วานนี้ (28 ม.ค.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ได้มีการพิจารณาวาระด่วน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ.2552 จากการเสนอของรัฐบาล โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 52 ไม่เกิน 116,700,000,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น97,560,523,700 บาท และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 19,139,476,300 บาท ทั้งนี้ เพื่อเร่งรัดฟื้นฟูเศรษฐกิจ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และภาคธุรกิจ จากนั้นได้เปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปราย โดยเริ่มจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายในนามของตัวแทนผู้นำฝ่ายค้านในสภา โดยร.ต.อ.เฉลิมอภิปรายว่า การจัดงบในครั้งนี้ดูภาพรวมแล้วไม่ใช่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่ได้ช่วยกระจายรายได้ในทุกภาคส่วน แต่งบไปกระจุกอยู่ที่พรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และนายกฯไม่ควรถือเงิน 4 พันล้านไว้ในมือ ซึ่งเป็นงบประมาณสำรองกรณีฉุกเฉิน ควรจะนำไปจัดสรรในส่วนอื่นที่เหมาะสมมากกว่า
ร.ต.อ.เฉลิม ยังพุ่งเป้าโจมตีในเรื่องการจัดงบเพิ่มเติมของกระทรวงต่างประเทศ 325 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวว่าเป็นการใช้งบที่ไม่มีประโยชน์ เพราะรมว.ต่างประเทศไม่ได้รับความเชื่อมั่น โดยได้เอ่ยถึงกรณีที่คนไปร้องทุกข์ที่ สน.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ ให้ดำเนินคดีกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายสากลตาม ป.อาญา 135/1 โดยระบุว่านายกษิต จะเป็นไมล์สะสมที่ฝ่ายค้านจะเก็บไว้อภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป
อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ได้สนับสนุนให้มีจัดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1.8 พันล้านบาท โดยอ้างว่าให้คนมีงานทำ และควรจะแบ่งมาเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท เพราะต้องเห็นใจข้าราชการตำรวจ ซึ่งที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่าตำรวจฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ขอเรียนว่าไม่มีตำรวจที่ไหนคิดฆ่าประชาชน ยืนยันว่า รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้มีมติให้สลายม็อบ แต่สถานการณ์มันพาไป เพราะตำรวจไม่ใช่พระอิฐพระปูน
ร.ต.อ.เฉลิม ได้อภิปรายถึงนโยบายให้เงินหัวละ 2 พันบาท กับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่เป็นนโยบายซื้อเสียงล่วงหน้าอย่างชัดเจน โดยสามารถครอบคลุมได้ถึง 9.2 ล้านคน ส่วนโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือนยอมรับว่าประชาชนจำนวนมากได้รับประโยชน์ แต่ขอยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ใช่ความคิดของนายสมัคร สุนทรเวช หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เป็นผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ร.ต.อ.เฉลิมยังระบุว่าการที่รัฐบาลตั้งเงินคืนคลังจำนวน 19,000 ล้านบาท เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ม.169 และพรบ.บริหารหนี้ ม.21 (2) เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่าเงินในส่วนนี้ต้องมาจากรายได้ ถึงจะเอาไปคืนคลังได้ คือเงินที่เก็บจากภาษี แต่รัฐบาลบอกว่าจะกู้เงินไปคืนคลังซึ่งถือเป็นรายรับ จึงขอเตือนรัฐบาลว่าจะเข้าข่ายมีความผิด และมั่นใจว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้จะไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลหวังกระตุ้นการผลิตเพื่อให้สร้างงาน แต่ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญหาวิกฤติไม่มีตลาดรองรับ
