ช่วงนี้มีการกล่าวขวัญกันถึงการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีในความหมายที่ต่างกัน ฝ่ายหนึ่งเสื้อแดง ต้องการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้เป็นเมืองของคนเสื้อแดง ฝ่ายหนึ่งเสื้อเหลือง ต้องการปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้พ้นจากการยึดครองของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้ชื่อว่ากลุ่มคนรักอุดร
แม้ใช้คำว่า “ปลดแอก” เหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน เป้าหมายก็ต่างกัน แต่มีผลในเชิงยุทธศาสตร์เหมือนกัน
เพราะถ้าหากฝ่ายเสื้อแดงปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยมิได้เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไปแล้ว หากถูกแบ่งแยกออกจากอำนาจปกครองของรัฐบาลส่วนกลาง และขึ้นอยู่ในอำนาจปกครองของคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นของการแบ่งแยกดินแดนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
แต่ถ้าหากฝ่ายเสื้อเหลืองปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยยังเป็นหนึ่งเดียว ที่ประชาชนชาวไทยไม่ว่าชนชาติ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เพศ วัย จากถิ่นฐานใด สามารถเดินทางไป ตลอดจนพำนักอาศัยในจังหวัดอุดรธานีได้ตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้
ที่ผ่านมานั้น กลุ่มคนรักอุดรประกาศอย่างไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินและหมิ่นเหม่ต่อการทำความผิดในข้อหากบฏในราชอาณาจักรหลายครั้งหลายหนว่า จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองของคนเสื้อแดง แล้วเที่ยวห้ามใครต่อใครโดยเฉพาะคนเสื้อเหลืองไม่ให้เข้าไปในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ครั้นมีคนแปลกถิ่นเดินทางเข้าไปในพื้นที่หรือแม้เป็นคนในพื้นที่ หากใส่เสื้อเหลืองก็จะถูกกลุ้มรุมทำร้ายอย่างโหดร้ายทารุณ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาของเจ้าหน้าทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายตำรวจ
โดยที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่สามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองได้ ปล่อยให้คนเสื้อแดงกลุ่มคนรักอุดรทำร้ายคนไทยด้วยกันอย่างโหดร้ายทารุณ กลายเป็นว่ากฎหมายบ้านเมืองหมดความศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถใช้บังคับได้ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ซ้ำร้าย เจ้าหน้าที่ยังกระทำตนประหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ปกป้องคุ้มครองและคุ้มกันกระทั่งใช้รถราของหลวงนำขบวนคนเสื้อแดงไปทำร้ายคนเสื้อเหลืองกันกลางวันแสกๆ
สภาพเช่นนั้นโดยพฤตินัยย่อมถือได้ว่าคนเสื้อแดงได้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้ปลอดจากอำนาจรัฐส่วนกลางไปแล้ว นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินนี้ โดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนใส่ใจดูแลแก้ไข จึงทำให้ความทุกข์แผ่ปกคลุมไปทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่ฟ้าจรดดิน
ครั้นการเมืองเปลี่ยนขั้วมาเป็นรัฐบาลปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่ายังมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องนี้แต่ประการใดเลย อะไรที่ยังเคยเป็นมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม
หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังไม่ลืมกระแสพระราชดำรัสในวันเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ ก็คงตระหนักดีว่าโจทย์ที่รับใส่เกล้าดังที่ประธานองคมนตรีได้ให้โอวาทนั้นเป็นภารกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จ แม้เป็นเรื่องยากแต่ย่อมไม่ยากเกิน
ในพลันที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศจัดงานสังสรรค์ขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองและเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องให้ความคุ้มครอง ก็ปรากฏว่ากลุ่มคนรักอุดรได้ประกาศห้ามจัดงานในพื้นที่และห้ามเข้าพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย
แล้วยังมีการใช้วิทยุชุมชนปลุกระดมให้คนไทยเกลียดชิงชังกันเอง กระทั่งระดมผู้คนให้มาเข้าร่วมต่อต้านการเดินทางไปชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อีกด้วย
ในขณะที่ทางจังหวัดแทนที่จะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิทักษ์รัฐธรรมนูญ รักษากฎหมายบ้านเมือง และให้การคุ้มครองประชาชน กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการเตือนกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าขอร้องอย่าได้เข้าไปจัดงานในพื้นที่
นี่ถ้าไม่มองในแง่ร้ายว่าทำตัวเข้าข้างกับกลุ่มคนรักอุดรแล้ว ก็อาจมองได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจให้คนบางกลุ่มบางพวกแบ่งแยกราชอาณาจักร โดยฝ่ายปกครองสมยอมสมรู้หรือรู้เห็นเป็นใจ
เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ภาระหน้าที่ของฝ่ายปกครองและตำรวจก็คือต้องหยุดยั้งการกระทำที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญที่ถือครองจังหวัดอุดรธานีเป็นของพวกตน แล้วห้ามคนไทยด้วยกันไม่ให้เข้าไปในพื้นที่
คนพวกนั้นอาศัยสิทธิอาศัยอำนาจอะไรที่ชอบด้วยกฎหมายเล่า? ไม่มีเลย อาศัยก็แต่อิทธิพลอำนาจมืดและพฤติกรรมอันธพาลข่มขู่ข่มขวัญคนไทยด้วยกัน ทั้งที่อยู่ในพื้นที่นั้นและต่างพื้นที่ต่างหาก
ก็ต้องดูกันต่อไปว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดี ฝ่ายปกครองก็ดี ฝ่ายตำรวจก็ดี และฝ่ายทหารก็ดี จะปล่อยให้กลุ่มคนคณะนี้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีอย่างเป็นทางการอย่างถาวร อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเข้าองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักรหรือไม่
กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มุ่งจัดงานชุมนุมสังสรรค์ที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 แม้ด้านหนึ่งจะเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครอง แต่ในน้ำใจลึกก็พอจะหยั่งได้ว่ามุ่งหมายจะปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้พ้นจากการยึดครองของคนกลุ่มนั้นอยู่ด้วย
เป็นการจัดงานขึ้นเพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่คนเสื้อเหลืองในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและในพื้นที่ข้างเคียง
เท่าที่ติดตามฟังคำของแกนนำที่รับผิดชอบในการจัดงานครั้งนี้ก็ประจักษ์ชัดว่าได้มองเห็นว่าพื้นที่จังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคอีสาน ที่ไม่อาจยินยอมให้ใครไหนยึดครองหรือแยกการปกครองออกจากราชอาณาจักรไทยเป็นอันขาด จึงมุ่งมั่นจัดงานนี้ให้จงได้
การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองคุ้มครองเท่านั้น ยังเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เชิงประวัติศาสตร์ที่มีต่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย เพราะในวันนี้ในเมื่อกลไกรัฐมิได้ให้การรับรองคุ้มครองและรักษากฎหมายบ้านเมือง ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ตื่นรู้และจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะต้องทำกันเอง
เพราะในพื้นที่อีสานนั้นมีพื้นที่ยุทธศาสตร์อยู่ถึง 5 จังหวัดคือ โคราช อุดรธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น และบุรีรัมย์ ใน 5 พื้นที่นี้หากพรรคการเมืองใดยึดครองได้สำเร็จก็เท่ากับว่าได้ยึดครองยุทธศาสตร์อีสานที่มีโอกาสได้ ส.ส. ร่วมร้อยคน ซึ่งเป็นปมเงื่อนในการเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภา
เดิมพรรคความหวังใหม่เป็นเจ้าของและผู้ริเริ่มยุทธศาสตร์อีสาน แต่ครั้นยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย ยุทธศาสตร์อีสานก็ตกทอดไปยังพรรคไทยรักไทยและต่อยอดเชื่อมเป็นยุทธศาสตร์อีสาน-เหนือ และเป็นรากฐานทางการเมืองของอำนาจรัฐในระบอบทักษิณตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ดังนั้นการจัดงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ในจังหวัดอุดรธานี จึงมีฐานะเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้าตีจุดยุทธศาสตร์หลัก 1 ใน 5 ของภาคอีสาน จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มเสื้อแดงจะต้องยืนหยัดพิทักษ์รักษาพื้นที่อย่างเต็มที่
