surawhisky@gmail.com
ตอนนี้นักวิชาการบางคนบางพวกและสื่อบางคนกำลังพูดถึงแต่ด้านดีของทักษิณ เพื่อทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่ได้พูดถึงความจริงอีกด้านและมูลเหตุที่แท้จริงที่พันธมิตรฯ ออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ
พวกเขาพูดแต่ว่ารัฐบาลทักษิณมีความชอบธรรม เพราะมาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งคือ ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง พันธมิตรฯ จึงไม่มีความชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
หากย้อนกลับไป การปรากฏตัวของเศรษฐีหมื่นล้านที่มาจากการเลือกตั้งอย่างทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544 ตอนนั้นทักษิณกลายเป็นตัวเลือกที่ชดเชยกับความเบื่อระอาต่อความเชื่องช้าและไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนไม่น้อย ต่างมุ่งหวังว่า เศรษฐีหมื่นล้านอย่างทักษิณจะสามารถใช้วิสัยทัศน์ของเขานำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ถาวรยั่งยืนได้
ผมก็หลงเชียร์ทักษิณ ไม่ต้องพูดถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นปากเป็นเสียงของทักษิณในช่วงแรก กว่าจะพบความจริงว่า ประเทศไทยกำลังถูกทักษิณกินรวบไปคนเดียว
ตอนนั้นใครๆ ชื่นชมทักษิณ เพราะเชื่อว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจนมีเงินเป็นหมื่นล้านในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี รวยแล้วไม่โกง และจะฉุดดึงประเทศให้ประสบความสำเร็จเหมือนกับเขานำพาธุรกิจของตัวเองได้
รัฐบาลทักษิณ ทุ่มงบประมาณใส่โครงการประชานิยม เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน 74,770 หมู่บ้าน รวมเป็นเงิน 233,276.5 ล้านบาท และจัดสรรเพิ่มทุนก้อนที่สอง สำหรับหมู่บ้านที่ผ่านเกณฑ์ประเมิน กองทุนละ 100,000 บาท อีกจำนวน 22,589 กองทุน รวมเป็นเงินอีก 2,258.9 ล้านบาท
และตามมาด้วยการระดมเงินทุนแบบไล่แลกแจกแถมในโครงการต่างๆ ตั้งแต่ขนาดเล็กขึ้นไปถึงโครงการระดับมหาอัครบิ๊กโปรเจกต์ แม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับเงินวิจัยก้อนโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภาพของทักษิณจึงผุดพรายราวกับเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ยื่นมือมาจากฉุดคนยากคนจนในชนบทและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน ให้ฟื้นขึ้นจากความยากลำบาก แต่ภายหลังเงินกองทุนหมู่บ้านลงสู่ท้องถิ่น กลับพบว่า ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ตัวเลข หนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก่อนมีโครงการอยู่ที่ 70,586 บาท/ปี ในปี 2544 แต่ในปี 2546 มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 84,603 บาท/ปี
นักวิเคราะห์พบว่า กองทุนหมู่บ้านล้มเหลว เพราะการบริหารกองทุนไม่มีประสิทธิภาพ ขาดหลักการทำบัญชีที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน เพราะรัฐบาลใช้วิธีหว่านเม็ดเงินลงไปเพื่อใช้จ่ายมากกว่าการให้ความรู้ประชาชนในการบริหารพัฒนาเงินกองทุน เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ เพราะไม่เห็นถึงคุณค่าของเงิน และพบว่า กองทุนที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจริงๆ ส่วนใหญ่ชาวบ้านมีความรู้อยู่แล้ว
แต่หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เหมือนกับขยะที่ซุกอยู่ใต้พรม ชาวบ้านเองก็ไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองมีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น เพราะยังมีเงินจ่ายหมุนเวียนใช้จ่ายคล่องตัวอยู่ในมือ
ปี 2544 เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ เงินของตระกูลชินวัตรและดามาพงษ์มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่พอทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 3 ปี ในปี 2547 กลับพบว่าตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143%
