ASTVผู้จัดการรายวัน – แฉรมว.ไอซีทีรับใช้ทุนการเมือง ตั้งกก.สอบข้อเท็จจริงบอร์ดกสททั้งคณะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้อำนาจการเมืองแทรกแซงการบริหารบริษัทมหาชนที่คลังถือหุ้น 100% เล็งยื่นถอดถอนร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ กระเด็นตกเก้าอี้รมว.ไอซีที เผย 3 ประสานบีบประธานบอร์ดกสทหลังรักษาประโยชน์คลังและกสท ขวางทางถอนทุนนักการเมือง
รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่โปร่งใส ทุจริต คอรัปชั่น ของพรรคร่วมรัฐบาลในการบริหารงานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อพบหลักฐานปรากฏชัดเจนว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างอำนาจทุนที่กำกับอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและผู้บริหารบางคนที่หวังตำแหน่งใหญ่โต ร่วมกันวางแผนและดำเนินการบีบบอร์ดทั้งคณะในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงานในสังกัดอย่างบริษัท กสท โทรคมนาคม
แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าวว่ากระทรวงการคลังในฐานะเป็นเจ้าของและถือหุ้น 100% ในบริษัท กสท โทรคมนาคม พิจารณาเห็นว่าคำสั่งของร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2552 น่าจะเป็นการออกคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่และคณะกรรมการ (บอร์ด) กสททั้งคณะด้วยข้อหาว่ามีพฤติกรรมและพฤติการณ์ส่อไปในทางที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับกสท โดยแต่งตั้งนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงไอซีทีเป็นประธานกรรมการและมีกรรมการ 2 คนประกอบด้วยนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน กสท และนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการรมว.ไอซีที
คำสั่งดังกล่าวอ้างถึงกรณีนายประสิทธิ์ โพธสุธน ในฐานะประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหานายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์และพวกในข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐกรณีเปิดประมูลไฟเบอร์ออพติด 2,000 ล้านบาท (โครงการเอซอน) และอ้างถึงข่าวซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างการผลาญงบ 500 ล้านบาทในการรีแบรนด์
ทั้งนี้ในคำสั่งระบุว่าตลอดเวลาดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหามิได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนและภายหลังจากที่รมว.ไอซีทีได้เชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงก็ยังไม่ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเกี่ยวกับคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 47 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลกับรมว.ไอซีทีโดยตรงภายใน 15 วัน
****คำสั่งมิชอบ/เล็งยื่นถอดถอน
แหล่งข่าวกล่าวว่าคำสั่งดังกล่าวถือว่ามิชอบด้วยกฎหมายและถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของบริษัทมหาชนในสังกัดกระทรวงการคลัง เนื่องจาก 1.การตั้งกรรมการด้วยการอ้างการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเกี่ยวกับคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 47 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องคลื่นความถี่คือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่เกี่ยวกับกระทรวงไอซีทีตามเหตุผลที่อ้างแต่อย่างใด
2.หากกระทรวงไอซีทีต้องการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ก็ควรแจ้งไปยังกระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น 100% ในกสท เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ไม่ใช่กระทรวงไอซีทีดำเนินการเอง
