สถานการณ์ของชาติบ้านเมืองเราทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่า “วิกฤต-มืดมิด!” ไปหมดทุกด้าน กล่าวคือ ด้านการเมืองก็ยัง “ติดหล่ม” ไม่ได้รับการปฏิรูปไปไกลเท่าใดนัก ยังมีการ “เดินเกมการเมือง : ใต้ดิน-บนดิน” เพื่อมุ่งหวังเอาชนะคะคาน จนเลยเถิดไปจนถึง “ล้มล้างสถาบันหลักๆ” ของประเทศชาติ โดยไม่คำนึงถึง “ความเสียหาย-บอบช้ำ” ของชาติบ้านเมือง
ส่วนพฤติการณ์พฤติกรรมของนักการเมืองส่วนใหญ่ ยัง “เกาะติด-ยึดติด” อยู่กับ “ระบบทุนสามานย์” เกือบทั้งสิ้น แม้กระทั่งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “เงินคือพระเจ้า” ที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง “การเมือง” เป็น “ธุรกิจการเมือง” ไปเรียบร้อยนานโขแล้ว!
นอกเหนือจากนั้น “การเมือง คือ การเมือง” โดยเฉพาะเมืองไทยที่เปี่ยมล้นไปด้วยสารพัด “วิชามาร” ซึ่งไม่ค่อยคำนึงถึง “คุณธรรม-จริยธรรม” มากมายนัก ทั้งนี้ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จะเกิดกระบวนการทางการเมืองที่ตระหนักถึง “ผลประโยชน์” ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก และไม่สำคัญเท่ากับ “ความละอายแก่ใจ”
คำว่า “การเมือง คือ การเมือง” สำหรับประเทศไทยนั้น ครอบคลุมความหมายทั้งหมด ไม่ว่า “อำนาจ-ผลประโยชน์-ต่อรอง-เกม-ช่วงชิง-ใต้ดิน” เรียกว่า “สารพัด” แต่ทั้งหลายทั้งปวงของคำนิยามเหล่านั้น ล้วนออกไปทาง “แนวมาร!” เกือบทั้งหมด
ว่าไปแล้ว ก็มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น แต่เกิดมานานแล้ว ซึ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากที่สุดก็ช่วงประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า ช่วงตั้งแต่ “ระบบทุนสามานย์” ที่ครอบงำการเมืองยุค “ทุนนิยม” เฟื่องฟู “วิชามารทางการเมือง” เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ที่มีทั้ง “การตลาด” และ “ธุรกิจ” ชนิด “ฮุบ!” และ “กินรวบ” บรรเจิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา จน “ทุจริตทับซ้อน” และ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ที่ “ละเอียดอ่อน-ลึกซึ้ง” มากยิ่งขึ้น!
เพียงแต่ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น แบบไม่เคยเปลี่ยนเลยนับหลายสิบปี คือ “การประท้วง” และ “ตีรวน” ทำให้การประชุมของทั้งสองสภาแทบจะล่มหลายครั้ง และล่มไปบ่อยครั้งเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ไม่นานนี้ เรียกว่า “เลวร้ายกว่าเดิม!” ด้วยซ้ำไป จนการประชุมต้องสั่งพักบ่อยครั้งทำให้การพิจารณาหลากหลายประเด็นในสภาฯ ต้องเสียเวลาไปกับเรื่อง “ไร้สาระ!”
นั่นแหละคือ “ฟอนเฟะการเมือง” ที่ไม่ค่อยจะพัฒนามากมายนัก ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การเมืองไทยยังคง “ติดหล่ม-ติดกับ” อยู่กับ “สภาพเน่า!” เช่นนี้มาช้านาน จนก่อให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” กับระบบการเมืองไทย ทั้งนี้ ขอเพียงว่า “วิกฤตศรัทธา” นี้ต้องมุ่งไปที่ “นักการเมือง” เท่านั้น มิควรพุ่งไปที่ “ระบอบประชาธิปไตย”
เราคงจะ “เอือมระอา-เบื่อหน่าย” กับปัญหาซ้ำๆ ซากๆ ของนักการเมืองไทยไปอีกกนาน แต่ปัญหาในสังคมไทย ที่นับวันเราต้องยอมรับว่า “สับสน-ฟอนเฟะ” มากขึ้นทุกขณะ ทั้งๆ ที่สังคมยุคใหม่เป็นสังคมโลกาภิวัตน์ที่ “ล้ำหน้า-ล้ำสมัย” ไปมาก แต่ก็น่าแปลกที่สังคมไทย และแม้กระทั่งสังคมที่พัฒนาเจริญแล้ว ก็ยัง “ฟอนเฟะ” กันอยู่บ้าง เพียงแต่เมืองไทยบ้านเรานั้น ยัง “ย้อนยุค” และ/หรือ “นิ่งอยู่กับที่!” ด้วยสารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน!
