ถือเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยเป็นอย่างมาก หลังตำรวจออกหมายจับ “ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ” สังกัด บช.ปส.ช่วยราชการดีเอสไอ และ “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา” สังกัดศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี เป็นผู้ต้องหาพยายามฆ่า “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไปเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา และหากนับถึงวันนี้ รวม 9 วันแล้ว ที่ 2 ผู้ต้องหาชุดแรกยังหลบหนีการจับกุม...ด้วยเหตุดังกล่าว คำถามจึงตามมาว่า ใคร? คือผู้ที่พาเขาหลบหนี..ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการให้สัมภาษณ์ของ “พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์” รอง ผบ.ตร.หัวหน้าทีมพนักงานสอบสวนว่า “ที่ผ่านมาการทำคดีไม่มีความคืบหน้า เพราะตำรวจบางนายไม่มีจิตวิญญาณของการทำหน้าที่ตำรวจ บางนายทำตัวเป็นไส้ศึก ทำให้ข้อมูลบางอย่างรั่วไหล”
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปจับยามสามตา จากคำให้สัมภาษณ์ของบุคคลในข่าว...เกี่ยวกับตัว “วรวุฒิ และปัญญา” ถือว่ามี (วัน เวลา นอ) ในการหลบหนีอย่างน่าสงสัยว่า 2 ตัววายร้ายนี้ ต้องมีคนใหญ่ คนโต ช่วยแน่นอน...
เริ่มจากข้อสัยใครพา “วรวุฒิ” หนี....วันที่ 15 ก.ค. พล.ต.ต.อดิเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส.ได้รับแจ้งจากดีเอสไอว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ขาดราชการตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ซึ่งทางดีเอสไอไม่สามารถติดต่อได้
19 ก.ค. พล.ต.ต.อดิเทพ ระบุว่า พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส.ลงนามคำสั่งให้ ส.ต.ท.วรวุฒิ ออกจากราชการเนื่องจากผิดวินัยร้ายแรงจากการขาดราชการเกิน 15 วัน ทำให้ความเป็นเจ้าพนักงานสิ้นสุดลงทันที
ทั้งนี้ ส.ต.ท.วรวุฒิ เข้ารับราชการสังกัด บช.ปส.ตั้งแต่ 1 มี.ค.2545 ทำหน้าที่ติดต่อหาข้อมูลข่าวตามศูนย์ข่าว รวมถึงการสืบราชการลับ จากนั้นได้ขอโอนไปช่วยราชการที่ดีเอสไอ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2551 โดยหลังเหตุลอบยิง “สนธิ” เมื่อ 17 เม.ย. พบว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ดีเอสไอ โดยมีหลักฐานในการร่วมทำคดีสำคัญหลายคดี เป็นเครื่องยืนยัน
โดยข้อสงสัยข้อนี้ ต่อมา (15 ก.ค.) พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ ชี้แจงว่า “ส.ต.ท.วรวุฒิ” ไม่เคยนั่งทำงานหน้าห้องรองอธิบดี แต่ยอมรับเคยร่วมงานเฉพาะมีภารกิจจับกุมที่ต้องร้องขอกำลังเสริมเท่านั้น ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า หลังเกิดเหตุยิงนายสนธิ “ส.ต.ท.วรวุฒิ” ก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่ยังคงช่วยงานดีเอสไออยู่
22 ก.ค. ดีเอสไอ เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พ.อ.สุรศักดิ์ เรื่องการเบิกใช้รถยนต์ ทะเบียน สษ 1785 กทม. เพราะมีหลักฐานปรากฏว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ เซ็นชื่อเบิกใช้รถคันดังกล่าว 2 ครั้ง และ พ.อ.สุรศักดิ์ ณ ลำปาง ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและการตรวจสอบ เป็นผู้ลงนามอนุมัติแทน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งผิดระเบียบ เพราะตามขั้นตอนตามปกติแล้ว การเบิกใช้รถยนต์ของดีเอสไอผู้บัญชาการสำนักคดีฯ ทำเรื่องขอให้อธิบดี หรือรองอธิบดีที่ดูแลสำนักคดีต่างๆ ที่รับผิดชอบ อนุมัติก่อนนำรถออกไปใช้