แต่ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ผันแปรไปมากแล้ว แม่น้ำแยกสาย สายทางแยกทิศ กลุ่มเสื้อแดงแตกเป็นสองก๊ก ก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างรัฐบาล อีกก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างอำนาจเก่า ต่างก็ถือว่าอีกก๊กหนึ่งเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากลุ่มพันธมิตรฯ
ดังนั้นในการจัดงานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 จึงเป็นวันสัประยุทธ์ใหญ่ของคนเสื้อเหลืองเพื่อปลดแอกจังหวัดอุดรธานี กับกลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่า และผสมโรงด้วยกลุ่มเสื้อแดงที่แตกขั้วออกมา
กลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่ามีฐาน ส.ส. เป็นหลัก จัดเตรียมระดมผู้คนจากพื้นที่ข้างเคียง เตรียมแยกออกเป็นสองกอง กองหนึ่งใส่เสื้อเหลือง กองหนึ่งใส่เสื้อแดง
กองเสื้อเหลืองมุ่งเข้าตีก๊กเสื้อแดงที่อยู่กับรัฐบาล กะเอากันถึงตาย แล้วป้ายผิดให้กับกลุ่มเสื้อเหลือง กวาดล้างทั้งสองกลุ่มนี้พร้อมกันในคราวเดียว เพื่อก๊กตนจะได้ครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่นั้นต่อไป
กองเสื้อแดงมุ่งเข้าตีกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วป้ายผิดให้เป็นก๊กเสื้อแดงฝ่ายรัฐบาล
มีการเตรียมการเหลาหลาวและอาวุธร้ายแรงไว้ก่อสถานการณ์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แห่งตน ในขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองยังคงยืนหยัดในอหิงสาธรรม หมายใช้พลังอหิงสาเป็นพลังจักรวาลในการช่วงชิงครองน้ำใจมวลชนคนรากหญ้าให้ตื่นขึ้นมาพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์
สถานการณ์ที่ประหนึ่งเงียบสงบในยามนี้จึงคล้ายกับคลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะบังเกิด
ดังนั้นภารกิจอันสำคัญจึงอยู่ที่รัฐบาล ฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ว่าจะให้การปลดแอกจังหวัดอุดรธานีเป็นการปลดแอกที่เป็นธรรม หรือเป็นการปลดแอกที่ไม่เป็นธรรม เพื่อแบ่งแยกจังหวัดอุดรธานีออกจากราชอาณาจักรไทย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะได้เห็นกัน.
แม้ใช้คำว่า “ปลดแอก” เหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน เป้าหมายก็ต่างกัน แต่มีผลในเชิงยุทธศาสตร์เหมือนกัน
เพราะถ้าหากฝ่ายเสื้อแดงปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยมิได้เป็นหนึ่งเดียวอีกต่อไปแล้ว หากถูกแบ่งแยกออกจากอำนาจปกครองของรัฐบาลส่วนกลาง และขึ้นอยู่ในอำนาจปกครองของคนเสื้อแดง ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นของการแบ่งแยกดินแดนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
แต่ถ้าหากฝ่ายเสื้อเหลืองปลดแอกจังหวัดอุดรธานีสำเร็จ ก็หมายความว่าราชอาณาจักรไทยยังเป็นหนึ่งเดียว ที่ประชาชนชาวไทยไม่ว่าชนชาติ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เพศ วัย จากถิ่นฐานใด สามารถเดินทางไป ตลอดจนพำนักอาศัยในจังหวัดอุดรธานีได้ตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้
ที่ผ่านมานั้น กลุ่มคนรักอุดรประกาศอย่างไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินและหมิ่นเหม่ต่อการทำความผิดในข้อหากบฏในราชอาณาจักรหลายครั้งหลายหนว่า จังหวัดอุดรธานีเป็นเมืองของคนเสื้อแดง แล้วเที่ยวห้ามใครต่อใครโดยเฉพาะคนเสื้อเหลืองไม่ให้เข้าไปในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ครั้นมีคนแปลกถิ่นเดินทางเข้าไปในพื้นที่หรือแม้เป็นคนในพื้นที่ หากใส่เสื้อเหลืองก็จะถูกกลุ้มรุมทำร้ายอย่างโหดร้ายทารุณ เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแล้วต่อหน้าต่อตาของเจ้าหน้าทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายตำรวจ
โดยที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่สามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายบ้านเมืองได้ ปล่อยให้คนเสื้อแดงกลุ่มคนรักอุดรทำร้ายคนไทยด้วยกันอย่างโหดร้ายทารุณ กลายเป็นว่ากฎหมายบ้านเมืองหมดความศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถใช้บังคับได้ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี
ซ้ำร้าย เจ้าหน้าที่ยังกระทำตนประหนึ่งรู้เห็นเป็นใจ ปกป้องคุ้มครองและคุ้มกันกระทั่งใช้รถราของหลวงนำขบวนคนเสื้อแดงไปทำร้ายคนเสื้อเหลืองกันกลางวันแสกๆ
สภาพเช่นนั้นโดยพฤตินัยย่อมถือได้ว่าคนเสื้อแดงได้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้ปลอดจากอำนาจรัฐส่วนกลางไปแล้ว นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินนี้ โดยที่ไม่มีหน่วยงานไหนใส่ใจดูแลแก้ไข จึงทำให้ความทุกข์แผ่ปกคลุมไปทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่ฟ้าจรดดิน
ครั้นการเมืองเปลี่ยนขั้วมาเป็นรัฐบาลปัจจุบัน ก็ดูเหมือนว่ายังมิได้มีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องนี้แต่ประการใดเลย อะไรที่ยังเคยเป็นมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิม
หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังไม่ลืมกระแสพระราชดำรัสในวันเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ ก็คงตระหนักดีว่าโจทย์ที่รับใส่เกล้าดังที่ประธานองคมนตรีได้ให้โอวาทนั้นเป็นภารกิจที่จะต้องทำให้สำเร็จ แม้เป็นเรื่องยากแต่ย่อมไม่ยากเกิน
ในพลันที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศจัดงานสังสรรค์ขึ้นที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรองและเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องให้ความคุ้มครอง ก็ปรากฏว่ากลุ่มคนรักอุดรได้ประกาศห้ามจัดงานในพื้นที่และห้ามเข้าพื้นที่จังหวัดอุดรธานี มิฉะนั้นจะไม่รับรองความปลอดภัย
แล้วยังมีการใช้วิทยุชุมชนปลุกระดมให้คนไทยเกลียดชิงชังกันเอง กระทั่งระดมผู้คนให้มาเข้าร่วมต่อต้านการเดินทางไปชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ อีกด้วย
ในขณะที่ทางจังหวัดแทนที่จะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิทักษ์รัฐธรรมนูญ รักษากฎหมายบ้านเมือง และให้การคุ้มครองประชาชน กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามด้วยการเตือนกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าขอร้องอย่าได้เข้าไปจัดงานในพื้นที่
นี่ถ้าไม่มองในแง่ร้ายว่าทำตัวเข้าข้างกับกลุ่มคนรักอุดรแล้ว ก็อาจมองได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจให้คนบางกลุ่มบางพวกแบ่งแยกราชอาณาจักร โดยฝ่ายปกครองสมยอมสมรู้หรือรู้เห็นเป็นใจ
เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ภาระหน้าที่ของฝ่ายปกครองและตำรวจก็คือต้องหยุดยั้งการกระทำที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญที่ถือครองจังหวัดอุดรธานีเป็นของพวกตน แล้วห้ามคนไทยด้วยกันไม่ให้เข้าไปในพื้นที่
คนพวกนั้นอาศัยสิทธิอาศัยอำนาจอะไรที่ชอบด้วยกฎหมายเล่า? ไม่มีเลย อาศัยก็แต่อิทธิพลอำนาจมืดและพฤติกรรมอันธพาลข่มขู่ข่มขวัญคนไทยด้วยกัน ทั้งที่อยู่ในพื้นที่นั้นและต่างพื้นที่ต่างหาก
ก็ต้องดูกันต่อไปว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดี ฝ่ายปกครองก็ดี ฝ่ายตำรวจก็ดี และฝ่ายทหารก็ดี จะปล่อยให้กลุ่มคนคณะนี้ปลดแอกจังหวัดอุดรธานีอย่างเป็นทางการอย่างถาวร อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเข้าองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานกบฏในราชอาณาจักรหรือไม่
กลุ่มพันธมิตรฯ ที่มุ่งจัดงานชุมนุมสังสรรค์ที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 แม้ด้านหนึ่งจะเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครอง แต่ในน้ำใจลึกก็พอจะหยั่งได้ว่ามุ่งหมายจะปลดแอกจังหวัดอุดรธานีให้พ้นจากการยึดครองของคนกลุ่มนั้นอยู่ด้วย