พอปี 2549 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยาตราทัพ เราคงจำได้ว่าตอนนั้นทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ปี ขายธุรกิจเครือชินวัตรให้สิงคโปร์ได้เงินไป 73,000 ล้าน
ใครๆ ก็ตะลึงพรึงเพริศกับตัวเลขเงินของทักษิณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่อยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้าน มาเป็นกว่า 46,000 ล้านในปี 2547 และขายธุรกิจให้เทมาเส็กได้เงินถึง 73,000 กว่าล้านบาทในปี 2549
แต่ทักษิณก็ไม่มีโอกาสใช้เงินก้อนนั้น เพราะเงินก้อนนั้นเป็นเหมือนบัญชีมรณะที่นำมาสู่จุดจบของระบอบทักษิณ
หลังคมช.ยึดอำนาจ คตส.ได้ตรวจสอบการทุจริตของทักษิณและนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้องในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล และผลประโยชน์ส่วนรวม ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
และต่อมาทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร “ซีอีโอ ตะวันออกกลาง” (CEO Middle East) ฉบับที่ 12 ประจำเดือนธันวาคม 2551 ปกหนังสือพาดหัวระบุว่า “ผู้ลี้ภัย - ทักษิณ ชินวัตร ทัศนะเกี่ยวกับคน อำนาจ และความยากจน” ยอมรับด้วยว่า รัฐบาลอังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของเขามูลค่ากว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 150,000 ล้านบาท) เอาไว้
ลองไล่เรียงตัวเลขให้ดี เงิน 76,000 กว่าล้านบาท ที่รัฐบาลไทยอายัดไว้ และ 150,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้ รวมกันเป็นเงินถึง 226,000 ล้านบาท
จำตัวเลขนี้ไว้ 226,000 ล้านบาท
เพราะเงินของทักษิณไม่ได้หมดแค่นี้
หนังสือพิมพ์สเตรท ไทมส์ ของมาเลเซีย รายงานเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ว่า ขณะนี้ ทักษิณ มีทรัพย์สินเหลืออยู่ 500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.75 หมื่นล้านบาท จากการสูญเสียการลงทุนจากหุ้นต่างประเทศมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ และการเก็งกำไรซึ่งกำลังเผชิญสภาพผันผวนเพราะจากภาวะหุ้นทั่วโลกตก และราคาน้ำมันร่วง
แสดงว่า ก่อนการเก็งกำไรภาวะหุ้นและน้ำมันผิดพลาด จนขาดทุนนั้น ทักษิณยังมีเงินอยู่ถึง 5,500 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 192,500 ล้านบาท
รัฐบาลไทยอายัด+รัฐบาลอังกฤษ+เงินที่ทักษิณเหลืออยู่ = ?
76,000 + 150,000 + 192,500 = 418,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า เมื่อรวมเงินที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลอังกฤษยึดไปรวมกันทั้งสิ้น 226,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่เหลืออยู่ก่อนขาดทุนจากหุ้นและน้ำมัน 192,500 ล้านบาท เท่ากับว่า ทักษิณมีเงินถึง 418,000 ล้านบาท
เงิน 418,000 ล้านบาท หลังจากทักษิณเป็นนายกฯ และรัฐบาลได้ 7 ปี พร้อมๆ กับเครือข่ายธุรกิจของทักษิณและครอบครัวกำลังแผ่กิ่งก้านสาขาไปเรื่อยๆ
ในขณะที่อีกด้านภาพของทักษิณคือ เทพเจ้าองค์ใหม่ของคนยากคนจน
ยังไม่นับรวมกลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งปัจจุบันเป็นธุรกิจหลักของตระกูลชินวัตร นอกเหนือจากธุรกิจสนามกอล์ฟอัลไพน์ โรงแรมเอสซี ปาร์ค และมหาวิทยาลัยชินวัตร โดยตระกูลชินวัตร ถือหุ้นเอสซี แอสเสท อยู่ประมาณ 61% และว่ากันว่า กลุ่มเอสซี แอสเสท กว้านซื้อที่ดินแปลงงามจาก ปรส.ไปถือไว้ในมือด้วยราคาถูกแสนถูกจำนวนมาก
แน่นอนว่า รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คำถามถึงนักวิชาการ สื่อมวลชน และนักประชาธิปไตยผู้ชิงชังพันธมิตรฯ ก็คือ เงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมาจากไหน ธุรกิจที่ทักษิณมีอยู่ก่อนการเลือกตั้งสามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มให้ทักษิณได้ขนาดนี้หรือไม่ ถ้าทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี
และนี่คือความชอบธรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉลและขาดความชอบธรรม
ตอนนี้นักวิชาการบางคนบางพวกและสื่อบางคนกำลังพูดถึงแต่ด้านดีของทักษิณ เพื่อทำลายความชอบธรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยไม่ได้พูดถึงความจริงอีกด้านและมูลเหตุที่แท้จริงที่พันธมิตรฯ ออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณ
พวกเขาพูดแต่ว่ารัฐบาลทักษิณมีความชอบธรรม เพราะมาจากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งคือ ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือ การเลือกตั้ง พันธมิตรฯ จึงไม่มีความชอบธรรมที่จะขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
หากย้อนกลับไป การปรากฏตัวของเศรษฐีหมื่นล้านที่มาจากการเลือกตั้งอย่างทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2544 ตอนนั้นทักษิณกลายเป็นตัวเลือกที่ชดเชยกับความเบื่อระอาต่อความเชื่องช้าและไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนและนักวิชาการจำนวนไม่น้อย ต่างมุ่งหวังว่า เศรษฐีหมื่นล้านอย่างทักษิณจะสามารถใช้วิสัยทัศน์ของเขานำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ถาวรยั่งยืนได้
ผมก็หลงเชียร์ทักษิณ ไม่ต้องพูดถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นปากเป็นเสียงของทักษิณในช่วงแรก กว่าจะพบความจริงว่า ประเทศไทยกำลังถูกทักษิณกินรวบไปคนเดียว
ตอนนั้นใครๆ ชื่นชมทักษิณ เพราะเชื่อว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจนมีเงินเป็นหมื่นล้านในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปี รวยแล้วไม่โกง และจะฉุดดึงประเทศให้ประสบความสำเร็จเหมือนกับเขานำพาธุรกิจของตัวเองได้
รัฐบาลทักษิณ ทุ่มงบประมาณใส่โครงการประชานิยม เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน 74,770 หมู่บ้าน รวมเป็นเงิน 233,276.5 ล้านบาท และจัดสรรเพิ่มทุนก้อนที่สอง สำหรับหมู่บ้านที่ผ่านเกณฑ์ประเมิน กองทุนละ 100,000 บาท อีกจำนวน 22,589 กองทุน รวมเป็นเงินอีก 2,258.9 ล้านบาท
และตามมาด้วยการระดมเงินทุนแบบไล่แลกแจกแถมในโครงการต่างๆ ตั้งแต่ขนาดเล็กขึ้นไปถึงโครงการระดับมหาอัครบิ๊กโปรเจกต์ แม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับเงินวิจัยก้อนโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภาพของทักษิณจึงผุดพรายราวกับเทพเจ้าองค์ใหม่ที่ยื่นมือมาจากฉุดคนยากคนจนในชนบทและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน ให้ฟื้นขึ้นจากความยากลำบาก แต่ภายหลังเงินกองทุนหมู่บ้านลงสู่ท้องถิ่น กลับพบว่า ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ตัวเลข หนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ก่อนมีโครงการอยู่ที่ 70,586 บาท/ปี ในปี 2544 แต่ในปี 2546 มีหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 84,603 บาท/ปี
นักวิเคราะห์พบว่า กองทุนหมู่บ้านล้มเหลว เพราะการบริหารกองทุนไม่มีประสิทธิภาพ ขาดหลักการทำบัญชีที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน เพราะรัฐบาลใช้วิธีหว่านเม็ดเงินลงไปเพื่อใช้จ่ายมากกว่าการให้ความรู้ประชาชนในการบริหารพัฒนาเงินกองทุน เงินส่วนใหญ่ถูกใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ เพราะไม่เห็นถึงคุณค่าของเงิน และพบว่า กองทุนที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจริงๆ ส่วนใหญ่ชาวบ้านมีความรู้อยู่แล้ว
แต่หนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เหมือนกับขยะที่ซุกอยู่ใต้พรม ชาวบ้านเองก็ไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองมีภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น เพราะยังมีเงินจ่ายหมุนเวียนใช้จ่ายคล่องตัวอยู่ในมือ
ปี 2544 เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ เงินของตระกูลชินวัตรและดามาพงษ์มีมูลค่าหุ้น 19,239.08 ล้านบาท แต่พอทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 3 ปี ในปี 2547 กลับพบว่าตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้นรวมกันถึง 46,810.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 143%