กรณีรถยนต์คันดังกล่าว พบว่า พ.อ.สุรศักดิ์ เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้ ส.ต.ท.วรวุฒิ เบิกไปใช้งาน และยังพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกเบิกใช้งานเป็นประจำ โดยแจ้งว่ามีภารกิจต่อเนื่อง และจะส่งเพียงเอกสารมายังเจ้าหน้าที่ทุก 15 วัน ว่ารถยนต์ยังใช้งานในภารกิจ
สำหรับ พ.อ.สุรศักดิ์ เคยเป็นผู้อำนวยการสำนักสะกดรอย ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและการตรวจสอบ แทน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ ที่ขยับเป็นรองอธิบดีฯ พ.อ.สุรศักดิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านการข่าว ก่อนโอนย้ายสังกัดดีเอสไอ เคยรับราชการอยู่ที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ขณะที่ทางข่าวพบว่า รถยนต์คันที่เบิกใช้งานครั้งนี้ ไม่ได้นำไปใช้ในวันสังหาร “สนธิ” แต่เป็นรถที่นำไปใช้ในการตัดสายกล้องวงจรปิดจุดเกิดเหตุ โดยการปฏิบัติการของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ได้แฝงตัวเป็นพนักงานการไฟฟ้า ใส่เสื้อพนักงานการไฟฟ้า โดยมีชายชื่อ “เปา” ซึ่งเป็นสายของดีเอสไอเป็นคนจัดหาให้
สำหรับประวัติของ “วรวุฒิ” คนในดีเอสไอ เล่าขานกันว่า เดิมทีเขาคือเด็กเดินยาเสพติดในพื้นที่คลองเคย ที่ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ จับกุมได้บ่อยครั้ง สมัยอยู่ บช.ปส. และเห็นว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นสายให้ตำรวจได้ จึงนำมาเป็นสาย ประกอบกับ “วรวุฒิ” เป็นคนที่มีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์ แต่ทักษะยังไม่เพียงพอในการสืบราชการลับ หรือทำงานใต้ดิน จึงส่งไปฝึกฝนในสำนักงานค่ายโทรศัพท์ของทักษิณ ก่อนที่จะลาออกและส่งเข้าเป็นตำรวจ เริ่มจากตำแหน่งพลขับประจำรถ “พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ผบช.ปส.ในขณะนั้น
จากนั้นหลัง พ.ต.อ.ดุษฎี มาอยู่ดีเอสไอ คุมสำนักคดีเทคโนโลยีฯ ครั้ง พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ จึงได้ขอตัว “วรวุฒิ” มาช่วยงานดีเอสไอ โดยไม่ได้ทำเป็นหลักฐานขอตัวอย่างเป็นทางการ อ้างว่า ทำงานลับเป็นครั้งคราว พร้อมกับได้เสนอเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เป็น “นายอรรถพล ปาทาน” โดยอ้างว่าต้องการให้ง่ายต่อการสืบคดียาเสพติดในภาคใต้
ประเด็นมาอยู่ที่ว่า ทำไมต้องใช้นามสกุล “ปาทาน” เนื่องจากพบว่ากลุ่มปาทานเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.สระบุรี ซึ่งเป็นเจตนาของบิ๊กดีเอสไอตั้งแต่แรก เพื่อหลอกล่อทีมสืบสวน ป้องกันการจับกุมได้ในภายหลัง
นอกจากนั้น ทางข่าวทราบว่า หลักฐานการขอเปลี่ยนชื่อที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอไปยังอธิบดีกรมการปกครอง เมื่อเร็วๆ นี้ ประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมา ได้ถูกทำลาย แต่การทำลายหลักฐานทิ้งในครั้งนี้ ถือเป็นการทำลายโดยอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ ที่มีกฎหมายรองรับ จึงถือว่าไม่มีความผิด...
