ASTVผู้จัดการรายวัน - สตาร์ ซานิทารีแวร์จ่ายปันผลครั้งแรกหุ้นละ 2 สตางค์ หลังปี51ล้างขาดทุนสะสมหมด "ดร.สมชัย" เผยแนวโน้มดีเชื่ออนาคตจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง ฟุ้งปีนี้ปั๊มรายได้โต 10-15% เพราะยุโรปเป็นตลาดหลักหลักที่มีออร์เดอร์เข้ามาต่อเนื่อง เชื่ออัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม หลังราคาน้ำมันลดและค่าเงินโยุโรปไม่แกว่งตัว ส่วนผลงานงวดสิ้นปี51กำไรตก 65%
นายสมชัย ว่องอรุณ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) ( STAR ) กล่าวว่าหลังจากที่บริษัทฯ ล้างขาดทุนสะสม 41.86 ล้านบาทได้หมดเมื่อปี 51 ทำให้บริษัทฯ สามารถจ่ายปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ทันที ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2552 จึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 51 อัตราหุ้นละ 0.02 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 19 มีนาคม 52 โดยจ่ายเงินปันผลวันที่ 7 พฤษภาคม 52 ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกตั้งแต่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
"การจ่ายปันผลได้ครั้งแรกของ STAR ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้เห็นอนาคตที่สดใสขึ้นสำหรับผู้ถือหุ้น เพราะเราเชื่อว่า STAR มีทิศทางการเติบโตที่ดีและมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องได้ ดังนั้นในอนาคต หากผลการดำเนินงานดีขึ้น ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ดร.สมชัย กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันให้รายได้เติบโต 10-15% จากปี 51 ที่ทำได้ 230 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันตลาดส่งออกคือยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักของ STAR มีแนวโน้มเติบโตดี ปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าเดิมและลูกค้าใหม่ ผลจากการทำตลาดในยุโรปเน้นเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (นิช มาร์เก็ต) และมีปริมาณการส่งออกไม่สูงนักเมื่อเทียบกับมูลค่าของตลาดสุขภัณฑ์โลก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ตลาดในประเทศได้รับการตอบรับจากลูกค้าในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่าจากปี 51 บริษัทฯ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 53.83% ประกอบกับปีนี้บริษัทมีโครงการจะส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ลงสู่ตลาดอีก 5-6 ชุด กว่า 24 รายการ รวมทั้งขยายฐานลูกค้าไปต่างประเทศได้ เชื่ออัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะปรับตัวขึ้นจากปี 51 หลังราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงขณะที่ค่าเงินในโซนยุโรปไม่แกว่งตัวมากเท่ากับปีที่ผ่านมา
สำหรับผลงานงวดสิ้นปี 51 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.47 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำไว้ 15.45 ล้านบาท หรือลดลง 64.58 % เนื่องจากบริษัทฯ มียอดขาย 226.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.08 % โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 53.83 % แต่ยอดขายลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงจาก 45.92 % เป็น 40.51 % จากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการผลิตของค่าแก๊ส,ไฟฟ้า และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น,ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น
นายสมชัย ว่องอรุณ รองประธานกรรมการและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) ( STAR ) กล่าวว่าหลังจากที่บริษัทฯ ล้างขาดทุนสะสม 41.86 ล้านบาทได้หมดเมื่อปี 51 ทำให้บริษัทฯ สามารถจ่ายปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ทันที ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2552 จึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 51 อัตราหุ้นละ 0.02 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 19 มีนาคม 52 โดยจ่ายเงินปันผลวันที่ 7 พฤษภาคม 52 ซึ่งถือเป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกตั้งแต่บริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
"การจ่ายปันผลได้ครั้งแรกของ STAR ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ทำให้เห็นอนาคตที่สดใสขึ้นสำหรับผู้ถือหุ้น เพราะเราเชื่อว่า STAR มีทิศทางการเติบโตที่ดีและมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องได้ ดังนั้นในอนาคต หากผลการดำเนินงานดีขึ้น ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ดร.สมชัย กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะผลักดันให้รายได้เติบโต 10-15% จากปี 51 ที่ทำได้ 230 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันตลาดส่งออกคือยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักของ STAR มีแนวโน้มเติบโตดี ปัจจุบันยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าเดิมและลูกค้าใหม่ ผลจากการทำตลาดในยุโรปเน้นเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (นิช มาร์เก็ต) และมีปริมาณการส่งออกไม่สูงนักเมื่อเทียบกับมูลค่าของตลาดสุขภัณฑ์โลก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่ตลาดในประเทศได้รับการตอบรับจากลูกค้าในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นว่าจากปี 51 บริษัทฯ มียอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 53.83% ประกอบกับปีนี้บริษัทมีโครงการจะส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ลงสู่ตลาดอีก 5-6 ชุด กว่า 24 รายการ รวมทั้งขยายฐานลูกค้าไปต่างประเทศได้ เชื่ออัตรากำไรขั้นต้นปีนี้น่าจะปรับตัวขึ้นจากปี 51 หลังราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลงขณะที่ค่าเงินในโซนยุโรปไม่แกว่งตัวมากเท่ากับปีที่ผ่านมา
สำหรับผลงานงวดสิ้นปี 51 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.47 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ทำไว้ 15.45 ล้านบาท หรือลดลง 64.58 % เนื่องจากบริษัทฯ มียอดขาย 226.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.08 % โดยยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 53.83 % แต่ยอดขายลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงจาก 45.92 % เป็น 40.51 % จากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการผลิตของค่าแก๊ส,ไฟฟ้า และค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น,ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น
