มีคนเคยบอกกับผมว่า “สำหรับคนหนุ่มสาว การที่มีหัวเอียงซ้ายสักหน่อยถือเป็นความก้าวหน้า แต่สำหรับผู้ใหญ่-วัยชราแต่หัวยังเอียงซ้ายอยู่นั้นถือว่าเป็นพวกเพ้อฝัน” ทุกครั้งเมื่อนึกถึงคำพูดดังกล่าวผมก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงคำกล่าวของ ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) กวีชาวไอริชที่ว่า
I am not young enough to know everything.
ผมไม่ได้หนุ่มขนาดที่จะ (นึกว่าตัวเอง) รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
คำกล่าวของ ไวลด์ อาจตีความหมายได้ว่า มนุษย์ในวัยเด็ก หรือวัยหนุ่มสาวนั้น ด้วยประสบการณ์และภูมิความรู้ที่มีจำกัดทำให้เรามักจะมองโลกในมุมแคบ และหลงนึกไปว่าตัวเองรู้ทุกอย่างในโลกมุมแคบๆ นั้น ซึ่งถ้าจะกล่าวให้เห็นภาพชัดขึ้นมาอีกสักหน่อยก็คือ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็น “กบในกะลา” นั่นแหละ
ทว่า เมื่อเติบใหญ่ขึ้น ผ่านประสบการณ์มากขึ้น คนเราก็มักจะเรียนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยรู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่แสนเล็กน้อยเสียเหลือเกินสำหรับโลกใบนี้ และเริ่มสังวรตนว่าช่วงชีวิตที่ตัวเองเหลืออยู่บนโลกใบนี้นั้น การขวนขวายให้ตัวเองรู้จริงเพียงสักอย่าง กระจ่างเพียงสักเรื่อง ก็ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แล้ว
จากข้อเท็จจริงข้างต้น ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วก็ไม่ผิดไปจากคำกล่าว “ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ” สักเท่าไหร่ เพราะ คนที่ยิ่งเรียนมาก เรียนจบปริญญาโท-ปริญญาเอก หรือ ใช้คำนำหน้าว่าอาจารย์ เรียกตัวเองว่า ดร. ก็ควรจะต้องยิ่งคิดได้ว่า สิ่งที่ตนเองรู้นั้นเอาเข้าจริงก็เป็นความรู้เฉพาะทาง-เฉพาะอย่าง ยิ่งเรียนให้มาก ศึกษาให้ลึกก็จะต้องยิ่งรู้ว่า มีสิ่งที่ตนไม่รู้อีกมาก และมีคนที่รู้มากกว่าตัวเองอีกมาก
... เข้าทำนอง “ยิ่งเรียนยิ่งโง่” อย่างที่ว่า
แต่สำหรับคนที่ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกเย่อหยิ่ง ยิ่งรู้สึกทะนงตนว่าตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าชาวบ้านนั้น พวกนี้เอาเข้าจริงแล้วกลับเข้าทำนอง “กบ” ที่ยิ่งเรียนยิ่งสร้าง “กะลาครอบ” ให้ตัวเอง
กลางดึกวันจันทร์ที่ 9 ก.พ. ผ่านมา ผมรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านข่าวจากเว็บไซต์ เดอะ การ์เดียน ที่เผยแพร่เรื่องการหลบหนีไปประเทศอังกฤษของ อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ (หรือชื่อเต็มคือ นายใจลล์ ใจ อึ๊งภากรณ์) ซึ่งเจ้าตัวอ้างเหตุผลว่า เพราะเกรงกลัวว่าประเทศไทยจะพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของแกอย่างไม่เป็นธรรม