มาถึง “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา” ซึ่งบุคคลคนนี้ถือเป็นสายเลือดทหาร ผู้ใกล้ชิด พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. โดยหลักฐานที่บ่งบอกว่า “จ่าปัญญา” เข้าไปกบดานอยู่ในโรงไม้ของ พล.อ.เชษฐา หลังก่อเหตุยิง “สนธิ” คือ เมื่อครั้งตำรวจได้ลงพื้นที่ค้นหาพยานหลักฐานในคดีที่บริษัท กฤษณาฟ้าสยาม จำกัด เลขที่ 2/1 หมู่ที่ 10 ต.ประณีต อ.เขาสมิง จ.ตราด ซึ่งมีชื่อ นางอรทัย ฐานะจาโร อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ลูกสะใภ้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นกรรมการบริษัทเพียงคนเดียว
วันนั้นผลการสอบปากคำคนงาน ให้การว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา “จ่าปัญญา” ได้มาทำงานที่โรงไม้ดังกล่าว ซึ่งสอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของ “นางอรทัย ฐานะจาโร” ที่ยอมรับว่า “จ่าปัญญา” ได้มาสมัครทำงานที่โรงไม้จริง และหายตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมเช่นกัน ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงวันเวลาก่อนที่จะออกหมายจับ
17 ก.ค. พล.อ.เชษฐา ยอมรับว่า จ.ส.อ.ปัญญา เคยมาช่วยงานราชการสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ไม่เคยรู้ลึกไปถึงว่า จ.ส.อ.ปัญญา ไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่อย่างไร พร้อมยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้กับตนแน่นอน
สำหรับ จ.ส.อ.ปัญญา นั้นถูกขอตัวไปช่วยราชการยัง กอ.รมน.ตั้งแต่ปี 2547 เพื่อทำงานลับให้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. และหากตำรวจจะขอตัวมาดำเนินคดีต้องทำเรื่องไปยัง กอ.รมน.ส่วน 4
ส่วนการขอตัว “จ่าปัญญา” มาดำเนินคดี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ทำหนังสือด่วนถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เพื่อประสานขอความร่วมมือในการส่งตัว "จ.ส.อ.ปัญญา" ไปดำเนินคดี โดยกองทัพบกประสานไปยังทางต้นสังกัด ผ่าน พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ให้ส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา ให้ตำรวจ แต่ฝ่ายทหารอ้างว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ทำหนังสือส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา กลับต้นสังกัดเดิมแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบว่า จ.ส.อ.ปัญญา หลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด
20 ก.ค. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำสำนักงาน พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. เชื่อว่า จ.ส.อ.ปัญญา ยังกบดานในไทย ส่วนข่าวว่าหนีไปกบดานที่เกาะกง โดยมีลูกน้องของนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ มารับตัวไปนั้น พล.ต.ต. สุเมธ คิดว่าน่าจะเป็นการจินตนาการไปเอง
ดังนั้น วันนี้ “ส.ต.ท.วรวุฒิ” หลบหนีอยู่ที่ไหน ใครให้ที่พักพิง ขณะที่ตามสัญชาติญาณของ ตำรวจ มีอยู่สองทาง คือ 1.ยังคงดูแลและให้ความคุ้มครอง ส.ต.ท.วรวุฒิ อยู่ และ 2.ส.ต.ท.วรวุฒิ อาจจะโชคร้ายถูกฆ่าตัดตอนไปแล้วเพื่อป้องกันการถูกจับกุม ปิดปากซัดทอดถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ส่วน “จ.ส.อ.ปัญญา” น่าเชื่อว่า ยังมีชีวิตอยู่ เพราะทหารจะไม่ฆ่าพวกเดียวกัน และจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีผู้ใหญ่ คอยให้การช่วยเหลือ คาดว่า “จ.ส.อ.ปัญญา” อาจจะหลบหนีอยู่ในพื้นที่จังหวัดตราด ภาคใต้ หรือไม่ก็เกาะกง โดยมีทหารผู้ใกล้ชิดรับทราบความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี
ส่วนท้ายสุด...จากข้อมูลเส้นทางหนีของ “หมู่วรวุฒิ และ จ่าปัญญา” ผู้เป็นนายของบุคคลทั้งสองจะมีส่วนรับรู้ รู้เห็น และจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ต้องหาชุดที่สองหรือไม่ เรื่องนี้ต้องติดตาม....
อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปจับยามสามตา จากคำให้สัมภาษณ์ของบุคคลในข่าว...เกี่ยวกับตัว “วรวุฒิ และปัญญา” ถือว่ามี (วัน เวลา นอ) ในการหลบหนีอย่างน่าสงสัยว่า 2 ตัววายร้ายนี้ ต้องมีคนใหญ่ คนโต ช่วยแน่นอน...
เริ่มจากข้อสัยใครพา “วรวุฒิ” หนี....วันที่ 15 ก.ค. พล.ต.ต.อดิเทพ ปัญจมานนท์ รอง ผบช.ปส.ได้รับแจ้งจากดีเอสไอว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ขาดราชการตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ซึ่งทางดีเอสไอไม่สามารถติดต่อได้
19 ก.ค. พล.ต.ต.อดิเทพ ระบุว่า พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผบช.ปส.ลงนามคำสั่งให้ ส.ต.ท.วรวุฒิ ออกจากราชการเนื่องจากผิดวินัยร้ายแรงจากการขาดราชการเกิน 15 วัน ทำให้ความเป็นเจ้าพนักงานสิ้นสุดลงทันที
ทั้งนี้ ส.ต.ท.วรวุฒิ เข้ารับราชการสังกัด บช.ปส.ตั้งแต่ 1 มี.ค.2545 ทำหน้าที่ติดต่อหาข้อมูลข่าวตามศูนย์ข่าว รวมถึงการสืบราชการลับ จากนั้นได้ขอโอนไปช่วยราชการที่ดีเอสไอ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2551 โดยหลังเหตุลอบยิง “สนธิ” เมื่อ 17 เม.ย. พบว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ยังคงปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ดีเอสไอ โดยมีหลักฐานในการร่วมทำคดีสำคัญหลายคดี เป็นเครื่องยืนยัน
โดยข้อสงสัยข้อนี้ ต่อมา (15 ก.ค.) พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีดีเอสไอ ชี้แจงว่า “ส.ต.ท.วรวุฒิ” ไม่เคยนั่งทำงานหน้าห้องรองอธิบดี แต่ยอมรับเคยร่วมงานเฉพาะมีภารกิจจับกุมที่ต้องร้องขอกำลังเสริมเท่านั้น ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่า หลังเกิดเหตุยิงนายสนธิ “ส.ต.ท.วรวุฒิ” ก็ไม่ได้หลบหนีไปไหน แต่ยังคงช่วยงานดีเอสไออยู่
22 ก.ค. ดีเอสไอ เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง พ.อ.สุรศักดิ์ เรื่องการเบิกใช้รถยนต์ ทะเบียน สษ 1785 กทม. เพราะมีหลักฐานปรากฏว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ เซ็นชื่อเบิกใช้รถคันดังกล่าว 2 ครั้ง และ พ.อ.สุรศักดิ์ ณ ลำปาง ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและการตรวจสอบ เป็นผู้ลงนามอนุมัติแทน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งผิดระเบียบ เพราะตามขั้นตอนตามปกติแล้ว การเบิกใช้รถยนต์ของดีเอสไอผู้บัญชาการสำนักคดีฯ ทำเรื่องขอให้อธิบดี หรือรองอธิบดีที่ดูแลสำนักคดีต่างๆ ที่รับผิดชอบ อนุมัติก่อนนำรถออกไปใช้
กรณีรถยนต์คันดังกล่าว พบว่า พ.อ.สุรศักดิ์ เป็นผู้ลงนามอนุมัติให้ ส.ต.ท.วรวุฒิ เบิกไปใช้งาน และยังพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกเบิกใช้งานเป็นประจำ โดยแจ้งว่ามีภารกิจต่อเนื่อง และจะส่งเพียงเอกสารมายังเจ้าหน้าที่ทุก 15 วัน ว่ารถยนต์ยังใช้งานในภารกิจ