"หากเป็นนโยบายแจกฟรีก็ไม่มีผล รัฐบาลใช้วิธีการยัดเงินใส่กระเป๋า และจัดสรรงบลักษณะเบี้ยหัวแตก ทำเพื่อหนทางทางการเมืองโดยหวังผลทางการเมืองสูงมาก ซึ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาโครงการประชานิยมมายัดใส่กระเป๋าถึง 5 โครงการ อีก 4 โครงการประเมินผลยาก การที่รัฐบาลอ้างตัวเลขขาดดุลอยู่ที่ 3.4 แสนล้านบาท เป็นการจงใจและตั้งใจเอาตัวเลขเท็จมาบอกสภา เพราะความจริงตัวเลขอยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท เพราะปีนี้ส่อชัดเจนว่าเก็บภาษีไม่เข้าเป้า นายกฯแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริงๆว่าเงินคงคลังเหลือแค่ แสนล้านบาท แต่จะต้องจ่ายถึง 1.2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว ปชป. เคย ปรามาส พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็น ทุนนิยมสามานย์ โดยนายกฯบอกว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ต้องเอานโยบายประชานิยมมาบริหารบ้านเมือง แต่รัฐบาลนี้กลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง เป็นเหมือน โคตรอภิมหาประชานิยม"
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชี้แจงข้อหาว่านายกษิต เป็นผู้ก่อการร้ายสากลว่า ที่ตนพูดว่านายกษิต ถูกตั้งข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ เป็นช่วงที่ตนไม่ยังได้มาบริหาร แต่ที่มีการกล่าวโทษที่ สน.ราชาเทวะ ไม่ใช่กรณีปิดสนามบิน แต่เป็นการไปอภิปรายเวทีสัมมนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพิ่งไปกล่าวโทษเมื่อสองวันที่ผ่านมา อยากให้มีการพูดความจริง จะได้ไม่คลาดเคลื่อน ส่วนกรณีที่ตนเรียกนายตำรวจเข้าพบเพื่อสอบถามปัญหาอุปสรรคในคดีสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เป็นการรื้อคดี แต่เป็นการเร่งรัดและหาทางดำเนินการ
"วันนี้ตำรวจ ก็ออกมาพูดว่า ฟ้าเปิดแล้ว ทำให้คดีเดินหน้าไปได้ ผมจำได้ว่านายกฯ ขณะนั้นและท่านเอง ก็ได้พบกับเขา แต่คนละห้องเท่านั้น ที่ต่างกัน คือมีการชี้นำว่า อย่าทำเลย คดีอย่างนี้ ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ไปตามกฎหมายโดยให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ในการทำงานว่า จะไม่มีการแทรกแซง" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนประเด็นที่ว่าตนต่อต้านนโยบายประชานิยมหลายเรื่อง ไม่ว่านโยบาย 30 บาท หากย้อนกลับไปก็ยังยืนยันความเห็นเดิม เพราะวันที่มีนโยบายนี้ก็เป็นเรื่อง แต่วันนั้นงบประมาณยังไม่พร้อมจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นได้รับร้องเรียนไปไม่ได้เงิน และยังเกิดปัญหาเหมือนที่ตนวิจารณ์ในเรื่องคุณภาพของยา และการรักษา แต่เมื่อมีการปรับ ค่าใช้จ่ายต่อหัวแล้ว โครงการนี้เพิ่งเดินหน้าไปได้ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งที่มีแนวคิดจะยกเลิกโครงการนี้ด้วยซ้ำ
ไผมไม่ใช่คนช่างคิดละเอียด แต่ถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ยินดีจะทำ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดโครงการ ก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าโครงการ 6 มาตรา 6 เดือน เป็นความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะทำ อะไรที่จำเป็นต้องแก้ไขก็ต้องปรับปรุง อะไรที่ไม่ถูกต้องก็จะยกเลิก ส่วนจะเรียกว่าประชานิยม หรือเรียกชื่ออะไร อย่างไร ผมไม่คิดที่จะเป็นเจ้าของ เพราะรู้จักประมาณตน แต่มาตรการที่รัฐบาลออกมาเราดูตามความจำเป็น สถานการณ์และเนื้องาน และไม่มีวันที่เป็นจะทำนโยบายแบบนี้ ขอยืนยันการจัดโครงการของรัฐบาล จะไม่ไปถึงทุนสามานย์ วันนี้ผมคิดว่านโยบายรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน นั่นคือหัวใจของทุนสามานย์" นายกรัฐมนตรี ย้ำ