“การยกพวกตีกัน!” ของเหล่าบรรดา “นักเรียน-นักเลง” นั้น ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วถึงขั้น “เสียชีวิต” หรือไม่ก็ “บาดเจ็บสาหัส”
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ซึ่งว่าไปแล้วอย่างน้อยเดือนละครั้ง เราจะต้องได้ยินข่าวคราวถึงนักศึกษาช่างกล ช่างเทคนิคทั้งหลาย “ตีรันฟันแทง” กับใช้อาวุธปืนยิงนักศึกษาต่างสถาบันเสียชีวิต จนเกิดความรู้สึกอเนจอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง
และก่อนเกิดเหตุการณ์นักศึกษาของ “อุเทนถวาย” กับ “ปทุมวัน” ยกพวกจำนวนฝั่งละเกือบ 100 คน ตีกันที่หน้าศูนย์การค้ามาบุญครอง จนเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม วิพากษ์วิจารณ์กันยังไม่จบ จนผู้ที่ถูกทำร้าย โชคดีที่เพียงบาดเจ็บกึ่งสาหัส ไม่ถึงกับพิกลพิการเสียชีวิต ซึ่งข่าวเช่นนี้ แน่นอนที่ต้องทำให้ทั้งสองสถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ปัญหาที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่คงไม่กล้าไปเดินเล่นชอปปิ้งย่านมาบุญครอง เซ็นเตอร์ ไปอีกนาน เนื่องด้วยหวาดกลัวลูกหลง ส่งผลซ้ำเติมสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วทั้ง “ภาคการบริโภค” และ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว!”
“นักเรียน-นักเลง” เป็นปัญหาหลักปัญหาหนึ่งของสังคมไทยที่เกิดขึ้นมาช้านาน ทั้งๆ ที่สังคมยุคปัจจุบัน “ความป่าเถื่อน” เช่นนี้ น่าจะเลือนรางจางหายจากสังคมไปได้แล้ว แต่ “วัฒนธรรมมืด-ป่าเถื่อน” กับการยกพวกตีกันของนักศึกษาช่างกล ช่างเทคนิค ซึ่งมิใช่มีแค่ “อุเทนถวาย-ปทุมวัน” เท่านั้น สถาบันอื่นๆ ก็มีเช่นเดียวกัน ยังคง “ฝังลึก” จนต้องสร้างให้เป็น “ตำนาน” ซึ่งในต่างประเทศปัญหาเช่นนี้ ไม่เคยปรากฏ
ปัญหาหลัก น่าจะเกิดจาก “รุ่นพี่” และ “ครู” บางคน ที่เพียรพยายามปลูกฝัง “ค่านิยมเถื่อน” ให้นักศึกษาที่เข้ามาใหม่ต้อง “สืบทอด” ด้วยการ “บังคับ-ข่มขู่” จนนักศึกษาใหม่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องถูกต้อนเข้ามุมสู่การกระทำที่ไม่พึงประสงค์ จนได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด
“การบังคับ-ข่มขู่” เป็นพฤติการณ์พฤติกรรมของนักศึกษาบางคนผสมกับรุ่นพี่บวกกับครูบางคนบางกลุ่ม ที่ยังจมปลักอยู่กับ “ค่านิยม” เดิม หรือไม่ก็อาจจะมีปัญหาส่วนตัวที่ชอบ “ความรุนแรง” เพราะ “ถูกกระทำ” จากครอบครัวและชุมชนที่ตนเองตกอยู่ภายใต้ “บริบท-สภาพแวดล้อม” เช่นนั้น จนต้องมาแสดงออกด้วย “ความกดดัน” แถม “ถูกบังคับ-ถูกปรามาส-ถูกยั่วยุ” เข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม ปัญหา “นักเรียน-นักเลง” นี้ กลุ่มแกนนำน่าจะมีจำนวนเพียงไม่เกินค่ายละ 20-30 คน ที่เป็น “กลุ่มหัวโจก” เท่านั้น โดย “กลุ่มหัวโจก” น่าจะเข้าข่าย “โจร-อาชญากร” ก็ว่าได้
เหตุผลที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า เมื่อนักศึกษารุ่นพี่ที่จบการศึกษาแล้ว ต่างก็ต้องแยกย้ายออกไปทำงาน และไม่สำคัญเท่ากับว่า “อายุ” และ “วุฒิภาวะ” น่าจะพัฒนาขึ้น และเริ่ม “ละอายใจ” กับ “พฤติกรรมเกเร!” ในอดีต ดังที่คุณแอ๊ด คาราบาว กล่าวไว้ในรายการสนทนาสดรายการหนึ่งว่า
“เมื่อจบอุเทนถวายมาแล้ว ก็มาทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่จบจากช่างกลปทุมวันและก็รักกัน กอดคอดื่มเหล้ากัน พอเอ่ยถึงอดีต ยังรู้สึกอายและขำ พร้อมถามกันว่า ทำกันไปได้ยังไงวะ เมื่อตอนเด็กๆ...ถ้ามีลูก ยังไม่ส่งลูกเรียนที่สถาบันเก่าเลย...!”
เพราะฉะนั้น “การยกพวกตีกัน” ของทั้งสองสถาบันที่เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ก็จะเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ “ผู้บริหาร-ครู-รุ่นพี่” ของทั้งสองสถาบัน ยังเพียรพยายามสร้าง “ตำนาน” ให้คงอยู่ต่อไปด้วย “จิตสำนึกป่าเถื่อน-ล้าสมัย” เช่นนี้ ปัญหา “นักเรียน-นักเลง” ก็ยังอยู่อีกต่อไป
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “แปลกใจ!” อย่างมาก ที่สังคมโลกในยุคปัจจุบันได้พัฒนาล้ำหน้าล้ำสมัยไปมากขึ้น แต่ก็เป็นกรณีที่แปลกประหลาดว่า ทั้ง “ความรุนแรง” และ “ความเพี้ยน” ของคนในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ กับ “ทวีคูณเพิ่มมากขึ้น!” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และ/หรือด้อยพัฒนา
พูดง่ายๆ คือ “ป่าเถื่อน-เลื่อนลอย” มากยิ่งขึ้น จริงๆ แล้ว ถ้าจะวิเคราะห์กันให้ถึงที่สุด น่าจะเป็นเพราะ “สังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่เผยแพร่และกระจายอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงไหน แม้กระทั่ง “เว็บไซต์ (Website)” และ “วิดีโอเกม”
“การกระทำที่รุนแรง” ที่มีการเปิดเผยอย่างแพร่หลาย จนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หาบริโภคได้อย่างง่ายดาย ตลอดจน “พฤติกรรมเบี่ยงเบน!” จนผู้คนในสังคมยุคใหม่กำลัง “ย้อนยุค” สู่ “ความเพี้ยน-ป่าเถื่อน” มากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่สังคมยุคใหม่ทันสมัยจนเกินไป จน “วัฒนธรรม-อารยธรรมดี” กำลังถดถอยหดหายไป
แม้กระทั่ง วงการ “พระสงฆ์” ที่มีข่าวคราวล่าสุดถึง “พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ” กรณีที่วัดทางภาคเหนือ ซึ่งว่าไปแล้ว แทบทุกวัดน่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือ “พระปลอม” ที่มุ่งการค้า จนเลยเถิดไปถึง “ผิดสารพัดศีล!”
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “สังคมฟอนเฟะ” ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ ในบ้านเมืองเราไม่ว่า สังคม การเมือง เศรษฐกิจ มิได้มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเลย แต่ในทางกลับกัน กลับเลวร้ายมากกว่าเดิม จนถึงขั้น “ไม่ยอมแพ้-ไม่เลิก” เรียกว่า “ต้องตายกันไปข้าง” ทั้งกรณี “นักเรียน-นักเลง” กับ “นักการเมืองแค้น” ที่จ้อง “ล้มล้าง-ทำลาย” ชาติบ้านเมืองให้ต้องพังพินาศไปกับตา!