สำหรับ พ.อ.สุรศักดิ์ เคยเป็นผู้อำนวยการสำนักสะกดรอย ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและการตรวจสอบ แทน พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ ที่ขยับเป็นรองอธิบดีฯ พ.อ.สุรศักดิ์ มีความเชี่ยวชาญด้านการข่าว ก่อนโอนย้ายสังกัดดีเอสไอ เคยรับราชการอยู่ที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ขณะที่ทางข่าวพบว่า รถยนต์คันที่เบิกใช้งานครั้งนี้ ไม่ได้นำไปใช้ในวันสังหาร “สนธิ” แต่เป็นรถที่นำไปใช้ในการตัดสายกล้องวงจรปิดจุดเกิดเหตุ โดยการปฏิบัติการของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ได้แฝงตัวเป็นพนักงานการไฟฟ้า ใส่เสื้อพนักงานการไฟฟ้า โดยมีชายชื่อ “เปา” ซึ่งเป็นสายของดีเอสไอเป็นคนจัดหาให้
สำหรับประวัติของ “วรวุฒิ” คนในดีเอสไอ เล่าขานกันว่า เดิมทีเขาคือเด็กเดินยาเสพติดในพื้นที่คลองเคย ที่ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ จับกุมได้บ่อยครั้ง สมัยอยู่ บช.ปส. และเห็นว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นสายให้ตำรวจได้ จึงนำมาเป็นสาย ประกอบกับ “วรวุฒิ” เป็นคนที่มีความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องโทรศัพท์ แต่ทักษะยังไม่เพียงพอในการสืบราชการลับ หรือทำงานใต้ดิน จึงส่งไปฝึกฝนในสำนักงานค่ายโทรศัพท์ของทักษิณ ก่อนที่จะลาออกและส่งเข้าเป็นตำรวจ เริ่มจากตำแหน่งพลขับประจำรถ “พล.ต.ท.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ผบช.ปส.ในขณะนั้น
จากนั้นหลัง พ.ต.อ.ดุษฎี มาอยู่ดีเอสไอ คุมสำนักคดีเทคโนโลยีฯ ครั้ง พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดีดีเอสไอ จึงได้ขอตัว “วรวุฒิ” มาช่วยงานดีเอสไอ โดยไม่ได้ทำเป็นหลักฐานขอตัวอย่างเป็นทางการ อ้างว่า ทำงานลับเป็นครั้งคราว พร้อมกับได้เสนอเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เป็น “นายอรรถพล ปาทาน” โดยอ้างว่าต้องการให้ง่ายต่อการสืบคดียาเสพติดในภาคใต้
ประเด็นมาอยู่ที่ว่า ทำไมต้องใช้นามสกุล “ปาทาน” เนื่องจากพบว่ากลุ่มปาทานเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.สระบุรี ซึ่งเป็นเจตนาของบิ๊กดีเอสไอตั้งแต่แรก เพื่อหลอกล่อทีมสืบสวน ป้องกันการจับกุมได้ในภายหลัง
นอกจากนั้น ทางข่าวทราบว่า หลักฐานการขอเปลี่ยนชื่อที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอไปยังอธิบดีกรมการปกครอง เมื่อเร็วๆ นี้ ประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมา ได้ถูกทำลาย แต่การทำลายหลักฐานทิ้งในครั้งนี้ ถือเป็นการทำลายโดยอำนาจของอธิบดีดีเอสไอ ที่มีกฎหมายรองรับ จึงถือว่าไม่มีความผิด...