พอปี 2549 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยาตราทัพ เราคงจำได้ว่าตอนนั้นทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ปี ขายธุรกิจเครือชินวัตรให้สิงคโปร์ได้เงินไป 73,000 ล้าน
ใครๆ ก็ตะลึงพรึงเพริศกับตัวเลขเงินของทักษิณที่เพิ่มขึ้นจากปี 2544 ที่อยู่ที่ประมาณ 1.9 หมื่นล้าน มาเป็นกว่า 46,000 ล้านในปี 2547 และขายธุรกิจให้เทมาเส็กได้เงินถึง 73,000 กว่าล้านบาทในปี 2549
แต่ทักษิณก็ไม่มีโอกาสใช้เงินก้อนนั้น เพราะเงินก้อนนั้นเป็นเหมือนบัญชีมรณะที่นำมาสู่จุดจบของระบอบทักษิณ
หลังคมช.ยึดอำนาจ คตส.ได้ตรวจสอบการทุจริตของทักษิณและนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้องในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคล และผลประโยชน์ส่วนรวม ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
และต่อมาทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร “ซีอีโอ ตะวันออกกลาง” (CEO Middle East) ฉบับที่ 12 ประจำเดือนธันวาคม 2551 ปกหนังสือพาดหัวระบุว่า “ผู้ลี้ภัย - ทักษิณ ชินวัตร ทัศนะเกี่ยวกับคน อำนาจ และความยากจน” ยอมรับด้วยว่า รัฐบาลอังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของเขามูลค่ากว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 150,000 ล้านบาท) เอาไว้
ลองไล่เรียงตัวเลขให้ดี เงิน 76,000 กว่าล้านบาท ที่รัฐบาลไทยอายัดไว้ และ 150,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้ รวมกันเป็นเงินถึง 226,000 ล้านบาท
จำตัวเลขนี้ไว้ 226,000 ล้านบาท
เพราะเงินของทักษิณไม่ได้หมดแค่นี้
หนังสือพิมพ์สเตรท ไทมส์ ของมาเลเซีย รายงานเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ว่า ขณะนี้ ทักษิณ มีทรัพย์สินเหลืออยู่ 500 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.75 หมื่นล้านบาท จากการสูญเสียการลงทุนจากหุ้นต่างประเทศมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ และการเก็งกำไรซึ่งกำลังเผชิญสภาพผันผวนเพราะจากภาวะหุ้นทั่วโลกตก และราคาน้ำมันร่วง
แสดงว่า ก่อนการเก็งกำไรภาวะหุ้นและน้ำมันผิดพลาด จนขาดทุนนั้น ทักษิณยังมีเงินอยู่ถึง 5,500 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 192,500 ล้านบาท
รัฐบาลไทยอายัด+รัฐบาลอังกฤษ+เงินที่ทักษิณเหลืออยู่ = ?
76,000 + 150,000 + 192,500 = 418,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า เมื่อรวมเงินที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลอังกฤษยึดไปรวมกันทั้งสิ้น 226,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่เหลืออยู่ก่อนขาดทุนจากหุ้นและน้ำมัน 192,500 ล้านบาท เท่ากับว่า ทักษิณมีเงินถึง 418,000 ล้านบาท
เงิน 418,000 ล้านบาท หลังจากทักษิณเป็นนายกฯ และรัฐบาลได้ 7 ปี พร้อมๆ กับเครือข่ายธุรกิจของทักษิณและครอบครัวกำลังแผ่กิ่งก้านสาขาไปเรื่อยๆ
ในขณะที่อีกด้านภาพของทักษิณคือ เทพเจ้าองค์ใหม่ของคนยากคนจน
ยังไม่นับรวมกลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ซึ่งปัจจุบันเป็นธุรกิจหลักของตระกูลชินวัตร นอกเหนือจากธุรกิจสนามกอล์ฟอัลไพน์ โรงแรมเอสซี ปาร์ค และมหาวิทยาลัยชินวัตร โดยตระกูลชินวัตร ถือหุ้นเอสซี แอสเสท อยู่ประมาณ 61% และว่ากันว่า กลุ่มเอสซี แอสเสท กว้านซื้อที่ดินแปลงงามจาก ปรส.ไปถือไว้ในมือด้วยราคาถูกแสนถูกจำนวนมาก
แน่นอนว่า รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง แต่คำถามถึงนักวิชาการ สื่อมวลชน และนักประชาธิปไตยผู้ชิงชังพันธมิตรฯ ก็คือ เงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมาจากไหน ธุรกิจที่ทักษิณมีอยู่ก่อนการเลือกตั้งสามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มให้ทักษิณได้ขนาดนี้หรือไม่ ถ้าทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี
และนี่คือความชอบธรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉลและขาดความชอบธรรม