ASTVผู้จัดการรายวัน- บอร์ด บลจ.ทหารไทย อนุมัติ “โชติกา สวนานนท์”ลาออก มีผล 28 กุมภาพันธ์นี้ “สุภัค” เผย อยู่ระหว่างสรรหาเอ็มดีคนใหม่ พร้อมระบุ แม้ไรเงา "โชติกา" แต่ยังคงนโยบายการบริหารงานตามทิศทางเดิม โดยเฉพาะกลยุทธ์การลงทุนแบบ "Passive" ด้าน "โชติกา" เริ่มงานใหม่ที่บลจ.ไทยพาณิชย์ ต้นเดือนมีนาคมนี้ โดยมีภาระกิจท้าทาย ในการรักษาแชมป์เบอร์ 1 ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรง
นายสุภัค ศิวะรักษ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด (TMBAM) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ได้มีมติอนุมัติการลาออกของนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ อย่างเป็นทางการแล้วโดยมีผลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 โดยขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการสรรหาผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการทุกท่านขอขอบคุณโชติกา ที่ได้ทุ่มเทการบริหารงานจนทำให้บลจ.ทหารไทยประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ตั้งแต่วันเริ่มก่อตั้งที่ได้ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานหลายอย่างทั้งนวัตกรรมทางการเงินใหม่ โดยเฉพาะการออกกองทุนซึ่งมีนโยบายการลงทุนแบบ Passive ซึ่งเป็นนโยบายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี โดยลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดนโยบายการลงทุนด้วยตัวเองตามความเสี่ยงที่รับได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนหุ้น ตลอดจนกองทุนเพื่อการลงทุนในต่างประเทศทำให้มีความแตกต่างและโดดเด่นจากบลจ.อื่น
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนางานด้านบริการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม FundLink Online เพื่อรองรับการซื้อขายกองทุนผ่านทางอินเตอร์เน็ต การใช้บริการบัตรเงินสด TMBAM Extra Cash การเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM และการสร้างห้องสมุดทางการเงิน The Library ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำรายแรกในธุรกิจจนสามารถผลักดันให้บลจ.ทหารไทยเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าและครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ของธุรกิจ
นายสุภัคกล่าวว่า การลาออกดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อนโยบายการบริหารงานของบริษัทฯแต่อย่างใด โดยการลงทุนในกองทุนรวมต่างๆจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลอย่างเคร่งครัดตามกรอบการลงทุนที่กำหนดไว้ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการป้องกันความเสี่ยง (Risk Management Committee) รวมทั้งยังรักษามาตรฐานของการให้บริการทุกๆ ด้าน ตามเดิมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนทุกท่าน โดยที่ทางบลจ.จะยังยึดมั่นในปรัชญาการดำเนินงานของบริษัทที่ว่าเป็น "คู่ชีวิตการลงทุน”ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา บลจ.ทหารไทยมีจุดแข็งหลายด้าน โดยเฉพาะนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวังซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีของการบริหารงาน บริษัทฯ ยังไม่เคยถูกผิดนัดการชำระหนี้ (default) อีกทั้งยังมีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุดในอันดับ AAA(tha)/(V1+tha) จากฟิตซ์ เรตติ้ง คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ทำให้นักลงทุนยังคงมีความมั่นใจ และส่งผลให้กองทุนมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยตั้งแต่ต้นปีมานั้น บริษัทฯ มีเงินใหม่เข้าลงทุนเพิ่มสุทธิมาแล้วมากกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ โดยมีการพัฒนาช่องทางการลงทุนในระบบต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรือสามารถวางแผนการซื้อขายล่วงหน้าช่วยให้การบริหารจัดการเงินลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การดูแลโดยทีมงานที่มีความรู้ความสามารถคอยให้คำแนะนำ โดยบริษัทฯมั่นใจว่าจุดแข็งดังกล่าวจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนให้ความไว้วางใจบลจ.ทหารไทยต่อไป
ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมั่นใจว่าบลจ.ทหารไทยมีความพร้อมทุกด้านในการบริหารงานเชิงรุกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางด้านบุคลากรที่มีอยู่หรือระบบงานต่างๆที่ได้ถูกพัฒนาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยประเมินว่า ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ปรับลดลง จะส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่บลจ.ทหารไทยจะสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับขยายฐานลูกค้าใหม่จากทุกช่องทางการจำหน่าย รวมทั้งผ่านการช่องทางสาขาของธนาคารทหารไทยที่มีมากกว่า 470 สาขาทั่วประเทศด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนางโชติกา สวนานนท์ จะไปนั่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยตามข่าวระบุว่าจะเริ่มงานใหม่ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการคนล่าสุด โดยการเข้ามาของนางโชติกา ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้ภาพของบลจ.ไทยพาณิชย์เปลี่ยนไปพอสมควร โดยกลยุทธ์เฉพาะการลงทุนแบบ Passive ที่น่าจะเข้ามามีบทบาทต่อการลงทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ลักษณะการทำงานและภาพของบลจ.ไทยพาณิชย์ ค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับแบงก์แม่พอสมควร ซึ่งต่างจากภาพของบลจ.ทหารไทย ที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศมากกว่า
นอกจากนี้ ภาระหน้าที่ในการรักษาความเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ที่สามารถแซงหน้าบลจ.กสิกรไทยมาได้ก่อนหน้านี้ ก็ถือเป็นงานใหญ่ที่ท้าทายนางโชติกา พอสมควร เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา บลจ.ไทยพาณิชย์เอง ขาดหัวเรือในการบริหารงานมาพักหนึ่ง ก่อนที่นายเศรษฐพุฒิ จะเข้ามา ซึ่งช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่คู่แข่งรายสำคัญอย่างบลจ.กสิกรไทย สามารถขยายฐานเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง จนสินทรัพย์เริ่มขยับมาอยู่ในระดับที่ไม่ทิ้งห่างกันมาก โดยปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์สำหรับกองทุนรวมอยู่ที่ 318,934.63 ล้านบาท ขณะที่บลจ.กสิกรไทยอยู่ที่ 283,066.94 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมเอง ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาช่องทางลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ ซึ่งกองทุนรวมสามารถตอบโจทย์ได้ โดยเฉพาะกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งปัจจุบัน แต่ละบลจ.ต่างออกกองทุนดังกล่าวมาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนเป็นจำนวนมาก และปัจจัยนี้เอง จะเป็นความท้าทายอีกปัจจัยหนึ่ง ในการขยายฐานลูกค้าและรักษาแชมป์ต่อไป
นายสุภัค ศิวะรักษ์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด (TMBAM) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) ได้มีมติอนุมัติการลาออกของนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ อย่างเป็นทางการแล้วโดยมีผลในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 โดยขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการสรรหาผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการทุกท่านขอขอบคุณโชติกา ที่ได้ทุ่มเทการบริหารงานจนทำให้บลจ.ทหารไทยประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ตั้งแต่วันเริ่มก่อตั้งที่ได้ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานหลายอย่างทั้งนวัตกรรมทางการเงินใหม่ โดยเฉพาะการออกกองทุนซึ่งมีนโยบายการลงทุนแบบ Passive ซึ่งเป็นนโยบายการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี โดยลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดนโยบายการลงทุนด้วยตัวเองตามความเสี่ยงที่รับได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนตราสารหนี้หรือกองทุนหุ้น ตลอดจนกองทุนเพื่อการลงทุนในต่างประเทศทำให้มีความแตกต่างและโดดเด่นจากบลจ.อื่น
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนางานด้านบริการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม FundLink Online เพื่อรองรับการซื้อขายกองทุนผ่านทางอินเตอร์เน็ต การใช้บริการบัตรเงินสด TMBAM Extra Cash การเบิกถอนเงินสดผ่านตู้ ATM และการสร้างห้องสมุดทางการเงิน The Library ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำรายแรกในธุรกิจจนสามารถผลักดันให้บลจ.ทหารไทยเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าและครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ของธุรกิจ
นายสุภัคกล่าวว่า การลาออกดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อนโยบายการบริหารงานของบริษัทฯแต่อย่างใด โดยการลงทุนในกองทุนรวมต่างๆจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลอย่างเคร่งครัดตามกรอบการลงทุนที่กำหนดไว้ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการป้องกันความเสี่ยง (Risk Management Committee) รวมทั้งยังรักษามาตรฐานของการให้บริการทุกๆ ด้าน ตามเดิมเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนทุกท่าน โดยที่ทางบลจ.จะยังยึดมั่นในปรัชญาการดำเนินงานของบริษัทที่ว่าเป็น "คู่ชีวิตการลงทุน”ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
สำหรับในช่วงที่ผ่านมา บลจ.ทหารไทยมีจุดแข็งหลายด้าน โดยเฉพาะนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวังซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปีของการบริหารงาน บริษัทฯ ยังไม่เคยถูกผิดนัดการชำระหนี้ (default) อีกทั้งยังมีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตสูงสุดในอันดับ AAA(tha)/(V1+tha) จากฟิตซ์ เรตติ้ง คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนบดี และกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ทำให้นักลงทุนยังคงมีความมั่นใจ และส่งผลให้กองทุนมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยตั้งแต่ต้นปีมานั้น บริษัทฯ มีเงินใหม่เข้าลงทุนเพิ่มสุทธิมาแล้วมากกว่า 5,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีชื่อเสียงด้านการให้บริการ โดยมีการพัฒนาช่องทางการลงทุนในระบบต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หรือสามารถวางแผนการซื้อขายล่วงหน้าช่วยให้การบริหารจัดการเงินลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การดูแลโดยทีมงานที่มีความรู้ความสามารถคอยให้คำแนะนำ โดยบริษัทฯมั่นใจว่าจุดแข็งดังกล่าวจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนให้ความไว้วางใจบลจ.ทหารไทยต่อไป
ด้านนายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่เปิดเผยว่า ธนาคารมีความมั่นใจว่าบลจ.ทหารไทยมีความพร้อมทุกด้านในการบริหารงานเชิงรุกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางด้านบุคลากรที่มีอยู่หรือระบบงานต่างๆที่ได้ถูกพัฒนาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยประเมินว่า ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ปรับลดลง จะส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่บลจ.ทหารไทยจะสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้นพร้อมกับขยายฐานลูกค้าใหม่จากทุกช่องทางการจำหน่าย รวมทั้งผ่านการช่องทางสาขาของธนาคารทหารไทยที่มีมากกว่า 470 สาขาทั่วประเทศด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนางโชติกา สวนานนท์ จะไปนั่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยตามข่าวระบุว่าจะเริ่มงานใหม่ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการคนล่าสุด โดยการเข้ามาของนางโชติกา ในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้ภาพของบลจ.ไทยพาณิชย์เปลี่ยนไปพอสมควร โดยกลยุทธ์เฉพาะการลงทุนแบบ Passive ที่น่าจะเข้ามามีบทบาทต่อการลงทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ลักษณะการทำงานและภาพของบลจ.ไทยพาณิชย์ ค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับแบงก์แม่พอสมควร ซึ่งต่างจากภาพของบลจ.ทหารไทย ที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศมากกว่า
นอกจากนี้ ภาระหน้าที่ในการรักษาความเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม ที่สามารถแซงหน้าบลจ.กสิกรไทยมาได้ก่อนหน้านี้ ก็ถือเป็นงานใหญ่ที่ท้าทายนางโชติกา พอสมควร เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา บลจ.ไทยพาณิชย์เอง ขาดหัวเรือในการบริหารงานมาพักหนึ่ง ก่อนที่นายเศรษฐพุฒิ จะเข้ามา ซึ่งช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่คู่แข่งรายสำคัญอย่างบลจ.กสิกรไทย สามารถขยายฐานเงินลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง จนสินทรัพย์เริ่มขยับมาอยู่ในระดับที่ไม่ทิ้งห่างกันมาก โดยปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์สำหรับกองทุนรวมอยู่ที่ 318,934.63 ล้านบาท ขณะที่บลจ.กสิกรไทยอยู่ที่ 283,066.94 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมเอง ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนมองหาช่องทางลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ ซึ่งกองทุนรวมสามารถตอบโจทย์ได้ โดยเฉพาะกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งปัจจุบัน แต่ละบลจ.ต่างออกกองทุนดังกล่าวมาเป็นทางเลือกให้นักลงทุนเป็นจำนวนมาก และปัจจัยนี้เอง จะเป็นความท้าทายอีกปัจจัยหนึ่ง ในการขยายฐานลูกค้าและรักษาแชมป์ต่อไป