ถ้าเป็นไปตามโปรแกรมกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาล 3 วัน คือ 24 -27 ก.พ.2552 นั่นหมายความว่า จะปักหลักอยู่จนถึงวันเปิดประชุมอาเซียน ซัมมิท ครั้งที่ 14 ที่หัวหิน...
นัยว่าเพื่อหวังสร้างภาพสร้างข่าวให้นายใหญ่และชาวโลกเห็นว่า รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ขณะประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคอาเซียน ทำเนียบรัฐบาลกลับถูกล้อมยึด อะไรทำนองนั้น
ถ้าตามข้อมูลพื้นฐานของข่าว ผมก็เชื่อว่าการชุมนุมเคลื่อนพลของคนเสื้อแดงหนนี้ไม่สามารถทำให้รัฐบาลเป๋หรือซวนเซได้ ตรงข้ามพวกเขาจะทำลายตัวเอง ทำลายนายใหญ่ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้เละเป็นโจ๊กไปกว่าเดิม..
แต่สิ่งที่หลายท่านน่าจะกลัวเหมือนผมก็คือ เหตุการณ์เหนือความคาดหมายจากม็อบที่บ้าระห่ำ ไม่มีเอกภาพในการนำ..แต่แกนนำบางส่วนถวิลหาสิ่งที่เรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว” เพื่อนำไปสู่การนองเลือด จลาจล และความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่พวกเขาเองก็ตอบไม่ได้ว่า ต่อให้บ้านเมืองจลาจล “นายใหญ่” และพวกเขาจะได้รับประโยชน์ตรงไหน อย่างไร..
เผลอๆ พวกเขาจะอาการหนักหนาสาหัสกว่าเดิมอีกต่างหาก....
หรือว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ก็มีเพียงสินจ้างรางวัล โดยเฉพาะในบรรดาแกนนำที่เสวยผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ กันอย่างเปรมปรีดิ์อิ่มหมีพีมัน จนมีข่าวว่า..ผลประโยชน์ เม็ดเงินที่แตกต่างกันทำให้แกนนำเริ่มแตกคอ มองหน้ากันไม่สนิทบ้างแล้ว..
คนหนึ่ง 20 ล้าน ทำงานหนัก แต่อีกคนเกือบ 200 ล้าน ทำงานสบายๆ จะให้มองหน้ากันได้อย่างไร-นี่ข่าวคราวทำนองนี้แหละ เขาบอกว่าทำให้แกนนำคนเสื้อแดงเริ่มแปลกแยกกันมากขึ้นโดยลำดับ..
แต่ก็เอาเถอะ ถึงพวกเขาจะอะไรกันบ้าง แต่ในมุมของพวกเขา การที่สามารถเคลื่อนพลคนเสื้อแดงปฏิบัติการล้อมทำเนียบรัฐบาลได้แบบเบิร์ดๆ หนนี้ หลังจากปิดล้อมรัฐสภาขัดขวางไม่ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แถลงนโยบายที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2551 ได้มาแล้ว ย่อมจะเป็นอะไรที่ทำให้พวกเขาและนายใหญ่ฮึกเหิมห้าวหาญมากขึ้นและมากขึ้น..
ธงการต่อสู้ของพวกเขาที่วางเอาไว้ว่าไม่เกินเดือนมี.ค.หรือเม.ย.ปีนี้จะต้องจบชีวิตรัฐบาลประชาธิปัตย์ให้ได้ ย่อมยังจะดำเนินเดินหน้าต่อไป...
ร่วม 2 เดือนของรัฐบาลอภิสิทธิ์...หากไม่นับแฟนคลับของคนเสื้อแดง ไม่ว่าใครจะใส่เสื้อสีอะไร หากมองกันด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ต้องยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ผู้นำ” ของเราได้ทุ่มเททำงานหนักเพื่อนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต..
วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตความแตกแยกของผู้คนในสังคม วิกฤตความไม่เชื่อมั่นของต่างประเทศ และวิกฤตของการเมืองที่ล้มเหลว...
“ผู้นำ” ของเราสอบผ่านในด้านความพยายาม ความมุ่งมั่น การทำงานหนัก และความสมาร์ทเมื่อเดินสายกระทบไหล่กับผู้นำของนานาประเทศ..
แต่ด่านสุดท้ายที่จะทดสอบความสำเร็จจริงๆ ของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในความเห็นของใครต่อใครหลายคนรวมทั้งตัวผมก็คือ...ปัญหาภายในประเทศที่นายกฯ จะต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ
และที่สำคัญยิ่งก็คือ... ความกล้าหาญ
งดงามและต้องปรบมือให้กับกฎเหล็ก 9 ข้อ ที่นายกฯ มอบให้คณะรัฐมนตรีนำไปยึดถือปฏิบัติ
ถูกต้องแล้วที่ประกาศว่า...จะยึดหลักกฎหมาย ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด เป็นหลักปฏิบัติกับคนในสังคมทุกคน ทุกกลุ่มทุกองค์กรที่เคลื่อนไหวทางการเมือง..