นายอภิสิทธิ์ ได้ยืนยันอักว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ เหตุผลที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 3.47 แสนล้านบาท เพราะต้องการให้อยู่ในเพดานการกู้เงินในกรอบงบประมาณ หากจะยึดตัวเลข 4.7 แสนล้านบาท จะทำให้เกิดเพดานเงินกู้ อย่างไรรายละเอียดทั้งหมด จะชี้แจงในตอนท้ายอีกครั้ง
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชี้แจงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ พาดพิงไปแทรกแซงการทำงานของตำรวจ โดยไม่ให้ดำเนินคดี แต่ นายชัย ได้ตัดบทว่า "อย่ากินปูนร้อนท้อง" ทำให้ร.ต.อ.เฉลิม นำเอกสารการแจ้งความ นายกษิต ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายสากล มาอ่านพร้อมโชว์กลางที่ประชุม
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นกล่าวว่ายอมรับว่าตนเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และ ขอใช้สิทธิชี้แจงเพราะถูกพาดพิงในสภาหลายครั้ง ตนไปชุมนุมจริงตามมติแกนนำพันธมิตรฯ แต่ไม่ได้ปิดสนามบิน หรือยึดรันเวย์ แต่คนที่สั่งปิดแบบมีลายลักษณ์อักษร คือ ผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ซึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทปราการ ก็ตำหนิไปแล้ว ว่าสั่งปิดสนามบินทำไม และการมากล่าวหาว่าตนเป็นผู้ก่อการร้ายสากลก็ไม่ใช่
"ผมยินดีต่อสู้คดีโดยไม่ใช้เอกสิทธิ์ของส.ส. ไม่เคยหนีศาล ไม่ขี้ขลาด หนีไปต่างประเทศ และศาลก็ชี้ออกมาแล้วว่าผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายสากล ข้อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏในราชอาณาจักร ก็ต่อสู้ จนตุลาการสั่งเพิกถอนข้อหานี้ แต่ก็ยังมีความพยายามโยงเข้ามาในสภาและพูดกันอีก แต่ผมจะไม่หวั่นไหว และพร้อมสู้ โดยไม่ยอมหนีคดีออกไปต่างประเทศจนกลายเป็นอาชญากรข้ามชาติ และจะไม่ยอมสยบต่ออำนาจทั้งหลาย" นายสมเกียรติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหัวค่ำ นายอภิสิทธิ์ ได้ ติดภารกิจรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีพระราชทานรางวัล ณ พระที่นั่งจักรีมหาประสาท ปรากฎว่า นายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอนับองค์ประชุมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้แก้เกมด้วยการเสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ แต่ประธานในที่ประชุมได้สั่งพักการประชุม 10 นาที และเมื่อเปิดประชุมอีกครั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยอมถอนญัตติ ทำให้มีการนับองค์ประชุมด้วยการเสียบบัตรเท่านั้น ผลปรากฏมีสมาชิก 257 เสียง สามารถประชุมต่อไปได้
ร.ต.อ.เฉลิม ยังพุ่งเป้าโจมตีในเรื่องการจัดงบเพิ่มเติมของกระทรวงต่างประเทศ 325 ล้านบาท เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวว่าเป็นการใช้งบที่ไม่มีประโยชน์ เพราะรมว.ต่างประเทศไม่ได้รับความเชื่อมั่น โดยได้เอ่ยถึงกรณีที่คนไปร้องทุกข์ที่ สน.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ ให้ดำเนินคดีกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายสากลตาม ป.อาญา 135/1 โดยระบุว่านายกษิต จะเป็นไมล์สะสมที่ฝ่ายค้านจะเก็บไว้อภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป
อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม ได้สนับสนุนให้มีจัดงบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1.8 พันล้านบาท โดยอ้างว่าให้คนมีงานทำ และควรจะแบ่งมาเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท เพราะต้องเห็นใจข้าราชการตำรวจ ซึ่งที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่าตำรวจฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ขอเรียนว่าไม่มีตำรวจที่ไหนคิดฆ่าประชาชน ยืนยันว่า รัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้มีมติให้สลายม็อบ แต่สถานการณ์มันพาไป เพราะตำรวจไม่ใช่พระอิฐพระปูน