3.การตั้งข้าราชการการเมืองอย่างนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการ รมว.ไอซีที มาเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเพราะถือเป็นการแทรกแซงการบริหารของบริษัทมหาชนจากการเมือง รวมทั้งการตั้งนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท ซึ่งมีฐานะเป็นลูกจ้าง เป็นผู้บริหารภายนอกที่ผ่านการคัดสรร และต้องมีการประเมินผลการทำงานทุก 6 เดือน มาสอบข้อเท็จจริงบอร์ดกสท ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เนื่องจากนายจิรายุทธ ยังอยู่ระหว่างถูกรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่กสทตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีทำให้กสทเสียหายอยู่ในขณะนี้ ถือได้ว่ามีผลประโยชน์ขัดแย้งกันหรือ conflict of interest ไม่สมควรที่จะถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการ รวมทั้งนายจิรายุทธเองยังเคยประกาศต่อหน้าสาธารณชนในวันที่ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์เข้ากระทรวงไอซีทีว่าเป็นเพื่อสนิทกับนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการรมว.ไอซีที เนื่องจากต้องการแสดงให้สาธารณชนรับรู้ในสายสัมพันธ์การเมือง
‘คำสั่งที่ผิด การแทรกแซงอำนาจบริษัทมหาชนโดยนักการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลให้มีการยื่นถอดถอนได้ ซึ่งขณะนี้กระบวนการยื่นถอดถอน ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ จากตำแหน่งรมว.ไอซีทีกำลังดำเนินการอยู่ โดยจะยื่นเข้าไปยังกกต.หรือที่ศาลรัฐธรรมนูญ’
กระบวนการจ้องเอาผิดประธานบอร์ดและต้องการล้มบอร์ดกสททั้งคณะ เป็นการทำงานประสานกันระหว่างทุนการเมือง ที่ใช้เงินไปกว่า 200 ล้านบาทสำหรับแรงสนับสนุนในการตะเพิดขั้วปากน้ำให้พ้นกระทรวงไอซีที และเพื่อซื้อตำแหน่งที่จะใช้ในการถอนทุน ร่วมมือกับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บางคนที่ทะยานอยากเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่กสท แทนนายพิศาล จอโภชาอุดมที่หมดสภาพไปก่อนหน้านี้
พร้อมทั้งแรงหนุนจากคนที่ต้องการให้กาชื่อประธานบอร์ดกสท นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ออกจากแคนดิเดต ปลัดกระทรวงการคลัง ด้วยการอาศัยข้ออ้างเรื่องประมูลไฟเบอร์ออพติด 2,000 ล้านบาท โดยหวังให้คนของตัวเองที่จะเกษียณอายุราชการเดือนก.ย.2552 ได้ตำแหน่งปลัดกระทรวง การคลังแทน
‘ทุนการเมืองต้องการโครงการเพื่อถอนทุนอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าการเมืองไม่นิ่ง โอกาสที่จะถูกปรับครม.มีสูง แต่เผอิญที่ประธานบอร์ดอย่างนายสถิตย์ ที่เป็นตัวแทนกระทรวงการคลังที่ถือหุ้น 100% ในกสท ต้องการที่จะรักษาและปกป้องผลประโยชน์ของคลังอย่างเต็มที่ จึงสร้างความไม่พอใจให้ทุนการเมือง จำเป็นต้องทำทุกวิธีเพื่อกำจัดนายสถิตย์และบอร์ดกสทชุดนี้ให้พ้นทางไป’
****เบื้องหลังกรรมาธิการอัดเอซอน
สำหรับข้ออ้างเรื่องการประมูลไฟเบอร์ออฟติด 2,000 ล้านบาท (โครงการเอซอน) ของนายประสิทธิ์ โพธสุธน ประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภานั้นพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกคณะกรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า จากกรณีที่นายประสิทธิ์ โพธสุธน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณี บริษัท กสท โทรคมนาคม เซ็นสัญญาโครงการเอซอนที่มีลักษณะส่อไปในทางทุจริตนั้น สำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดินได้ส่งหนังสือแจ้งมายัง กสท ว่าได้วินิจฉัยให้ยุติการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 24 (3) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหมายความว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรแล้ว เช่นเดียว กับกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันและไม่คิดว่าจะต้องมีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
แต่สิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั้นคือในเมื่อกสทเซ็นสัญญาโครงการเอซอนตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 หรือมากกว่า 4 เดือนแล้ว และในเมื่อกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ฯ ได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบจนมีผลสรุปแล้วว่าให้ยุติการพิจารณาข้อร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการเซ็นสัญญา รวมทั้งกระทรวง การคลัง ก็ไม่ติดใจแล้วทำไมกรรมาธิการ วิทยาศาสตร์ฯ จึงร้อนรนกระวนกระวายใจนัก และไม่ยอมรับความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน จำเป็นต้องยื่นเรื่องให้รมว.ไอซีทีจนต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่อาจทำให้รมว.ไอซีทีถูกถอดถอนได้ รวมทั้งพยายามยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณา หรือเป็นเพราะหากป.ป.ช.รับเรื่องไว้ จะทำให้นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ถูกกาชื่อออกจากผู้มีโอกาสเป็นปลัด กระทรวงการคลังทันที