ส่วนพฤติการณ์พฤติกรรมของนักการเมืองส่วนใหญ่ ยัง “เกาะติด-ยึดติด” อยู่กับ “ระบบทุนสามานย์” เกือบทั้งสิ้น แม้กระทั่งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า “เงินคือพระเจ้า” ที่สามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง “การเมือง” เป็น “ธุรกิจการเมือง” ไปเรียบร้อยนานโขแล้ว!
นอกเหนือจากนั้น “การเมือง คือ การเมือง” โดยเฉพาะเมืองไทยที่เปี่ยมล้นไปด้วยสารพัด “วิชามาร” ซึ่งไม่ค่อยคำนึงถึง “คุณธรรม-จริยธรรม” มากมายนัก ทั้งนี้ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จะเกิดกระบวนการทางการเมืองที่ตระหนักถึง “ผลประโยชน์” ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก และไม่สำคัญเท่ากับ “ความละอายแก่ใจ”
คำว่า “การเมือง คือ การเมือง” สำหรับประเทศไทยนั้น ครอบคลุมความหมายทั้งหมด ไม่ว่า “อำนาจ-ผลประโยชน์-ต่อรอง-เกม-ช่วงชิง-ใต้ดิน” เรียกว่า “สารพัด” แต่ทั้งหลายทั้งปวงของคำนิยามเหล่านั้น ล้วนออกไปทาง “แนวมาร!” เกือบทั้งหมด
ว่าไปแล้ว ก็มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงนี้เท่านั้น แต่เกิดมานานแล้ว ซึ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากที่สุดก็ช่วงประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่า ช่วงตั้งแต่ “ระบบทุนสามานย์” ที่ครอบงำการเมืองยุค “ทุนนิยม” เฟื่องฟู “วิชามารทางการเมือง” เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ที่มีทั้ง “การตลาด” และ “ธุรกิจ” ชนิด “ฮุบ!” และ “กินรวบ” บรรเจิดขึ้นตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา จน “ทุจริตทับซ้อน” และ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ที่ “ละเอียดอ่อน-ลึกซึ้ง” มากยิ่งขึ้น!
เพียงแต่ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น แบบไม่เคยเปลี่ยนเลยนับหลายสิบปี คือ “การประท้วง” และ “ตีรวน” ทำให้การประชุมของทั้งสองสภาแทบจะล่มหลายครั้ง และล่มไปบ่อยครั้งเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ไม่นานนี้ เรียกว่า “เลวร้ายกว่าเดิม!” ด้วยซ้ำไป จนการประชุมต้องสั่งพักบ่อยครั้งทำให้การพิจารณาหลากหลายประเด็นในสภาฯ ต้องเสียเวลาไปกับเรื่อง “ไร้สาระ!”
นั่นแหละคือ “ฟอนเฟะการเมือง” ที่ไม่ค่อยจะพัฒนามากมายนัก ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว การเมืองไทยยังคง “ติดหล่ม-ติดกับ” อยู่กับ “สภาพเน่า!” เช่นนี้มาช้านาน จนก่อให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” กับระบบการเมืองไทย ทั้งนี้ ขอเพียงว่า “วิกฤตศรัทธา” นี้ต้องมุ่งไปที่ “นักการเมือง” เท่านั้น มิควรพุ่งไปที่ “ระบอบประชาธิปไตย”
เราคงจะ “เอือมระอา-เบื่อหน่าย” กับปัญหาซ้ำๆ ซากๆ ของนักการเมืองไทยไปอีกกนาน แต่ปัญหาในสังคมไทย ที่นับวันเราต้องยอมรับว่า “สับสน-ฟอนเฟะ” มากขึ้นทุกขณะ ทั้งๆ ที่สังคมยุคใหม่เป็นสังคมโลกาภิวัตน์ที่ “ล้ำหน้า-ล้ำสมัย” ไปมาก แต่ก็น่าแปลกที่สังคมไทย และแม้กระทั่งสังคมที่พัฒนาเจริญแล้ว ก็ยัง “ฟอนเฟะ” กันอยู่บ้าง เพียงแต่เมืองไทยบ้านเรานั้น ยัง “ย้อนยุค” และ/หรือ “นิ่งอยู่กับที่!” ด้วยสารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน!