ร.ต.อ.เฉลิม ได้อภิปรายถึงนโยบายให้เงินหัวละ 2 พันบาท กับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท ว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่เป็นนโยบายซื้อเสียงล่วงหน้าอย่างชัดเจน โดยสามารถครอบคลุมได้ถึง 9.2 ล้านคน ส่วนโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือนยอมรับว่าประชาชนจำนวนมากได้รับประโยชน์ แต่ขอยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ใช่ความคิดของนายสมัคร สุนทรเวช หรือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เป็นผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ร.ต.อ.เฉลิมยังระบุว่าการที่รัฐบาลตั้งเงินคืนคลังจำนวน 19,000 ล้านบาท เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ม.169 และพรบ.บริหารหนี้ ม.21 (2) เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่าเงินในส่วนนี้ต้องมาจากรายได้ ถึงจะเอาไปคืนคลังได้ คือเงินที่เก็บจากภาษี แต่รัฐบาลบอกว่าจะกู้เงินไปคืนคลังซึ่งถือเป็นรายรับ จึงขอเตือนรัฐบาลว่าจะเข้าข่ายมีความผิด และมั่นใจว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้จะไม่สำเร็จเพราะรัฐบาลหวังกระตุ้นการผลิตเพื่อให้สร้างงาน แต่ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีปัญหาวิกฤติไม่มีตลาดรองรับ
"หากเป็นนโยบายแจกฟรีก็ไม่มีผล รัฐบาลใช้วิธีการยัดเงินใส่กระเป๋า และจัดสรรงบลักษณะเบี้ยหัวแตก ทำเพื่อหนทางทางการเมืองโดยหวังผลทางการเมืองสูงมาก ซึ่งไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาโครงการประชานิยมมายัดใส่กระเป๋าถึง 5 โครงการ อีก 4 โครงการประเมินผลยาก การที่รัฐบาลอ้างตัวเลขขาดดุลอยู่ที่ 3.4 แสนล้านบาท เป็นการจงใจและตั้งใจเอาตัวเลขเท็จมาบอกสภา เพราะความจริงตัวเลขอยู่ที่ 4.7 แสนล้านบาท เพราะปีนี้ส่อชัดเจนว่าเก็บภาษีไม่เข้าเป้า นายกฯแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริงๆว่าเงินคงคลังเหลือแค่ แสนล้านบาท แต่จะต้องจ่ายถึง 1.2 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว ปชป. เคย ปรามาส พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็น ทุนนิยมสามานย์ โดยนายกฯบอกว่าเมื่อชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ต้องเอานโยบายประชานิยมมาบริหารบ้านเมือง แต่รัฐบาลนี้กลับมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง เป็นเหมือน โคตรอภิมหาประชานิยม"
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชี้แจงข้อหาว่านายกษิต เป็นผู้ก่อการร้ายสากลว่า ที่ตนพูดว่านายกษิต ถูกตั้งข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ เป็นช่วงที่ตนไม่ยังได้มาบริหาร แต่ที่มีการกล่าวโทษที่ สน.ราชาเทวะ ไม่ใช่กรณีปิดสนามบิน แต่เป็นการไปอภิปรายเวทีสัมมนาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเพิ่งไปกล่าวโทษเมื่อสองวันที่ผ่านมา อยากให้มีการพูดความจริง จะได้ไม่คลาดเคลื่อน ส่วนกรณีที่ตนเรียกนายตำรวจเข้าพบเพื่อสอบถามปัญหาอุปสรรคในคดีสำคัญ ซึ่งไม่ใช่เป็นการรื้อคดี แต่เป็นการเร่งรัดและหาทางดำเนินการ
"วันนี้ตำรวจ ก็ออกมาพูดว่า ฟ้าเปิดแล้ว ทำให้คดีเดินหน้าไปได้ ผมจำได้ว่านายกฯ ขณะนั้นและท่านเอง ก็ได้พบกับเขา แต่คนละห้องเท่านั้น ที่ต่างกัน คือมีการชี้นำว่า อย่าทำเลย คดีอย่างนี้ ผมเพียงแต่ทำหน้าที่ไปตามกฎหมายโดยให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ในการทำงานว่า จะไม่มีการแทรกแซง" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนประเด็นที่ว่าตนต่อต้านนโยบายประชานิยมหลายเรื่อง ไม่ว่านโยบาย 30 บาท หากย้อนกลับไปก็ยังยืนยันความเห็นเดิม เพราะวันที่มีนโยบายนี้ก็เป็นเรื่อง แต่วันนั้นงบประมาณยังไม่พร้อมจริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นได้รับร้องเรียนไปไม่ได้เงิน และยังเกิดปัญหาเหมือนที่ตนวิจารณ์ในเรื่องคุณภาพของยา และการรักษา แต่เมื่อมีการปรับ ค่าใช้จ่ายต่อหัวแล้ว โครงการนี้เพิ่งเดินหน้าไปได้ สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งที่มีแนวคิดจะยกเลิกโครงการนี้ด้วยซ้ำ