แต่ถึงกระนั้น ผมเห็นว่านอกจากหลักกฎหมาย หลักนิติรัฐแล้ว สิ่งที่นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้จะต้องคำนึงและตระหนักให้มากขึ้นในการก้าวย่างสู่เดือนที่ 3 แห่งการบริหารประเทศก็คือ การยึดหลักความถูกต้องชอบธรรมบนผลประโยชน์ของบ้านเมือง ต้องไม่แข็งตัวหรือเกร็งอยู่กับหลักกฎหมาย (และเกมการเมือง) จนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรที่จะเป็นผลประโยชน์แก่ส่วนรวม..
ยกตัวอย่าง...ในเมื่อขณะที่เป็นฝ่ายค้าน ส.ส.และสมาชิกของพรรคเคยกล่าวหาและกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ต.ค. 2551 แล้วทำไมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจจึงไม่กล้าที่จะโยกย้ายนายตำรวจหัวโจก 4-5 ราย ไป “ประจำ” เอาไว้ก่อน...
ถ้าบอกว่า..รอให้ ป.ป.ช.ชี้มูล-นี่คือการยึดหลักกฎหมายอย่างตายตัว แต่ถ้าโยกย้ายไปประจำเอาไว้ก่อน นี่คือความกล้าหาญที่ยึดหลักความชอบธรรม ผลประโยชน์ของส่วนรวม...
พูดไปทำไมมี...สิ่งที่ผมกำลังพร่ำเสนอ เป็นหลักที่ท่านนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีและเข้าใจดีอยู่แล้ว ปัญหามีเพียงว่า...จะกล้าตัดสินใจหรือไม่เท่านั้น
สิ่งที่สังคมหรือผมเรียกร้อง ไม่ใช่การล้างบางกลุ่มอำนาจเก่าอย่างเอาเป็นเอาตายหรือให้เหี้ยนเต้ภายในวันสองวันเดือนสองเดือน แต่รัฐบาลต้องหาญกล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ใครดีใครชั่ว..อะไรคือหญ้าพิษของระบอบทักษิณที่ประชาธิปัตย์เองก็รังเกียจนักรังเกียจหนา..และอยากจะจัดการแก้ไข
อย่าไปเกร็งว่า ถ้าตัดสินใจโยกย้ายใครบางคน หรือดำเนินการบางอย่างจะถูกสื่อมวลชนหรือคนอีกฟากหาว่า เอาใจพันธมิตรฯ หรือเข้าทางพันธมิตรฯ
อยากจะบอกว่าเรื่องเหล่านี้ ต้องคิดเองทำเอง และรีบทำ เพราะหากปล่อยนานไปจนพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวกดดัน รัฐบาลก็จะยิ่งกดดันตัวเอง จนไม่กล้าทำอะไร...เพราะกลัวถูกด่าว่าทำตามพันธมิตรฯ
..........................
จริงอยู่ สิ่งที่ นายแพทย์ประเวศ วะสี บอกว่า...หากเปรียบกับขบวนรถไฟสังคมไทยจอดป้ายที่สถานีทักษิณนานเกินไปแล้ว นั้น น่ารับฟัง....แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า เหตุที่มันต้องจอดนานเพราะสังคมไทยยังไม่สามารถจับคนร้ายที่วางระเบิดรถไฟขบวนนี้ได้และยังไม่สามารถกู้ระเบิดบ้าลูกนี้ได้อีกต่างหาก...
หนำซ้ำวันนี้ สมุนโจรสมุนคนร้ายบางส่วนลงจากรถไฟมาล้อมทำเนียบรัฐบาล เสนอข้อเรียกร้องที่ฟังไม่ได้ศัพท์ 4 ข้อ หวังบีบให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภา
วันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปเป็นประธานในงานพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์อารมณ์ มีชัย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมได้ยินเสียงพี่น้องประชาชน ตะโกนกึกก้องเป็นช่วงๆ ว่า “นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ ๆ..”
ผมก็คงเหมือนกันล่ะครับ...นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ๆ ...สู้กับอุปสรรคขวากหนามนานาสารพัด
สู้กับวิธีคิดและคนบางกลุ่มที่ทำให้นายกฯ รอบคอบจนเกร็งและเกร็งจนกลัว..โดยที่นายกฯ อาจไม่รู้ตัว !!??
