้องอาศัยกฎธรรมชาติ ปัญญาอันยิ่งย่อมเกิดจากคำสอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช องค์ปัจจุบัน ทรงเจริญรอยตามพระศาสดา ทรงเป็นแบบอย่างในการคิดแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน

การแก้ปัญหาทุกข์ภายในจิตใจ เป็นเรื่องของปัจเจกชน จึงต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ นั้นคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น และเมื่อคิดจะแก้ปัญหาภายนอก อันเป็นเรื่องสังคมหรือปัญหาประเทศชาติ และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด คือปัญหาทุกข์ของแผ่นดิน อันเป็นทุกข์ร่วมของปวงชนในชาติ เราก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุแห่งความทุกข์ของแผ่นดิน เมื่อพิจารณาทั้งองค์รวม ทั้งกระบวนการตลอดสายคือ สัมมาทิฐิ ความเห็นถูก ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้รู้ว่าต้องมีหลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ

หลักการปกครอง (ระบอบ) ย่อมเป็นเหตุปัจจัย เป็นแม่บทให้มีรัฐธรรมนูญโดยธรรม

รัฐธรรมนูญโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้เกิดรัฐบาลโดยธรรม

รัฐบาลโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีการปกครองโดยธรรม

รัฐบาล ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อกระทรวง

กระทรวง ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อกรม

กรม ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อจังหวัด... อำเภอ, ตำบล, หมู่บ้าน, เป็นลำดับไปจนถึงบุคคล หรือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด เมื่อจะแก้ปัญหาก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ คือ สัมมาทิฐิ คือความเห็นถูกต้อง ว่าหลักการปกครอง (ระบอบ) ต้องมาก่อน เกิดก่อน รัฐธรรมนูญ นั่นเอง

ท่านทั้งหลาย มันแปลกใจที่ว่า นับแต่รัฐบาลแรก เมื่อปี 2475 จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ยังวนเวียนอยู่กับการคิดแค่รัฐธรรมนูญ อันเป็นแนวทางมิจฉาทิฐิที่ผิดอย่างมหันต์ ผิดอย่างซ้ำซากมาแล้วถึง 18 ครั้ง ก็ยังคิดวนเวียนอยู่ในกรอบเดิม นำมาซึ้งความหายนะให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างร้ายแรง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่พอกันอีกหรือ

บางคนก็บอกว่ามันอยู่ที่คน ถ้ามองไปที่ตัวบุคคล เช่น ปลุกระดมประชาชนลุกขึ้นมาไล่รัฐบาล หรือทำรัฐประหารขับไล่รัฐบาลออกไป ได้รัฐบาลใหม่เข้ามา มันก็ซ้ำรอยเดิม คือแก้ปัญหาปลายเหตุ แก้ปัญหาคอร์รัปชัน และแก้ปัญหาประเทศชาติไม่ได้ กลับจะสร้างปัญหาใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนจับต้นชนปลายไม่ถูก ยุ่งเหยิงสับสนไปหมด

ป. เพชรอริยะ ยืนยันตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ กฎอิทัปปจจยตา อันเป็นทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่ได้มองบุคคลหรือรัฐบาลเป็นเหตุเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาภาพรวมทั้งองค์รวม หรือมองป่าทั้งป่า หรือมองช้างทั้งตัว คือมองตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ทั้งองค์รวม ก็จะเห็นว่า ระบอบการปกครองมิจฉาทิฐิ ไม่เคยมีหลักการปกครองโดยธรรม จะติติงรัฐบาลให้จัดทำระบอบการปกครองให้ถูกต้องก็ไม่เป็นผล แต่ถ้าพิจารณาอย่างสัตบุรุษ จะเห็นว่าผู้เขียนได้แนะนำรัฐบาลด้วยความเมตตาเสมอมา เป็นลำดับ แนะนำให้แก้ปัญหาตรงต้นเหตุ หรือเหตุแห่งปัญหาทั้งปวงของประเทศชาติ เชื่อว่ารัฐบาลได้รับรู้แล้ว เว้นแต่กิเลสครอบงำ มืดบอดทางปัญญาก็ยากที่จะเข้าใจได้

หรือจะซ้ำรอยเดิม คือ ทุกรัฐบาล... ที่ขึ้นมาบริหารประเทศภายใต้ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ (ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรมอันเป็นแก่นแท้ของชาติ อันเป็นจุดมุ่งหมายร่วมกันของประชาชนในชาติ) ที่เป็นอยู่นี้ จะเข้าทำนองต้นดี ปลายร้าย แรกเข้ามาใหม่ๆ ประชาชนชื่นชม และจากไปเพราะถูกประชาชนขับไล่ไสส่ง เป็นเช่นนี้เรื่อยมาทุกรัฐบาล ทั้งนี้เพราะพวกเขามัวแต่แก้ปัญหาปลายเหตุอยู่นั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น