เป็นการจัดงานขึ้นเพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่คนเสื้อเหลืองในพื้นที่จังหวัดอุดรธานีและในพื้นที่ข้างเคียง
เท่าที่ติดตามฟังคำของแกนนำที่รับผิดชอบในการจัดงานครั้งนี้ก็ประจักษ์ชัดว่าได้มองเห็นว่าพื้นที่จังหวัดอุดรธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภาคอีสาน ที่ไม่อาจยินยอมให้ใครไหนยึดครองหรือแยกการปกครองออกจากราชอาณาจักรไทยเป็นอันขาด จึงมุ่งมั่นจัดงานนี้ให้จงได้
การกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯ ดังกล่าวจึงไม่เพียงแต่มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองคุ้มครองเท่านั้น ยังเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เชิงประวัติศาสตร์ที่มีต่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย เพราะในวันนี้ในเมื่อกลไกรัฐมิได้ให้การรับรองคุ้มครองและรักษากฎหมายบ้านเมือง ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้ตื่นรู้และจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่จะต้องทำกันเอง
เพราะในพื้นที่อีสานนั้นมีพื้นที่ยุทธศาสตร์อยู่ถึง 5 จังหวัดคือ โคราช อุดรธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น และบุรีรัมย์ ใน 5 พื้นที่นี้หากพรรคการเมืองใดยึดครองได้สำเร็จก็เท่ากับว่าได้ยึดครองยุทธศาสตร์อีสานที่มีโอกาสได้ ส.ส. ร่วมร้อยคน ซึ่งเป็นปมเงื่อนในการเป็นรัฐบาลในระบบรัฐสภา
เดิมพรรคความหวังใหม่เป็นเจ้าของและผู้ริเริ่มยุทธศาสตร์อีสาน แต่ครั้นยุบรวมเข้ากับพรรคไทยรักไทย ยุทธศาสตร์อีสานก็ตกทอดไปยังพรรคไทยรักไทยและต่อยอดเชื่อมเป็นยุทธศาสตร์อีสาน-เหนือ และเป็นรากฐานทางการเมืองของอำนาจรัฐในระบอบทักษิณตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้
ดังนั้นการจัดงานของกลุ่มพันธมิตรฯ ในจังหวัดอุดรธานี จึงมีฐานะเชิงยุทธศาสตร์ในการเข้าตีจุดยุทธศาสตร์หลัก 1 ใน 5 ของภาคอีสาน จึงเป็นธรรมดาที่กลุ่มเสื้อแดงจะต้องยืนหยัดพิทักษ์รักษาพื้นที่อย่างเต็มที่
แต่ทว่าสถานการณ์ในวันนี้ผันแปรไปมากแล้ว แม่น้ำแยกสาย สายทางแยกทิศ กลุ่มเสื้อแดงแตกเป็นสองก๊ก ก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างรัฐบาล อีกก๊กหนึ่งยืนอยู่ข้างอำนาจเก่า ต่างก็ถือว่าอีกก๊กหนึ่งเป็นศัตรูคู่ปรปักษ์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ากลุ่มพันธมิตรฯ
ดังนั้นในการจัดงานวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 จึงเป็นวันสัประยุทธ์ใหญ่ของคนเสื้อเหลืองเพื่อปลดแอกจังหวัดอุดรธานี กับกลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่า และผสมโรงด้วยกลุ่มเสื้อแดงที่แตกขั้วออกมา
กลุ่มคนเสื้อแดงของอำนาจเก่ามีฐาน ส.ส. เป็นหลัก จัดเตรียมระดมผู้คนจากพื้นที่ข้างเคียง เตรียมแยกออกเป็นสองกอง กองหนึ่งใส่เสื้อเหลือง กองหนึ่งใส่เสื้อแดง
กองเสื้อเหลืองมุ่งเข้าตีก๊กเสื้อแดงที่อยู่กับรัฐบาล กะเอากันถึงตาย แล้วป้ายผิดให้กับกลุ่มเสื้อเหลือง กวาดล้างทั้งสองกลุ่มนี้พร้อมกันในคราวเดียว เพื่อก๊กตนจะได้ครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่นั้นต่อไป
กองเสื้อแดงมุ่งเข้าตีกลุ่มพันธมิตรฯ แล้วป้ายผิดให้เป็นก๊กเสื้อแดงฝ่ายรัฐบาล
มีการเตรียมการเหลาหลาวและอาวุธร้ายแรงไว้ก่อสถานการณ์เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แห่งตน ในขณะที่กลุ่มเสื้อเหลืองยังคงยืนหยัดในอหิงสาธรรม หมายใช้พลังอหิงสาเป็นพลังจักรวาลในการช่วงชิงครองน้ำใจมวลชนคนรากหญ้าให้ตื่นขึ้นมาพิทักษ์รักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์
สถานการณ์ที่ประหนึ่งเงียบสงบในยามนี้จึงคล้ายกับคลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่จะบังเกิด
ดังนั้นภารกิจอันสำคัญจึงอยู่ที่รัฐบาล ฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ว่าจะให้การปลดแอกจังหวัดอุดรธานีเป็นการปลดแอกที่เป็นธรรม หรือเป็นการปลดแอกที่ไม่เป็นธรรม เพื่อแบ่งแยกจังหวัดอุดรธานีออกจากราชอาณาจักรไทย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะได้เห็นกัน.