(samr_rod@hotmail.com)
นัยว่าเพื่อหวังสร้างภาพสร้างข่าวให้นายใหญ่และชาวโลกเห็นว่า รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ขณะประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคอาเซียน ทำเนียบรัฐบาลกลับถูกล้อมยึด อะไรทำนองนั้น
ถ้าตามข้อมูลพื้นฐานของข่าว ผมก็เชื่อว่าการชุมนุมเคลื่อนพลของคนเสื้อแดงหนนี้ไม่สามารถทำให้รัฐบาลเป๋หรือซวนเซได้ ตรงข้ามพวกเขาจะทำลายตัวเอง ทำลายนายใหญ่ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้เละเป็นโจ๊กไปกว่าเดิม..
แต่สิ่งที่หลายท่านน่าจะกลัวเหมือนผมก็คือ เหตุการณ์เหนือความคาดหมายจากม็อบที่บ้าระห่ำ ไม่มีเอกภาพในการนำ..แต่แกนนำบางส่วนถวิลหาสิ่งที่เรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว” เพื่อนำไปสู่การนองเลือด จลาจล และความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่พวกเขาเองก็ตอบไม่ได้ว่า ต่อให้บ้านเมืองจลาจล “นายใหญ่” และพวกเขาจะได้รับประโยชน์ตรงไหน อย่างไร..
เผลอๆ พวกเขาจะอาการหนักหนาสาหัสกว่าเดิมอีกต่างหาก....
หรือว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ก็มีเพียงสินจ้างรางวัล โดยเฉพาะในบรรดาแกนนำที่เสวยผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ กันอย่างเปรมปรีดิ์อิ่มหมีพีมัน จนมีข่าวว่า..ผลประโยชน์ เม็ดเงินที่แตกต่างกันทำให้แกนนำเริ่มแตกคอ มองหน้ากันไม่สนิทบ้างแล้ว..
คนหนึ่ง 20 ล้าน ทำงานหนัก แต่อีกคนเกือบ 200 ล้าน ทำงานสบายๆ จะให้มองหน้ากันได้อย่างไร-นี่ข่าวคราวทำนองนี้แหละ เขาบอกว่าทำให้แกนนำคนเสื้อแดงเริ่มแปลกแยกกันมากขึ้นโดยลำดับ..
แต่ก็เอาเถอะ ถึงพวกเขาจะอะไรกันบ้าง แต่ในมุมของพวกเขา การที่สามารถเคลื่อนพลคนเสื้อแดงปฏิบัติการล้อมทำเนียบรัฐบาลได้แบบเบิร์ดๆ หนนี้ หลังจากปิดล้อมรัฐสภาขัดขวางไม่ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แถลงนโยบายที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2551 ได้มาแล้ว ย่อมจะเป็นอะไรที่ทำให้พวกเขาและนายใหญ่ฮึกเหิมห้าวหาญมากขึ้นและมากขึ้น..
ธงการต่อสู้ของพวกเขาที่วางเอาไว้ว่าไม่เกินเดือนมี.ค.หรือเม.ย.ปีนี้จะต้องจบชีวิตรัฐบาลประชาธิปัตย์ให้ได้ ย่อมยังจะดำเนินเดินหน้าต่อไป...
ร่วม 2 เดือนของรัฐบาลอภิสิทธิ์...หากไม่นับแฟนคลับของคนเสื้อแดง ไม่ว่าใครจะใส่เสื้อสีอะไร หากมองกันด้วยหัวใจที่เป็นธรรม ต้องยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ผู้นำ” ของเราได้ทุ่มเททำงานหนักเพื่อนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต..
วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตความแตกแยกของผู้คนในสังคม วิกฤตความไม่เชื่อมั่นของต่างประเทศ และวิกฤตของการเมืองที่ล้มเหลว...
“ผู้นำ” ของเราสอบผ่านในด้านความพยายาม ความมุ่งมั่น การทำงานหนัก และความสมาร์ทเมื่อเดินสายกระทบไหล่กับผู้นำของนานาประเทศ..
แต่ด่านสุดท้ายที่จะทดสอบความสำเร็จจริงๆ ของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในความเห็นของใครต่อใครหลายคนรวมทั้งตัวผมก็คือ...ปัญหาภายในประเทศที่นายกฯ จะต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ
และที่สำคัญยิ่งก็คือ... ความกล้าหาญ
งดงามและต้องปรบมือให้กับกฎเหล็ก 9 ข้อ ที่นายกฯ มอบให้คณะรัฐมนตรีนำไปยึดถือปฏิบัติ
ถูกต้องแล้วที่ประกาศว่า...จะยึดหลักกฎหมาย ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด เป็นหลักปฏิบัติกับคนในสังคมทุกคน ทุกกลุ่มทุกองค์กรที่เคลื่อนไหวทางการเมือง..
แต่ถึงกระนั้น ผมเห็นว่านอกจากหลักกฎหมาย หลักนิติรัฐแล้ว สิ่งที่นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้จะต้องคำนึงและตระหนักให้มากขึ้นในการก้าวย่างสู่เดือนที่ 3 แห่งการบริหารประเทศก็คือ การยึดหลักความถูกต้องชอบธรรมบนผลประโยชน์ของบ้านเมือง ต้องไม่แข็งตัวหรือเกร็งอยู่กับหลักกฎหมาย (และเกมการเมือง) จนไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรที่จะเป็นผลประโยชน์แก่ส่วนรวม..
ยกตัวอย่าง...ในเมื่อขณะที่เป็นฝ่ายค้าน ส.ส.และสมาชิกของพรรคเคยกล่าวหาและกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ต.ค. 2551 แล้วทำไมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจจึงไม่กล้าที่จะโยกย้ายนายตำรวจหัวโจก 4-5 ราย ไป “ประจำ” เอาไว้ก่อน...
ถ้าบอกว่า..รอให้ ป.ป.ช.ชี้มูล-นี่คือการยึดหลักกฎหมายอย่างตายตัว แต่ถ้าโยกย้ายไปประจำเอาไว้ก่อน นี่คือความกล้าหาญที่ยึดหลักความชอบธรรม ผลประโยชน์ของส่วนรวม...
พูดไปทำไมมี...สิ่งที่ผมกำลังพร่ำเสนอ เป็นหลักที่ท่านนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีและเข้าใจดีอยู่แล้ว ปัญหามีเพียงว่า...จะกล้าตัดสินใจหรือไม่เท่านั้น
สิ่งที่สังคมหรือผมเรียกร้อง ไม่ใช่การล้างบางกลุ่มอำนาจเก่าอย่างเอาเป็นเอาตายหรือให้เหี้ยนเต้ภายในวันสองวันเดือนสองเดือน แต่รัฐบาลต้องหาญกล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ใครดีใครชั่ว..อะไรคือหญ้าพิษของระบอบทักษิณที่ประชาธิปัตย์เองก็รังเกียจนักรังเกียจหนา..และอยากจะจัดการแก้ไข
อย่าไปเกร็งว่า ถ้าตัดสินใจโยกย้ายใครบางคน หรือดำเนินการบางอย่างจะถูกสื่อมวลชนหรือคนอีกฟากหาว่า เอาใจพันธมิตรฯ หรือเข้าทางพันธมิตรฯ
อยากจะบอกว่าเรื่องเหล่านี้ ต้องคิดเองทำเอง และรีบทำ เพราะหากปล่อยนานไปจนพันธมิตรฯ ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวกดดัน รัฐบาลก็จะยิ่งกดดันตัวเอง จนไม่กล้าทำอะไร...เพราะกลัวถูกด่าว่าทำตามพันธมิตรฯ
..........................
จริงอยู่ สิ่งที่ นายแพทย์ประเวศ วะสี บอกว่า...หากเปรียบกับขบวนรถไฟสังคมไทยจอดป้ายที่สถานีทักษิณนานเกินไปแล้ว นั้น น่ารับฟัง....แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า เหตุที่มันต้องจอดนานเพราะสังคมไทยยังไม่สามารถจับคนร้ายที่วางระเบิดรถไฟขบวนนี้ได้และยังไม่สามารถกู้ระเบิดบ้าลูกนี้ได้อีกต่างหาก...
หนำซ้ำวันนี้ สมุนโจรสมุนคนร้ายบางส่วนลงจากรถไฟมาล้อมทำเนียบรัฐบาล เสนอข้อเรียกร้องที่ฟังไม่ได้ศัพท์ 4 ข้อ หวังบีบให้นายกฯ ลาออกหรือยุบสภา
วันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปเป็นประธานในงานพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์อารมณ์ มีชัย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา ผมได้ยินเสียงพี่น้องประชาชน ตะโกนกึกก้องเป็นช่วงๆ ว่า “นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ ๆ..”
ผมก็คงเหมือนกันล่ะครับ...นายกฯ สู้ๆ นายกฯ สู้ๆ ...สู้กับอุปสรรคขวากหนามนานาสารพัด
สู้กับวิธีคิดและคนบางกลุ่มที่ทำให้นายกฯ รอบคอบจนเกร็งและเกร็งจนกลัว..โดยที่นายกฯ อาจไม่รู้ตัว !!??
(samr_rod@hotmail.com)