“การยกพวกตีกัน!” ของเหล่าบรรดา “นักเรียน-นักเลง” นั้น ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หนักบ้าง เบาบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วถึงขั้น “เสียชีวิต” หรือไม่ก็ “บาดเจ็บสาหัส”
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ ซึ่งว่าไปแล้วอย่างน้อยเดือนละครั้ง เราจะต้องได้ยินข่าวคราวถึงนักศึกษาช่างกล ช่างเทคนิคทั้งหลาย “ตีรันฟันแทง” กับใช้อาวุธปืนยิงนักศึกษาต่างสถาบันเสียชีวิต จนเกิดความรู้สึกอเนจอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง
และก่อนเกิดเหตุการณ์นักศึกษาของ “อุเทนถวาย” กับ “ปทุมวัน” ยกพวกจำนวนฝั่งละเกือบ 100 คน ตีกันที่หน้าศูนย์การค้ามาบุญครอง จนเป็นข่าวอึกทึกครึกโครม วิพากษ์วิจารณ์กันยังไม่จบ จนผู้ที่ถูกทำร้าย โชคดีที่เพียงบาดเจ็บกึ่งสาหัส ไม่ถึงกับพิกลพิการเสียชีวิต ซึ่งข่าวเช่นนี้ แน่นอนที่ต้องทำให้ทั้งสองสถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ปัญหาที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่คงไม่กล้าไปเดินเล่นชอปปิ้งย่านมาบุญครอง เซ็นเตอร์ ไปอีกนาน เนื่องด้วยหวาดกลัวลูกหลง ส่งผลซ้ำเติมสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วทั้ง “ภาคการบริโภค” และ “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว!”
“นักเรียน-นักเลง” เป็นปัญหาหลักปัญหาหนึ่งของสังคมไทยที่เกิดขึ้นมาช้านาน ทั้งๆ ที่สังคมยุคปัจจุบัน “ความป่าเถื่อน” เช่นนี้ น่าจะเลือนรางจางหายจากสังคมไปได้แล้ว แต่ “วัฒนธรรมมืด-ป่าเถื่อน” กับการยกพวกตีกันของนักศึกษาช่างกล ช่างเทคนิค ซึ่งมิใช่มีแค่ “อุเทนถวาย-ปทุมวัน” เท่านั้น สถาบันอื่นๆ ก็มีเช่นเดียวกัน ยังคง “ฝังลึก” จนต้องสร้างให้เป็น “ตำนาน” ซึ่งในต่างประเทศปัญหาเช่นนี้ ไม่เคยปรากฏ
ปัญหาหลัก น่าจะเกิดจาก “รุ่นพี่” และ “ครู” บางคน ที่เพียรพยายามปลูกฝัง “ค่านิยมเถื่อน” ให้นักศึกษาที่เข้ามาใหม่ต้อง “สืบทอด” ด้วยการ “บังคับ-ข่มขู่” จนนักศึกษาใหม่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ต้องถูกต้อนเข้ามุมสู่การกระทำที่ไม่พึงประสงค์ จนได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด
“การบังคับ-ข่มขู่” เป็นพฤติการณ์พฤติกรรมของนักศึกษาบางคนผสมกับรุ่นพี่บวกกับครูบางคนบางกลุ่ม ที่ยังจมปลักอยู่กับ “ค่านิยม” เดิม หรือไม่ก็อาจจะมีปัญหาส่วนตัวที่ชอบ “ความรุนแรง” เพราะ “ถูกกระทำ” จากครอบครัวและชุมชนที่ตนเองตกอยู่ภายใต้ “บริบท-สภาพแวดล้อม” เช่นนั้น จนต้องมาแสดงออกด้วย “ความกดดัน” แถม “ถูกบังคับ-ถูกปรามาส-ถูกยั่วยุ” เข้าไปอีก
อย่างไรก็ตาม ปัญหา “นักเรียน-นักเลง” นี้ กลุ่มแกนนำน่าจะมีจำนวนเพียงไม่เกินค่ายละ 20-30 คน ที่เป็น “กลุ่มหัวโจก” เท่านั้น โดย “กลุ่มหัวโจก” น่าจะเข้าข่าย “โจร-อาชญากร” ก็ว่าได้
เหตุผลที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า เมื่อนักศึกษารุ่นพี่ที่จบการศึกษาแล้ว ต่างก็ต้องแยกย้ายออกไปทำงาน และไม่สำคัญเท่ากับว่า “อายุ” และ “วุฒิภาวะ” น่าจะพัฒนาขึ้น และเริ่ม “ละอายใจ” กับ “พฤติกรรมเกเร!” ในอดีต ดังที่คุณแอ๊ด คาราบาว กล่าวไว้ในรายการสนทนาสดรายการหนึ่งว่า
“เมื่อจบอุเทนถวายมาแล้ว ก็มาทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่จบจากช่างกลปทุมวันและก็รักกัน กอดคอดื่มเหล้ากัน พอเอ่ยถึงอดีต ยังรู้สึกอายและขำ พร้อมถามกันว่า ทำกันไปได้ยังไงวะ เมื่อตอนเด็กๆ...ถ้ามีลูก ยังไม่ส่งลูกเรียนที่สถาบันเก่าเลย...!”