‘หากไล่ดูสายสัมพันธ์ของโพธสุธน จะพบความเกี่ยวเนื่องกับรองปลัดกระทรวงการคลังบางคนที่จะเกษียณอายุในเดือนก.ย.นี้ ทำให้การร้องเรียนโครงการเอซอนหยุดไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่กรรมาธิการ วิทยาศาสตร์ฯต้องยื่นเรื่องตรงกับป.ป.ช.เองเลย’
นอกจากนี้เหตุผลการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงบอร์ดกสทด้วยการหยิบข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นข้ออ้างนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้บริหารระดับไหนใครเขาทำกัน เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าข่าวซุบซิบมีเบื้องหน้าเบื้องหลังและมีที่มาได้รับการอัดฉีดอย่างไร โดยเฉพาะในขณะนี้รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่กับประธานบอร์ดกสท กำลังจะยื่นฟ้องร้องหมิ่นประมาททั้งอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเนื่องจากข้อเขียนซุบซิบดังกล่าวทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากนี้ประเด็นที่ว่าผลาญงบรีแบรนด์ 500 ล้านบาทก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะใช้เงินจริงๆประมาณ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น
‘หากตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพราะข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และไม่มีใครเขาทำกันด้วย’
**** ‘รองเจ’ว่าที่ซีอีโอกสท
ว่ากันว่านายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงินกสท ถูกวางตัวเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่เนื่องจากผลงานเข้าตาการเมืองเหลือเกิน รวมทั้งยังประกาศเป็นเพื่อนเลขาฯรมว.ไอซีทีอย่างโจ่งแจ้ง ในสมัยนายพิศาลเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายจิรายุทธหรือรองเจ ได้รับความไว้วางใจวางตัวให้ดูแลสายงานสำคัญถึง 3 ด้านคือด้านการเงิน การตลาด และซีดีเอ็มเอ คุมงบประมาณจัดซื้อจำนวนมาก
แหล่งข่าวในกระทรวงไอซีทีกล่าวว่ารองเจ ได้พาหัวเหว่ยเข้าพบทุนการเมืองไอซีทีอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา กล่าวกันว่ามี 2 โครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ที่ใส่พานถวายให้การเมืองเพื่อแลกกับเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ คือการซื้อโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเอจากกลุ่มฮัทชิสันประมาณ 6,000 ล้านบาท กับการซื้ออุปกรณ์และการซ่อมบำรุงโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเออีกกว่า 3,000 ล้านบาท
โดยรองเจได้แถลงยืนยันถึงความจำเป็นที่กสทต้องซื้อโครงข่ายซีดีเอ็มเอจากกลุ่มฮัทชิสันว่ากสทต้องการเป็นเจ้าของโครงข่ายซีดีเอ็มเอทั่วประเทศ โดยสร้างนิยายเพ้อฝันสวยงามว่าจะได้ฐานลูกค้าของฮัทช์ประมาณ 1.1 ล้านราย รายได้ต่อเลขหมายประมาณ 250 บาทต่อเดือน โดยปัดที่จะบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าครั้งหนึ่งกลุ่มฮัทชิสันเคยเสนอยกโครงข่ายให้ฟรีด้วยซ้ำ หรือ เคยมีการเจรจาสรุปที่ตัวเลขแค่ 4,000 ล้านบาท แต่อีก 2,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับเก้าอี้ใหญ่โตในกสทรวมทั้งไม่พูดถึงแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคตที่ผู้ให้บริการจำนวนมากทั่วโลก หันหาเทคโนโลยีวายแบนด์ซีดีเอ็มเอ (W-CDMA) หรือ HSPA กันหมดแล้ว มีแต่กสทที่เลือกจะถมเงินลงไปกับซีดีเอ็มเอ พร้อมทั้งยังป้ายสีใส่นายสถิตย์และบอร์ดกสทเพื่อสร้างภาพยกตัวเองว่าครั้งหนึ่งเคยเสนอแล้ว แต่บอร์ดไม่สนใจ
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการที่คุมสายธุรกิจซีดีเอ็มเอ ทำให้รองเจเข้าไปเกี่ยวพันกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างของซีดีเอ็มเอจำนวนมาก ทำให้เขากลายเป็น ‘คนจัดการ’ โดยกรณีอื้อฉาวและทำให้กสทเสียหายมากคือโครงการเสนอราคาจ้างจัดทำ RF Optimization (การปรับแต่งสัญญาณ) สำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO จำนวน 12 จังหวัดโดยผู้บริหารหนุ่มใช้ความเป็นเพื่อนเลขาฯอ้างชื่อการเมืองโทร.หาบางบริษัทให้ถอนตัวจากงานประมูลและไม่ให้ร้องเรียน เพื่อให้บางบริษัทที่เสนอราคาสูงกว่าได้รับการคัดเลือกไป จนท้ายสุดเมื่อขวางไม่ได้เพราะบริษัทที่ชนะประมูลทั้งเสนอราคาต่ำกว่า มีประสบการณ์ ไม่มีความผิดใดๆ ก็มีคำสั่งให้ล้มโครงการพร้อมให้คำมั่นแปลกๆว่าจะจัดทำโครงการใหญ่ขึ้น แบ่งให้ทั้ง 3 บริษัท เพื่อไม่ให้ใครกระโตกกระตากหรือร้องเรียน