มาถึง “จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา” ซึ่งบุคคลคนนี้ถือเป็นสายเลือดทหาร ผู้ใกล้ชิด พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. โดยหลักฐานที่บ่งบอกว่า “จ่าปัญญา” เข้าไปกบดานอยู่ในโรงไม้ของ พล.อ.เชษฐา หลังก่อเหตุยิง “สนธิ” คือ เมื่อครั้งตำรวจได้ลงพื้นที่ค้นหาพยานหลักฐานในคดีที่บริษัท กฤษณาฟ้าสยาม จำกัด เลขที่ 2/1 หมู่ที่ 10 ต.ประณีต อ.เขาสมิง จ.ตราด ซึ่งมีชื่อ นางอรทัย ฐานะจาโร อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ลูกสะใภ้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร เป็นกรรมการบริษัทเพียงคนเดียว
วันนั้นผลการสอบปากคำคนงาน ให้การว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา “จ่าปัญญา” ได้มาทำงานที่โรงไม้ดังกล่าว ซึ่งสอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของ “นางอรทัย ฐานะจาโร” ที่ยอมรับว่า “จ่าปัญญา” ได้มาสมัครทำงานที่โรงไม้จริง และหายตัวไปเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมเช่นกัน ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงวันเวลาก่อนที่จะออกหมายจับ
17 ก.ค. พล.อ.เชษฐา ยอมรับว่า จ.ส.อ.ปัญญา เคยมาช่วยงานราชการสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ไม่เคยรู้ลึกไปถึงว่า จ.ส.อ.ปัญญา ไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่อย่างไร พร้อมยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้กับตนแน่นอน
สำหรับ จ.ส.อ.ปัญญา นั้นถูกขอตัวไปช่วยราชการยัง กอ.รมน.ตั้งแต่ปี 2547 เพื่อทำงานลับให้ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีต ผบ.ทบ. และหากตำรวจจะขอตัวมาดำเนินคดีต้องทำเรื่องไปยัง กอ.รมน.ส่วน 4
ส่วนการขอตัว “จ่าปัญญา” มาดำเนินคดี พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ทำหนังสือด่วนถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เพื่อประสานขอความร่วมมือในการส่งตัว "จ.ส.อ.ปัญญา" ไปดำเนินคดี โดยกองทัพบกประสานไปยังทางต้นสังกัด ผ่าน พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ให้ส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา ให้ตำรวจ แต่ฝ่ายทหารอ้างว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ทำหนังสือส่งตัว จ.ส.อ.ปัญญา กลับต้นสังกัดเดิมแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบว่า จ.ส.อ.ปัญญา หลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด
20 ก.ค. พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำสำนักงาน พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. เชื่อว่า จ.ส.อ.ปัญญา ยังกบดานในไทย ส่วนข่าวว่าหนีไปกบดานที่เกาะกง โดยมีลูกน้องของนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ มารับตัวไปนั้น พล.ต.ต. สุเมธ คิดว่าน่าจะเป็นการจินตนาการไปเอง
ดังนั้น วันนี้ “ส.ต.ท.วรวุฒิ” หลบหนีอยู่ที่ไหน ใครให้ที่พักพิง ขณะที่ตามสัญชาติญาณของ ตำรวจ มีอยู่สองทาง คือ 1.ยังคงดูแลและให้ความคุ้มครอง ส.ต.ท.วรวุฒิ อยู่ และ 2.ส.ต.ท.วรวุฒิ อาจจะโชคร้ายถูกฆ่าตัดตอนไปแล้วเพื่อป้องกันการถูกจับกุม ปิดปากซัดทอดถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ส่วน “จ.ส.อ.ปัญญา” น่าเชื่อว่า ยังมีชีวิตอยู่ เพราะทหารจะไม่ฆ่าพวกเดียวกัน และจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีผู้ใหญ่ คอยให้การช่วยเหลือ คาดว่า “จ.ส.อ.ปัญญา” อาจจะหลบหนีอยู่ในพื้นที่จังหวัดตราด ภาคใต้ หรือไม่ก็เกาะกง โดยมีทหารผู้ใกล้ชิดรับทราบความเคลื่อนไหวของเขาเป็นอย่างดี
ส่วนท้ายสุด...จากข้อมูลเส้นทางหนีของ “หมู่วรวุฒิ และ จ่าปัญญา” ผู้เป็นนายของบุคคลทั้งสองจะมีส่วนรับรู้ รู้เห็น และจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ต้องหาชุดที่สองหรือไม่ เรื่องนี้ต้องติดตาม....