ที่ผมรู้สึกแปลกใจ ก็เพราะว่า อ.ใจนั้นเพิ่งเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจปทุมวัน กรณีเขียนหนังสือ A Coup for the Rich เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมานี่เอง แถมเจ้าตัวยังมีภาระในการสอนหนังสือและสอนลูกศิษย์ที่จุฬาฯ เนื่องจากยังไม่ปิดเทอมทิ้งค้างอยู่อีก เหตุไฉนแกจึงเร่งรีบหนีกระบวนการพิสูจน์ความยุติธรรมที่ยังมีอีกหลายขั้นหลายตอน ทั้งในขั้นของตำรวจ อัยการ และในชั้นศาลอีกตั้ง 3 ศาล ทั้งยังโวยวายข้ามประเทศมาอีกว่า “กระบวนการยุติธรรมไทยไม่ยุติธรรม”
สำหรับตัวผมเองก็มิใช่ว่า จะ “ขี้คุย” ทำเป็น “ปากกล้า-ขาสั่น” หรือไม่เคยต้องคดีมาก่อน เพราะคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคดีอื่นๆ ที่นอนอยู่ในแฟ้มของตำรวจหลายท้องที่ทั่วประเทศ ก็ทำเอาตัวผมเสียเวลาไปแล้วหลายวันกับการที่ต้องเดินสายพิมพ์ลายนิ้วมือและให้ปากคำ ในฐานะกรรมการบริษัทที่ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิบกว่าคดีที่ผมโดนนั้นถือว่าน้อยนิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณพิภพ ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ การ์ดพันธมิตรฯ นักรบศรีวิชัยและพี่ๆ อีกหลายร้อยชีวิต ที่ต่างพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม
เมื่อศาลตัดสินว่า ผิด ก็คือ ผิด ... เมื่อศาลตัดสินว่า ไม่ผิด ก็คือ ไม่ผิด พวกเราไม่เคยโวยวายว่ากฎหมายใดไม่เป็นธรรม หรือกล่าวหาว่า กฎหมายฉบับใดละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยและความแปลกใจทั้งมวลกับการหลบหนีไปอังกฤษของ อ.ใจ ก็พลันปลาสนาการไปสิ้น เมื่อผมได้อ่านบทความเรื่อง “แถลงการณ์แดงสยาม” ที่ อ.ใจ เขียนเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
“ธงไตรรงค์สามสี แดง ขาว น้ำเงิน ของฝ่ายเผด็จการ ลอกมาจากธงสามสีของตะวันตก ...ธงสามสี แดง ขาว น้ำเงิน เคยมีความหมายอื่นในการปฏิวัติฝรั่งเศส นั่นคือ “เสรีภาพ ความเท่าเทียมและความสมานฉันท์” นี่คือคำขวัญที่เราต้องใช้ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกสังคมไทย จากยุคมืดแห่งระเบียบใหม่/การเมืองใหม่
เราจะรวมตัวกันอย่างไร?
เลิกหวังได้แล้วว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะนำการต่อสู้ในทิศทางที่จำเป็นสำหรับการปลดแอกสังคม อย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย เขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้นอกกรอบระบบปัจจุบัน แต่ประชาชนหลายแสนหลายล้านพร้อมจะไปไกล ...”
ข้างต้นเป็นข้อความส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์แดงสยามที่ผมคิดว่าเป็นข้อความที่หมิ่นเหม่น้อยที่สุดแล้วจากการกลั่นกรองของคนที่ชื่อ ใจลล์ ใจ อึ๊งภากรณ์
ยิ่งเมื่อได้อ่านแถลงการณ์ชิ้นดังกล่าว ให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า อ.ใจ ในวันนี้ยังคงเป็น อ.ใจ คนเดิมที่ผมเคยรู้จักเมื่อสิบปีที่แล้ว โดยนอกจากจะพูดภาษาไทยที่พูดได้ไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำแล้ว เนื้อหาและรายละเอียดของความคิดยังเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อความที่ถอดออกมาจากตำราของลัทธิมาร์กซิสม์ จินตนาการส่วนตัว และความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
เพ้อฝันเสียจนผมขออภัยที่ต้องกล่าวว่า “เป็นแถลงการณ์ที่เข้าขั้นไร้เดียงสา!” เลยทีเดียว
ส่วนตัว ผมเชื่อว่าในรั้วมหาวิทยาลัย อ.ใจ มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการพูดถึงระบอบการเมืองการปกครองใหม่ การวิพากษ์วิจารณ์ระบบการปกครองเก่า หรือพูดถึงข้อดี-ข้อด้อยของสถาบันต่างๆ ดังเช่นที่ อาจารย์เคยมีเสรีภาพใช้ห้องชั้น 2 ของตึกคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ใช้น้ำ ใช้ไฟของหลวงในช่วงเย็น เพื่อเปิดสัมมนาและจำหน่ายหนังสือที่ตัวเองเขียน-แปลเกี่ยวกับเรื่องลัทธิมาร์กซิสม์ให้กับบรรดานิสิตทั้งปริญญาตรี-โท-เอก ของคณะรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ ครุศาสตร์ และคณะอื่นๆ ของจุฬาฯ ฟังมานักต่อนักแล้ว
จากประสบการณ์ส่วนตัว อย่าว่าแต่ประชาชนหลายแสนหรือหลายล้านที่อาจารย์กล่าวอ้างในแถลงการณ์ว่า “พร้อมจะไปไกล...” เพราะผมยังไม่เคยเห็นว่า คนที่มาฟังสัมมนาของอาจารย์แบบเดี่ยวๆ จะเกิน 15 คนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ด้วยความเคารพและความห่วงใย อ.ใจ หนีไปเถอะครับ หนีไปอังกฤษ ประเทศที่อาจารย์ว่ามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่และเป็นสังคมประชาธิปไตยเต็มใบ ทิ้งผม ทิ้งพรรคพวก ทิ้งเพื่อนฝูง และทิ้งประชาชนไทยไว้อย่างนี้ดีแล้วล่ะครับ
พวกเราเต็มใจและยินดีที่จะอยู่กับ “พ่อ” ของเราอย่างนี้
I am not young enough to know everything.
ผมไม่ได้หนุ่มขนาดที่จะ (นึกว่าตัวเอง) รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
คำกล่าวของ ไวลด์ อาจตีความหมายได้ว่า มนุษย์ในวัยเด็ก หรือวัยหนุ่มสาวนั้น ด้วยประสบการณ์และภูมิความรู้ที่มีจำกัดทำให้เรามักจะมองโลกในมุมแคบ และหลงนึกไปว่าตัวเองรู้ทุกอย่างในโลกมุมแคบๆ นั้น ซึ่งถ้าจะกล่าวให้เห็นภาพชัดขึ้นมาอีกสักหน่อยก็คือ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็น “กบในกะลา” นั่นแหละ
ทว่า เมื่อเติบใหญ่ขึ้น ผ่านประสบการณ์มากขึ้น คนเราก็มักจะเรียนรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยรู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่แสนเล็กน้อยเสียเหลือเกินสำหรับโลกใบนี้ และเริ่มสังวรตนว่าช่วงชีวิตที่ตัวเองเหลืออยู่บนโลกใบนี้นั้น การขวนขวายให้ตัวเองรู้จริงเพียงสักอย่าง กระจ่างเพียงสักเรื่อง ก็ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แล้ว