เพราะฉะนั้น “การยกพวกตีกัน” ของทั้งสองสถาบันที่เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ก็จะเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ “ผู้บริหาร-ครู-รุ่นพี่” ของทั้งสองสถาบัน ยังเพียรพยายามสร้าง “ตำนาน” ให้คงอยู่ต่อไปด้วย “จิตสำนึกป่าเถื่อน-ล้าสมัย” เช่นนี้ ปัญหา “นักเรียน-นักเลง” ก็ยังอยู่อีกต่อไป
ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “แปลกใจ!” อย่างมาก ที่สังคมโลกในยุคปัจจุบันได้พัฒนาล้ำหน้าล้ำสมัยไปมากขึ้น แต่ก็เป็นกรณีที่แปลกประหลาดว่า ทั้ง “ความรุนแรง” และ “ความเพี้ยน” ของคนในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ กับ “ทวีคูณเพิ่มมากขึ้น!” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และ/หรือด้อยพัฒนา
พูดง่ายๆ คือ “ป่าเถื่อน-เลื่อนลอย” มากยิ่งขึ้น จริงๆ แล้ว ถ้าจะวิเคราะห์กันให้ถึงที่สุด น่าจะเป็นเพราะ “สังคมข้อมูลข่าวสาร” ที่เผยแพร่และกระจายอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงไหน แม้กระทั่ง “เว็บไซต์ (Website)” และ “วิดีโอเกม”
“การกระทำที่รุนแรง” ที่มีการเปิดเผยอย่างแพร่หลาย จนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หาบริโภคได้อย่างง่ายดาย ตลอดจน “พฤติกรรมเบี่ยงเบน!” จนผู้คนในสังคมยุคใหม่กำลัง “ย้อนยุค” สู่ “ความเพี้ยน-ป่าเถื่อน” มากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่สังคมยุคใหม่ทันสมัยจนเกินไป จน “วัฒนธรรม-อารยธรรมดี” กำลังถดถอยหดหายไป
แม้กระทั่ง วงการ “พระสงฆ์” ที่มีข่าวคราวล่าสุดถึง “พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ” กรณีที่วัดทางภาคเหนือ ซึ่งว่าไปแล้ว แทบทุกวัดน่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรือ “พระปลอม” ที่มุ่งการค้า จนเลยเถิดไปถึง “ผิดสารพัดศีล!”
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “สังคมฟอนเฟะ” ที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ ในบ้านเมืองเราไม่ว่า สังคม การเมือง เศรษฐกิจ มิได้มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเลย แต่ในทางกลับกัน กลับเลวร้ายมากกว่าเดิม จนถึงขั้น “ไม่ยอมแพ้-ไม่เลิก” เรียกว่า “ต้องตายกันไปข้าง” ทั้งกรณี “นักเรียน-นักเลง” กับ “นักการเมืองแค้น” ที่จ้อง “ล้มล้าง-ทำลาย” ชาติบ้านเมืองให้ต้องพังพินาศไปกับตา!