ไผมไม่ใช่คนช่างคิดละเอียด แต่ถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ยินดีจะทำ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดโครงการ ก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าโครงการ 6 มาตรา 6 เดือน เป็นความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะทำ อะไรที่จำเป็นต้องแก้ไขก็ต้องปรับปรุง อะไรที่ไม่ถูกต้องก็จะยกเลิก ส่วนจะเรียกว่าประชานิยม หรือเรียกชื่ออะไร อย่างไร ผมไม่คิดที่จะเป็นเจ้าของ เพราะรู้จักประมาณตน แต่มาตรการที่รัฐบาลออกมาเราดูตามความจำเป็น สถานการณ์และเนื้องาน และไม่มีวันที่เป็นจะทำนโยบายแบบนี้ ขอยืนยันการจัดโครงการของรัฐบาล จะไม่ไปถึงทุนสามานย์ วันนี้ผมคิดว่านโยบายรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน นั่นคือหัวใจของทุนสามานย์" นายกรัฐมนตรี ย้ำ
นายอภิสิทธิ์ ได้ยืนยันอักว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ เหตุผลที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 3.47 แสนล้านบาท เพราะต้องการให้อยู่ในเพดานการกู้เงินในกรอบงบประมาณ หากจะยึดตัวเลข 4.7 แสนล้านบาท จะทำให้เกิดเพดานเงินกู้ อย่างไรรายละเอียดทั้งหมด จะชี้แจงในตอนท้ายอีกครั้ง
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชี้แจงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ พาดพิงไปแทรกแซงการทำงานของตำรวจ โดยไม่ให้ดำเนินคดี แต่ นายชัย ได้ตัดบทว่า "อย่ากินปูนร้อนท้อง" ทำให้ร.ต.อ.เฉลิม นำเอกสารการแจ้งความ นายกษิต ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายสากล มาอ่านพร้อมโชว์กลางที่ประชุม
ด้านนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นกล่าวว่ายอมรับว่าตนเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และ ขอใช้สิทธิชี้แจงเพราะถูกพาดพิงในสภาหลายครั้ง ตนไปชุมนุมจริงตามมติแกนนำพันธมิตรฯ แต่ไม่ได้ปิดสนามบิน หรือยึดรันเวย์ แต่คนที่สั่งปิดแบบมีลายลักษณ์อักษร คือ ผู้ว่าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ซึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทปราการ ก็ตำหนิไปแล้ว ว่าสั่งปิดสนามบินทำไม และการมากล่าวหาว่าตนเป็นผู้ก่อการร้ายสากลก็ไม่ใช่
"ผมยินดีต่อสู้คดีโดยไม่ใช้เอกสิทธิ์ของส.ส. ไม่เคยหนีศาล ไม่ขี้ขลาด หนีไปต่างประเทศ และศาลก็ชี้ออกมาแล้วว่าผมไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายสากล ข้อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏในราชอาณาจักร ก็ต่อสู้ จนตุลาการสั่งเพิกถอนข้อหานี้ แต่ก็ยังมีความพยายามโยงเข้ามาในสภาและพูดกันอีก แต่ผมจะไม่หวั่นไหว และพร้อมสู้ โดยไม่ยอมหนีคดีออกไปต่างประเทศจนกลายเป็นอาชญากรข้ามชาติ และจะไม่ยอมสยบต่ออำนาจทั้งหลาย" นายสมเกียรติ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหัวค่ำ นายอภิสิทธิ์ ได้ ติดภารกิจรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีพระราชทานรางวัล ณ พระที่นั่งจักรีมหาประสาท ปรากฎว่า นายสมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอนับองค์ประชุมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้แก้เกมด้วยการเสนอให้นับองค์ประชุมแบบขานชื่อ แต่ประธานในที่ประชุมได้สั่งพักการประชุม 10 นาที และเมื่อเปิดประชุมอีกครั้ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยอมถอนญัตติ ทำให้มีการนับองค์ประชุมด้วยการเสียบบัตรเท่านั้น ผลปรากฏมีสมาชิก 257 เสียง สามารถประชุมต่อไปได้