จากข้อเท็จจริงข้างต้น ผมเห็นว่าแท้จริงแล้วก็ไม่ผิดไปจากคำกล่าว “ยิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งโตยิ่งเซ่อ” สักเท่าไหร่ เพราะ คนที่ยิ่งเรียนมาก เรียนจบปริญญาโท-ปริญญาเอก หรือ ใช้คำนำหน้าว่าอาจารย์ เรียกตัวเองว่า ดร. ก็ควรจะต้องยิ่งคิดได้ว่า สิ่งที่ตนเองรู้นั้นเอาเข้าจริงก็เป็นความรู้เฉพาะทาง-เฉพาะอย่าง ยิ่งเรียนให้มาก ศึกษาให้ลึกก็จะต้องยิ่งรู้ว่า มีสิ่งที่ตนไม่รู้อีกมาก และมีคนที่รู้มากกว่าตัวเองอีกมาก
... เข้าทำนอง “ยิ่งเรียนยิ่งโง่” อย่างที่ว่า
แต่สำหรับคนที่ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกเย่อหยิ่ง ยิ่งรู้สึกทะนงตนว่าตัวเองรู้มากกว่าคนอื่น ฉลาดกว่าชาวบ้านนั้น พวกนี้เอาเข้าจริงแล้วกลับเข้าทำนอง “กบ” ที่ยิ่งเรียนยิ่งสร้าง “กะลาครอบ” ให้ตัวเอง
กลางดึกวันจันทร์ที่ 9 ก.พ. ผ่านมา ผมรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านข่าวจากเว็บไซต์ เดอะ การ์เดียน ที่เผยแพร่เรื่องการหลบหนีไปประเทศอังกฤษของ อ.ใจ อึ๊งภากรณ์ (หรือชื่อเต็มคือ นายใจลล์ ใจ อึ๊งภากรณ์) ซึ่งเจ้าตัวอ้างเหตุผลว่า เพราะเกรงกลัวว่าประเทศไทยจะพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของแกอย่างไม่เป็นธรรม
ที่ผมรู้สึกแปลกใจ ก็เพราะว่า อ.ใจนั้นเพิ่งเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจปทุมวัน กรณีเขียนหนังสือ A Coup for the Rich เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมานี่เอง แถมเจ้าตัวยังมีภาระในการสอนหนังสือและสอนลูกศิษย์ที่จุฬาฯ เนื่องจากยังไม่ปิดเทอมทิ้งค้างอยู่อีก เหตุไฉนแกจึงเร่งรีบหนีกระบวนการพิสูจน์ความยุติธรรมที่ยังมีอีกหลายขั้นหลายตอน ทั้งในขั้นของตำรวจ อัยการ และในชั้นศาลอีกตั้ง 3 ศาล ทั้งยังโวยวายข้ามประเทศมาอีกว่า “กระบวนการยุติธรรมไทยไม่ยุติธรรม”
สำหรับตัวผมเองก็มิใช่ว่า จะ “ขี้คุย” ทำเป็น “ปากกล้า-ขาสั่น” หรือไม่เคยต้องคดีมาก่อน เพราะคดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคดีอื่นๆ ที่นอนอยู่ในแฟ้มของตำรวจหลายท้องที่ทั่วประเทศ ก็ทำเอาตัวผมเสียเวลาไปแล้วหลายวันกับการที่ต้องเดินสายพิมพ์ลายนิ้วมือและให้ปากคำ ในฐานะกรรมการบริษัทที่ดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิบกว่าคดีที่ผมโดนนั้นถือว่าน้อยนิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณพิภพ ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ การ์ดพันธมิตรฯ นักรบศรีวิชัยและพี่ๆ อีกหลายร้อยชีวิต ที่ต่างพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม
เมื่อศาลตัดสินว่า ผิด ก็คือ ผิด ... เมื่อศาลตัดสินว่า ไม่ผิด ก็คือ ไม่ผิด พวกเราไม่เคยโวยวายว่ากฎหมายใดไม่เป็นธรรม หรือกล่าวหาว่า กฎหมายฉบับใดละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม ความสงสัยและความแปลกใจทั้งมวลกับการหลบหนีไปอังกฤษของ อ.ใจ ก็พลันปลาสนาการไปสิ้น เมื่อผมได้อ่านบทความเรื่อง “แถลงการณ์แดงสยาม” ที่ อ.ใจ เขียนเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
“ธงไตรรงค์สามสี แดง ขาว น้ำเงิน ของฝ่ายเผด็จการ ลอกมาจากธงสามสีของตะวันตก ...ธงสามสี แดง ขาว น้ำเงิน เคยมีความหมายอื่นในการปฏิวัติฝรั่งเศส นั่นคือ “เสรีภาพ ความเท่าเทียมและความสมานฉันท์” นี่คือคำขวัญที่เราต้องใช้ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกสังคมไทย จากยุคมืดแห่งระเบียบใหม่/การเมืองใหม่
เราจะรวมตัวกันอย่างไร?
