ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2552 จำนวน 1.167 แสนล้านบาท ในวันที่สอง โดยบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กรรมาธิการที่สงวนคำแปรญัตติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายค้านได้ทยอยอภิปรายในแต่ละมาตรา ซึ่งสาระส่วนใหญ่ยังคงตำหนิการจัดงบที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ไม่ให้ความสำคัญกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ และแกนนำรัฐบาลควรใจกว้างในการจัดงบให้มากกว่านี้และพิจารณาจัดสรรงบด้วยความรอบคอบ โดยต้องมุ่งไปที่เป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจ และท้ายสุดได้มีมติรับหลักการวาระ3 เห็นชอบตามร่างงบประมาณดังกล่าว
ทั้งนี้ในงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมของกระทรวงการต่างประเทศจำนวน 325 ล้านบาท ฝ่ายค้านต่างอภิปรายไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลงบประมาณฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างภาพลักษณ์จำนวน 325 ล้านบาท พร้อมทั้งโจมตีนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีทั้ง ๆ ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ โดยขอให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการสร้างความยุติธรรม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
ส่วนงบเพิ่มเติมของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวน 550 ล้านบาท ฝ่ายค้านมองว่าไม่เพียงพอ ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่มุ่งไปในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งที่ควรมีการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศ
ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า งบ 325 ล้านบาท เป็นงบที่ฝากไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาใช้ร่วมกัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีงบนี้มาจากพฤติกรรมการบริหารราชการของรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้ภาพลักษณ์ประเทศได้รับกระทบต่อสายตาประชาคมโลก งบนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ช่วยกระตุ้นและกระชากความเชื่อมั่นให้กลับมา เรื่องส่วนตัวตนได้ชี้แจงไปแล้ว
ส่วนเรื่องการสร้างการยอมรับในต่างประเทศต่อตำแหน่งของตน ขอย้ำว่าอย่าได้สงสัยอะไร โดยที่ผ่านมาการทำงานเพียง 4 สัปดาห์ได้ไปเยื่อน6 ประเทศ ได้พบกับผู้นำประเทศต่างๆได้รับการประสานงานและร่วมมือกันดี ในการกระชับความสัมพันธ์ ขณะนี้รัฐบาลพยามทำแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำโรดโชว์ ที่ญี่ปุ่นผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญรัฐบาลอังกฤษได้ส่งคำเชิญให้นายกฯ ไปเยือนกรุงลอนดอน ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ เพื่อพบผู้นำประเทศอังกฤษ ขอย้ำว่างบนี้เป็นงบบูรณาการเพื่อร่วมกันทำและร่วมกันเดิน
สำหรับประเด็นที่กล่าวพาดพิงผมในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ขอตอบโต้ กล่าวหาว่า ผมเป็นผู้ก่อการร้ายสากลผมก็ยังไม่เคยให้ถอนคำพูดเพราะผมไม่ได้เป็น เพราะสิ่งที่เราเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับประเทศ และสภาอังทรงเกียรตินี้ไม่มาขุดคุ้ยอดีตกัน เพราะคนที่อยู่อีกฟากฝั่งก็เคยล้มล้างสถาบันแต่ก็สามารถเข้ามาอยู่ในสภาอังทรงเกียรตินี้ได้
อย่างไรก็ตามร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ได้ลุกขึ้นประท้วง ขอให้นายกษิต ถอนคำพูด โดยยืนยันว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความภักดีต่อสถาบัน ซึ่งนายกษิตก็ได้ถอนคำพูด
ขณะที่นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายโจมตีรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์กลับคืนมาเพราะที่ยอมมาต้องยอมรับว่าประเทศไทยถูกทำร้ายชื่อเสียงมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการพูดกล่าวหาว่าประเทศไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะฆ่าตัดตอน ยังเรื่องอีลิคการ์ดที่มีการทุจริต ดังนั้นกระทรวงต่างประเทศจำเป็นทีที่จะต้องแก้ไขภาพลักษณ์ของประเทศ
ทั้งนี้ในงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมของกระทรวงการต่างประเทศจำนวน 325 ล้านบาท ฝ่ายค้านต่างอภิปรายไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลงบประมาณฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างภาพลักษณ์จำนวน 325 ล้านบาท พร้อมทั้งโจมตีนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในการเข้ามาเป็นรัฐมนตรีทั้ง ๆ ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ โดยขอให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการสร้างความยุติธรรม เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น
ส่วนงบเพิ่มเติมของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จำนวน 550 ล้านบาท ฝ่ายค้านมองว่าไม่เพียงพอ ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่มุ่งไปในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งที่ควรมีการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศ
ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงว่า งบ 325 ล้านบาท เป็นงบที่ฝากไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาใช้ร่วมกัน ซึ่งสาเหตุที่ต้องมีงบนี้มาจากพฤติกรรมการบริหารราชการของรัฐบาลที่ผ่านมาทำให้ภาพลักษณ์ประเทศได้รับกระทบต่อสายตาประชาคมโลก งบนี้จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ช่วยกระตุ้นและกระชากความเชื่อมั่นให้กลับมา เรื่องส่วนตัวตนได้ชี้แจงไปแล้ว
ส่วนเรื่องการสร้างการยอมรับในต่างประเทศต่อตำแหน่งของตน ขอย้ำว่าอย่าได้สงสัยอะไร โดยที่ผ่านมาการทำงานเพียง 4 สัปดาห์ได้ไปเยื่อน6 ประเทศ ได้พบกับผู้นำประเทศต่างๆได้รับการประสานงานและร่วมมือกันดี ในการกระชับความสัมพันธ์ ขณะนี้รัฐบาลพยามทำแล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำโรดโชว์ ที่ญี่ปุ่นผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญรัฐบาลอังกฤษได้ส่งคำเชิญให้นายกฯ ไปเยือนกรุงลอนดอน ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ เพื่อพบผู้นำประเทศอังกฤษ ขอย้ำว่างบนี้เป็นงบบูรณาการเพื่อร่วมกันทำและร่วมกันเดิน
สำหรับประเด็นที่กล่าวพาดพิงผมในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ขอตอบโต้ กล่าวหาว่า ผมเป็นผู้ก่อการร้ายสากลผมก็ยังไม่เคยให้ถอนคำพูดเพราะผมไม่ได้เป็น เพราะสิ่งที่เราเป็นการสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับประเทศ และสภาอังทรงเกียรตินี้ไม่มาขุดคุ้ยอดีตกัน เพราะคนที่อยู่อีกฟากฝั่งก็เคยล้มล้างสถาบันแต่ก็สามารถเข้ามาอยู่ในสภาอังทรงเกียรตินี้ได้
อย่างไรก็ตามร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ได้ลุกขึ้นประท้วง ขอให้นายกษิต ถอนคำพูด โดยยืนยันว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย รวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความภักดีต่อสถาบัน ซึ่งนายกษิตก็ได้ถอนคำพูด
ขณะที่นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายโจมตีรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์กลับคืนมาเพราะที่ยอมมาต้องยอมรับว่าประเทศไทยถูกทำร้ายชื่อเสียงมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการพูดกล่าวหาว่าประเทศไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะฆ่าตัดตอน ยังเรื่องอีลิคการ์ดที่มีการทุจริต ดังนั้นกระทรวงต่างประเทศจำเป็นทีที่จะต้องแก้ไขภาพลักษณ์ของประเทศ