**** ‘รองเจ’ ยืมมือเลขาฯแก้แค้นบอร์ด
กรณีอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นวันที่ 12 ม.ค. 2552 กสทได้ทำหนังสือถึงบริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส กับบริษัท เออร์เนท ที่รวมกันเป็นคอนซอเตียมในการเสนอราคาจ้างจัดทำ RF Optimization สำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO จำนวน 12 จังหวัดโดยวิธีพิเศษ โดยกสทแจ้งว่าขอยกเลิกการดำเนินการจัดจ้างรายการดังกล่าวเนื่องจากกสทจะดำเนินการกำหนดขอบเขตของงานใหม่ต่อไป
งาน RF Optimization เป็นงานปรับแต่งสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO ใช้วิธีพิเศษเรียกบริษัทให้มาเสนอราคา ตอนแรกผู้บริหารตั้งใจเรียกแค่ยูเทล กับหัวเหว่ย แค่นั้นแต่ไม่สามารถทัดทานเสียงร้องของพนักงานที่รักองค์กรได้จำเป็นต้องเรียกล็อกซเล่ย์กับเออร์เนทเข้าร่วมเสนอราคาด้วย ทำให้มีผู้เสนอราคา 3 รายคือยูเทล หัวเหว่ย และคอนซอเตียมล็อกซเล่ย์ เออร์เนท
ปรากฏว่าเมื่อถึงขั้นตอนเปิดซองราคา ‘คนจัดการ’ เกือบล้มทั้งยืน เพราะฮั้วแตก จากงบที่ตั้งไว้ 42 ล้านบาท หัวเหว่ยเสนอ 35 ล้านบาท ยูเทลเสนอ 34 ล้านบาท ซึ่งเป็นตามคาด แต่คอนซอเตียมล็อกซเล่ย์ เออร์เนท เสนอแค่ 21.8 ล้านบาทซึ่งเป็นราคาที่ทำได้แถมยังกำไร 15-20% ทำให้คนจัดการ ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้คอนซอเตียมตก ถึงขนาดแจ้งฉุกเฉินในวันยื่นซองตอนเช้า ให้ตอนบ่ายทำการทดสอบ Drive Test ซึ่งคอนซอเตียมก็ยังผ่านการทดสอบ ขนาดกรรมการ 3 คนที่มาจากฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายพัสดุและฝ่ายเทคนิค 2ใน3 ยอมให้คอนซอเตียมได้งานชิ้นนี้ไป เหลือเพียงกรรมการคนเดียวที่ได้รับคำสั่งจากคนจัดการ ไม่ยอมเซ็นผ่านให้
ทั้งนี้คอนซอเตียมได้ทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าโครงการนี้อีก 2 ครั้งเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2551 และวันที่ 5 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมาพร้อมยืนยันประสบการณ์และผลงานในการติดตั้งอุปกรณ์และระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งระบบ GSM ,CDMA ,CDMA 2000-1X EV-DO ให้กับบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็น กสท (BFKT ,หัวเหว่ย) เอไอเอส ดีแทค ซึ่งรวมถึงงาน RF Optimization รวมทั้งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยเสนอราคาต่ำกว่าผู้เสนอราคารายถัดไปถึง 12.8 ล้านบาทและกสทได้ต่อรองราคาจนคอนซอเตียมยอมลดราคาเหลือ 21.77 ล้านบาท แต่ผู้บริหารกลับไม่สนใจและล้มโครงการซึ่งทำให้กสทได้รับความเสียหาย
ผลที่ตามมาทำให้บอร์ดกสท มีมติลดบทบาทรองเจ เหลือเพียงรับผิดชอบสายงานการเงิน พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยตั้งนายสุชิน พึ่งวรอาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจโทรศัพท์เป็นประธานกรรมการโดยมีกรรมการและเลขานุการรวม 3 คนประกอบด้วยนายจิรชัย สีจร ,นายสมพล จันทร์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นกรรมการ และนายสุวัฒน์ อุดมลาภ ผู้จัดการส่วนกฎหมายเป็นเลขานุการ โดยให้รายงานผลให้รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ภายใน 10 วัน ซึ่งน่าจะเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้รองเจอาศัยความเป็นเพื่อนเลขาฯ ยืมมือให้ตั้งเข้าไปเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพื่อชำระแค้น
แหล่งข่าวกล่าวว่าขณะนี้ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต่างรับรู้กันหมดแล้วว่าทุนที่อยู่เบื้องหลังการเมืองในไอซีทีเป็นใคร และบงการผ่านตัวแทน อาศัยแขนขามือไม้เป็นใครบ้าง ซึ่งการที่การเมืองเล่นบทนอมินีใช้คนชื่อ ‘เกรียงไกร’ เข้าไปล้วงลูกวาระประชุมบอร์ดถึงขั้นสั่งให้บรรจุเรื่องไหน หรือ ถอนเรื่องไหนจากการประชุม ก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าทุนการเมืองพยักหน้า เป็นอันว่าบรรจุเป็นวาระได้ ซึ่งทำให้บอร์ดกสทรู้สึกอึดอัดและรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว ในขณะที่กระทรวง การคลังก็เข้าใจสถานการณ์และสนับสนุนบอร์ดชุดนี้อย่างเต็มที่
‘หากมีผู้บริหารกุมอำนาจมากถึงกับดูแล 3 สายงานหลัก การเมืองย่อมวางใจอยากสนับสนุนให้เป็นซีอีโอตัวจริงไว้ใช้ต่อไป ซึ่งหากประธานบอร์ดรับลูกกับการเมืองและผู้บริหารที่มักใหญ่ใฝ่สูงคนนั้น กสทคงล่มสลายเป็นแน่’
รัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่โปร่งใส ทุจริต คอรัปชั่น ของพรรคร่วมรัฐบาลในการบริหารงานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อพบหลักฐานปรากฏชัดเจนว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างอำนาจทุนที่กำกับอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและผู้บริหารบางคนที่หวังตำแหน่งใหญ่โต ร่วมกันวางแผนและดำเนินการบีบบอร์ดทั้งคณะในทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงานในสังกัดอย่างบริษัท กสท โทรคมนาคม
แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าวว่ากระทรวงการคลังในฐานะเป็นเจ้าของและถือหุ้น 100% ในบริษัท กสท โทรคมนาคม พิจารณาเห็นว่าคำสั่งของร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2552 น่าจะเป็นการออกคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่และคณะกรรมการ (บอร์ด) กสททั้งคณะด้วยข้อหาว่ามีพฤติกรรมและพฤติการณ์ส่อไปในทางที่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับกสท โดยแต่งตั้งนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงไอซีทีเป็นประธานกรรมการและมีกรรมการ 2 คนประกอบด้วยนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน กสท และนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการรมว.ไอซีที
คำสั่งดังกล่าวอ้างถึงกรณีนายประสิทธิ์ โพธสุธน ในฐานะประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหานายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์และพวกในข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐกรณีเปิดประมูลไฟเบอร์ออพติด 2,000 ล้านบาท (โครงการเอซอน) และอ้างถึงข่าวซุบซิบในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างการผลาญงบ 500 ล้านบาทในการรีแบรนด์
ทั้งนี้ในคำสั่งระบุว่าตลอดเวลาดังกล่าวผู้ถูกกล่าวหามิได้ออกมาชี้แจงต่อสาธารณชนและภายหลังจากที่รมว.ไอซีทีได้เชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงก็ยังไม่ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงอันเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเกี่ยวกับคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 47 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยให้รายงานผลกับรมว.ไอซีทีโดยตรงภายใน 15 วัน
****คำสั่งมิชอบ/เล็งยื่นถอดถอน
แหล่งข่าวกล่าวว่าคำสั่งดังกล่าวถือว่ามิชอบด้วยกฎหมายและถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของบริษัทมหาชนในสังกัดกระทรวงการคลัง เนื่องจาก 1.การตั้งกรรมการด้วยการอ้างการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะเกี่ยวกับคลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามมาตรา 47 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเกี่ยวกับเรื่องคลื่นความถี่คือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ไม่เกี่ยวกับกระทรวงไอซีทีตามเหตุผลที่อ้างแต่อย่างใด
2.หากกระทรวงไอซีทีต้องการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ก็ควรแจ้งไปยังกระทรวงการคลังในฐานะเป็นผู้ถือหุ้น 100% ในกสท เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ไม่ใช่กระทรวงไอซีทีดำเนินการเอง
3.การตั้งข้าราชการการเมืองอย่างนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการ รมว.ไอซีที มาเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องเพราะถือเป็นการแทรกแซงการบริหารของบริษัทมหาชนจากการเมือง รวมทั้งการตั้งนายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท ซึ่งมีฐานะเป็นลูกจ้าง เป็นผู้บริหารภายนอกที่ผ่านการคัดสรร และต้องมีการประเมินผลการทำงานทุก 6 เดือน มาสอบข้อเท็จจริงบอร์ดกสท ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เนื่องจากนายจิรายุทธ ยังอยู่ระหว่างถูกรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่กสทตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีทำให้กสทเสียหายอยู่ในขณะนี้ ถือได้ว่ามีผลประโยชน์ขัดแย้งกันหรือ conflict of interest ไม่สมควรที่จะถูกแต่งตั้งเป็นกรรมการ รวมทั้งนายจิรายุทธเองยังเคยประกาศต่อหน้าสาธารณชนในวันที่ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์เข้ากระทรวงไอซีทีว่าเป็นเพื่อสนิทกับนายฉัตร วิศวพลานนท์ เลขานุการรมว.ไอซีที เนื่องจากต้องการแสดงให้สาธารณชนรับรู้ในสายสัมพันธ์การเมือง
‘คำสั่งที่ผิด การแทรกแซงอำนาจบริษัทมหาชนโดยนักการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลให้มีการยื่นถอดถอนได้ ซึ่งขณะนี้กระบวนการยื่นถอดถอน ร้อยตรีหญิงระนองรักษ์ จากตำแหน่งรมว.ไอซีทีกำลังดำเนินการอยู่ โดยจะยื่นเข้าไปยังกกต.หรือที่ศาลรัฐธรรมนูญ’
กระบวนการจ้องเอาผิดประธานบอร์ดและต้องการล้มบอร์ดกสททั้งคณะ เป็นการทำงานประสานกันระหว่างทุนการเมือง ที่ใช้เงินไปกว่า 200 ล้านบาทสำหรับแรงสนับสนุนในการตะเพิดขั้วปากน้ำให้พ้นกระทรวงไอซีที และเพื่อซื้อตำแหน่งที่จะใช้ในการถอนทุน ร่วมมือกับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บางคนที่ทะยานอยากเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่กสท แทนนายพิศาล จอโภชาอุดมที่หมดสภาพไปก่อนหน้านี้
พร้อมทั้งแรงหนุนจากคนที่ต้องการให้กาชื่อประธานบอร์ดกสท นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ออกจากแคนดิเดต ปลัดกระทรวงการคลัง ด้วยการอาศัยข้ออ้างเรื่องประมูลไฟเบอร์ออพติด 2,000 ล้านบาท โดยหวังให้คนของตัวเองที่จะเกษียณอายุราชการเดือนก.ย.2552 ได้ตำแหน่งปลัดกระทรวง การคลังแทน
‘ทุนการเมืองต้องการโครงการเพื่อถอนทุนอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าการเมืองไม่นิ่ง โอกาสที่จะถูกปรับครม.มีสูง แต่เผอิญที่ประธานบอร์ดอย่างนายสถิตย์ ที่เป็นตัวแทนกระทรวงการคลังที่ถือหุ้น 100% ในกสท ต้องการที่จะรักษาและปกป้องผลประโยชน์ของคลังอย่างเต็มที่ จึงสร้างความไม่พอใจให้ทุนการเมือง จำเป็นต้องทำทุกวิธีเพื่อกำจัดนายสถิตย์และบอร์ดกสทชุดนี้ให้พ้นทางไป’
****เบื้องหลังกรรมาธิการอัดเอซอน
สำหรับข้ออ้างเรื่องการประมูลไฟเบอร์ออฟติด 2,000 ล้านบาท (โครงการเอซอน) ของนายประสิทธิ์ โพธสุธน ประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภานั้นพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกคณะกรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า จากกรณีที่นายประสิทธิ์ โพธสุธน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณี บริษัท กสท โทรคมนาคม เซ็นสัญญาโครงการเอซอนที่มีลักษณะส่อไปในทางทุจริตนั้น สำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดินได้ส่งหนังสือแจ้งมายัง กสท ว่าได้วินิจฉัยให้ยุติการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 24 (3) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหมายความว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรแล้ว เช่นเดียว กับกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็มีความเห็นเช่นเดียวกันและไม่คิดว่าจะต้องมีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว
แต่สิ่งที่น่าสงสัยมากกว่านั้นคือในเมื่อกสทเซ็นสัญญาโครงการเอซอนตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2551 หรือมากกว่า 4 เดือนแล้ว และในเมื่อกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ฯ ได้ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบจนมีผลสรุปแล้วว่าให้ยุติการพิจารณาข้อร้องเรียนความไม่โปร่งใสในการเซ็นสัญญา รวมทั้งกระทรวง การคลัง ก็ไม่ติดใจแล้วทำไมกรรมาธิการ วิทยาศาสตร์ฯ จึงร้อนรนกระวนกระวายใจนัก และไม่ยอมรับความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน จำเป็นต้องยื่นเรื่องให้รมว.ไอซีทีจนต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่อาจทำให้รมว.ไอซีทีถูกถอดถอนได้ รวมทั้งพยายามยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.พิจารณา หรือเป็นเพราะหากป.ป.ช.รับเรื่องไว้ จะทำให้นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ถูกกาชื่อออกจากผู้มีโอกาสเป็นปลัด กระทรวงการคลังทันที
‘หากไล่ดูสายสัมพันธ์ของโพธสุธน จะพบความเกี่ยวเนื่องกับรองปลัดกระทรวงการคลังบางคนที่จะเกษียณอายุในเดือนก.ย.นี้ ทำให้การร้องเรียนโครงการเอซอนหยุดไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่กรรมาธิการ วิทยาศาสตร์ฯต้องยื่นเรื่องตรงกับป.ป.ช.เองเลย’
นอกจากนี้เหตุผลการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงบอร์ดกสทด้วยการหยิบข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์มาเป็นข้ออ้างนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้บริหารระดับไหนใครเขาทำกัน เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าข่าวซุบซิบมีเบื้องหน้าเบื้องหลังและมีที่มาได้รับการอัดฉีดอย่างไร โดยเฉพาะในขณะนี้รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่กับประธานบอร์ดกสท กำลังจะยื่นฟ้องร้องหมิ่นประมาททั้งอาญาและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งเนื่องจากข้อเขียนซุบซิบดังกล่าวทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นอกจากนี้ประเด็นที่ว่าผลาญงบรีแบรนด์ 500 ล้านบาทก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะใช้เงินจริงๆประมาณ 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น
‘หากตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพราะข่าวซุบซิบตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และไม่มีใครเขาทำกันด้วย’
**** ‘รองเจ’ว่าที่ซีอีโอกสท
ว่ากันว่านายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงินกสท ถูกวางตัวเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่เนื่องจากผลงานเข้าตาการเมืองเหลือเกิน รวมทั้งยังประกาศเป็นเพื่อนเลขาฯรมว.ไอซีทีอย่างโจ่งแจ้ง ในสมัยนายพิศาลเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ นายจิรายุทธหรือรองเจ ได้รับความไว้วางใจวางตัวให้ดูแลสายงานสำคัญถึง 3 ด้านคือด้านการเงิน การตลาด และซีดีเอ็มเอ คุมงบประมาณจัดซื้อจำนวนมาก
แหล่งข่าวในกระทรวงไอซีทีกล่าวว่ารองเจ ได้พาหัวเหว่ยเข้าพบทุนการเมืองไอซีทีอย่างน้อย 3 ครั้งในช่วงไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา กล่าวกันว่ามี 2 โครงการเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ที่ใส่พานถวายให้การเมืองเพื่อแลกกับเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ คือการซื้อโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเอจากกลุ่มฮัทชิสันประมาณ 6,000 ล้านบาท กับการซื้ออุปกรณ์และการซ่อมบำรุงโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเออีกกว่า 3,000 ล้านบาท
โดยรองเจได้แถลงยืนยันถึงความจำเป็นที่กสทต้องซื้อโครงข่ายซีดีเอ็มเอจากกลุ่มฮัทชิสันว่ากสทต้องการเป็นเจ้าของโครงข่ายซีดีเอ็มเอทั่วประเทศ โดยสร้างนิยายเพ้อฝันสวยงามว่าจะได้ฐานลูกค้าของฮัทช์ประมาณ 1.1 ล้านราย รายได้ต่อเลขหมายประมาณ 250 บาทต่อเดือน โดยปัดที่จะบอกเหตุผลที่แท้จริงว่าครั้งหนึ่งกลุ่มฮัทชิสันเคยเสนอยกโครงข่ายให้ฟรีด้วยซ้ำ หรือ เคยมีการเจรจาสรุปที่ตัวเลขแค่ 4,000 ล้านบาท แต่อีก 2,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับเก้าอี้ใหญ่โตในกสทรวมทั้งไม่พูดถึงแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคตที่ผู้ให้บริการจำนวนมากทั่วโลก หันหาเทคโนโลยีวายแบนด์ซีดีเอ็มเอ (W-CDMA) หรือ HSPA กันหมดแล้ว มีแต่กสทที่เลือกจะถมเงินลงไปกับซีดีเอ็มเอ พร้อมทั้งยังป้ายสีใส่นายสถิตย์และบอร์ดกสทเพื่อสร้างภาพยกตัวเองว่าครั้งหนึ่งเคยเสนอแล้ว แต่บอร์ดไม่สนใจ
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการที่คุมสายธุรกิจซีดีเอ็มเอ ทำให้รองเจเข้าไปเกี่ยวพันกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างของซีดีเอ็มเอจำนวนมาก ทำให้เขากลายเป็น ‘คนจัดการ’ โดยกรณีอื้อฉาวและทำให้กสทเสียหายมากคือโครงการเสนอราคาจ้างจัดทำ RF Optimization (การปรับแต่งสัญญาณ) สำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO จำนวน 12 จังหวัดโดยผู้บริหารหนุ่มใช้ความเป็นเพื่อนเลขาฯอ้างชื่อการเมืองโทร.หาบางบริษัทให้ถอนตัวจากงานประมูลและไม่ให้ร้องเรียน เพื่อให้บางบริษัทที่เสนอราคาสูงกว่าได้รับการคัดเลือกไป จนท้ายสุดเมื่อขวางไม่ได้เพราะบริษัทที่ชนะประมูลทั้งเสนอราคาต่ำกว่า มีประสบการณ์ ไม่มีความผิดใดๆ ก็มีคำสั่งให้ล้มโครงการพร้อมให้คำมั่นแปลกๆว่าจะจัดทำโครงการใหญ่ขึ้น แบ่งให้ทั้ง 3 บริษัท เพื่อไม่ให้ใครกระโตกกระตากหรือร้องเรียน