เลิกหวังได้แล้วว่าอดีตนายกฯ ทักษิณจะนำการต่อสู้ในทิศทางที่จำเป็นสำหรับการปลดแอกสังคม อย่าตั้งความหวังกับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย เขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้นอกกรอบระบบปัจจุบัน แต่ประชาชนหลายแสนหลายล้านพร้อมจะไปไกล ...”
ข้างต้นเป็นข้อความส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์แดงสยามที่ผมคิดว่าเป็นข้อความที่หมิ่นเหม่น้อยที่สุดแล้วจากการกลั่นกรองของคนที่ชื่อ ใจลล์ ใจ อึ๊งภากรณ์
ยิ่งเมื่อได้อ่านแถลงการณ์ชิ้นดังกล่าว ให้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ยิ่งทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า อ.ใจ ในวันนี้ยังคงเป็น อ.ใจ คนเดิมที่ผมเคยรู้จักเมื่อสิบปีที่แล้ว โดยนอกจากจะพูดภาษาไทยที่พูดได้ไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำแล้ว เนื้อหาและรายละเอียดของความคิดยังเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อความที่ถอดออกมาจากตำราของลัทธิมาร์กซิสม์ จินตนาการส่วนตัว และความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
เพ้อฝันเสียจนผมขออภัยที่ต้องกล่าวว่า “เป็นแถลงการณ์ที่เข้าขั้นไร้เดียงสา!” เลยทีเดียว
ส่วนตัว ผมเชื่อว่าในรั้วมหาวิทยาลัย อ.ใจ มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ในการพูดถึงระบอบการเมืองการปกครองใหม่ การวิพากษ์วิจารณ์ระบบการปกครองเก่า หรือพูดถึงข้อดี-ข้อด้อยของสถาบันต่างๆ ดังเช่นที่ อาจารย์เคยมีเสรีภาพใช้ห้องชั้น 2 ของตึกคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ใช้น้ำ ใช้ไฟของหลวงในช่วงเย็น เพื่อเปิดสัมมนาและจำหน่ายหนังสือที่ตัวเองเขียน-แปลเกี่ยวกับเรื่องลัทธิมาร์กซิสม์ให้กับบรรดานิสิตทั้งปริญญาตรี-โท-เอก ของคณะรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อักษรศาสตร์ ครุศาสตร์ และคณะอื่นๆ ของจุฬาฯ ฟังมานักต่อนักแล้ว
จากประสบการณ์ส่วนตัว อย่าว่าแต่ประชาชนหลายแสนหรือหลายล้านที่อาจารย์กล่าวอ้างในแถลงการณ์ว่า “พร้อมจะไปไกล...” เพราะผมยังไม่เคยเห็นว่า คนที่มาฟังสัมมนาของอาจารย์แบบเดี่ยวๆ จะเกิน 15 คนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ด้วยความเคารพและความห่วงใย อ.ใจ หนีไปเถอะครับ หนีไปอังกฤษ ประเทศที่อาจารย์ว่ามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่และเป็นสังคมประชาธิปไตยเต็มใบ ทิ้งผม ทิ้งพรรคพวก ทิ้งเพื่อนฝูง และทิ้งประชาชนไทยไว้อย่างนี้ดีแล้วล่ะครับ
พวกเราเต็มใจและยินดีที่จะอยู่กับ “พ่อ” ของเราอย่างนี้