**** ‘รองเจ’ ยืมมือเลขาฯแก้แค้นบอร์ด
กรณีอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นวันที่ 12 ม.ค. 2552 กสทได้ทำหนังสือถึงบริษัท ล็อกซเล่ย์ ไวร์เลส กับบริษัท เออร์เนท ที่รวมกันเป็นคอนซอเตียมในการเสนอราคาจ้างจัดทำ RF Optimization สำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO จำนวน 12 จังหวัดโดยวิธีพิเศษ โดยกสทแจ้งว่าขอยกเลิกการดำเนินการจัดจ้างรายการดังกล่าวเนื่องจากกสทจะดำเนินการกำหนดขอบเขตของงานใหม่ต่อไป
งาน RF Optimization เป็นงานปรับแต่งสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ CDMA 2000-1X EV-DO ใช้วิธีพิเศษเรียกบริษัทให้มาเสนอราคา ตอนแรกผู้บริหารตั้งใจเรียกแค่ยูเทล กับหัวเหว่ย แค่นั้นแต่ไม่สามารถทัดทานเสียงร้องของพนักงานที่รักองค์กรได้จำเป็นต้องเรียกล็อกซเล่ย์กับเออร์เนทเข้าร่วมเสนอราคาด้วย ทำให้มีผู้เสนอราคา 3 รายคือยูเทล หัวเหว่ย และคอนซอเตียมล็อกซเล่ย์ เออร์เนท
ปรากฏว่าเมื่อถึงขั้นตอนเปิดซองราคา ‘คนจัดการ’ เกือบล้มทั้งยืน เพราะฮั้วแตก จากงบที่ตั้งไว้ 42 ล้านบาท หัวเหว่ยเสนอ 35 ล้านบาท ยูเทลเสนอ 34 ล้านบาท ซึ่งเป็นตามคาด แต่คอนซอเตียมล็อกซเล่ย์ เออร์เนท เสนอแค่ 21.8 ล้านบาทซึ่งเป็นราคาที่ทำได้แถมยังกำไร 15-20% ทำให้คนจัดการ ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้คอนซอเตียมตก ถึงขนาดแจ้งฉุกเฉินในวันยื่นซองตอนเช้า ให้ตอนบ่ายทำการทดสอบ Drive Test ซึ่งคอนซอเตียมก็ยังผ่านการทดสอบ ขนาดกรรมการ 3 คนที่มาจากฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายพัสดุและฝ่ายเทคนิค 2ใน3 ยอมให้คอนซอเตียมได้งานชิ้นนี้ไป เหลือเพียงกรรมการคนเดียวที่ได้รับคำสั่งจากคนจัดการ ไม่ยอมเซ็นผ่านให้
ทั้งนี้คอนซอเตียมได้ทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าโครงการนี้อีก 2 ครั้งเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2551 และวันที่ 5 พ.ย. 2551 ที่ผ่านมาพร้อมยืนยันประสบการณ์และผลงานในการติดตั้งอุปกรณ์และระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งระบบ GSM ,CDMA ,CDMA 2000-1X EV-DO ให้กับบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็น กสท (BFKT ,หัวเหว่ย) เอไอเอส ดีแทค ซึ่งรวมถึงงาน RF Optimization รวมทั้งเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด โดยเสนอราคาต่ำกว่าผู้เสนอราคารายถัดไปถึง 12.8 ล้านบาทและกสทได้ต่อรองราคาจนคอนซอเตียมยอมลดราคาเหลือ 21.77 ล้านบาท แต่ผู้บริหารกลับไม่สนใจและล้มโครงการซึ่งทำให้กสทได้รับความเสียหาย
ผลที่ตามมาทำให้บอร์ดกสท มีมติลดบทบาทรองเจ เหลือเพียงรับผิดชอบสายงานการเงิน พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมาโดยตั้งนายสุชิน พึ่งวรอาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจโทรศัพท์เป็นประธานกรรมการโดยมีกรรมการและเลขานุการรวม 3 คนประกอบด้วยนายจิรชัย สีจร ,นายสมพล จันทร์ประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นกรรมการ และนายสุวัฒน์ อุดมลาภ ผู้จัดการส่วนกฎหมายเป็นเลขานุการ โดยให้รายงานผลให้รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ภายใน 10 วัน ซึ่งน่าจะเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้รองเจอาศัยความเป็นเพื่อนเลขาฯ ยืมมือให้ตั้งเข้าไปเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงเพื่อชำระแค้น
แหล่งข่าวกล่าวว่าขณะนี้ผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังต่างรับรู้กันหมดแล้วว่าทุนที่อยู่เบื้องหลังการเมืองในไอซีทีเป็นใคร และบงการผ่านตัวแทน อาศัยแขนขามือไม้เป็นใครบ้าง ซึ่งการที่การเมืองเล่นบทนอมินีใช้คนชื่อ ‘เกรียงไกร’ เข้าไปล้วงลูกวาระประชุมบอร์ดถึงขั้นสั่งให้บรรจุเรื่องไหน หรือ ถอนเรื่องไหนจากการประชุม ก็เป็นที่รู้กันว่าถ้าทุนการเมืองพยักหน้า เป็นอันว่าบรรจุเป็นวาระได้ ซึ่งทำให้บอร์ดกสทรู้สึกอึดอัดและรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว ในขณะที่กระทรวง การคลังก็เข้าใจสถานการณ์และสนับสนุนบอร์ดชุดนี้อย่างเต็มที่
‘หากมีผู้บริหารกุมอำนาจมากถึงกับดูแล 3 สายงานหลัก การเมืองย่อมวางใจอยากสนับสนุนให้เป็นซีอีโอตัวจริงไว้ใช้ต่อไป ซึ่งหากประธานบอร์ดรับลูกกับการเมืองและผู้บริหารที่มักใหญ่ใฝ่สูงคนนั้น กสทคงล่มสลายเป็นแน่’