ASTVผู้จัดการรายวัน -เด็กร้องขอสอบเอเน็ตใหม่แห้ว! คณะทำงานศึกษาแอดมิชชั่น 53 ยันระบบไร้ปัญหา แต่ข้อผิดพลาดมาจากตัวเด็กเอง ยันปีหน้ายังใช้ระบบเดิม "สุเมธ"เผยเด็กที่ยื่นร้องเรียนส่วนใหญ่เคยสมัครสอบวิชาเฉพาะผ่านระบบของสกอ.ได้เรียบร้อย แต่วันนี้บอกระบบมีปัญหา ส่วนยอดผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่างจังหวัดวันแรกมี 65 ราย ส่วนในกทม.หลังเปิดรับเรื่องวันที่ 3 มีเพิ่มอีก 27 ราย ด้านกมธ.วุฒิ 3 คณะออกมติอุ้มนักเรียน เตรียมตบเท้าพบ“จุรินทร์”วันนี้
วานนี้(10 ก.พ.)ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานคณะทำงานศึกษาระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นประจำปีการศึกษา 2553 ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แถลงข่าวหลังหารือร่วมกับนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และตัวแทนประธานทปอ. เกี่ยวกับปัญหาการรับสมัครการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูง (เอเน็ต) เพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาประจำปีการศึกษา 2552 ว่า จากการรับฟังข้อมูลนักเรียนที่มาร้องทุกข์ที่ สกอ. วันที่ 8- 9 ก.พ.จำนวน 105 คนนั้น ยืนยันชัดเจนว่า ระบบการรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต ตลอดจนบาร์โค้ดไม่มีปัญหา และเป็นระบบที่เหมาะสม รัดกุมและอำนวยความสะดวกให้กับเด็กมากที่สุด ที่สำคัญมีการกำหนดเงื่อนไข และวันสิ้นสุดการชำระเงินไว้อย่างชัดเจน
ดังนั้น ในการรับสมัครแอดมิชชั่นในปี 2553 จะยังคงใช้ระบบนี้ดำเนินการต่อไป เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับปรุงการใช้ภาษาให้ชัดเจน และกำหนดวันสิ้นสุดการชำระเงินไว้ใบสมัคร โดยจะพิมพ์อักษรตัวใหญ่สีแดงเพื่อให้เห็นชัดเจน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วปัญหาไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เป็นปัญหาส่วนตัวของนักเรียนเอง จึงไม่สามารถเปิดรับการชำระเงินรอบ 2 ได้
"จำนวนผู้สมัครที่ไม่ได้ชำระเงิน 22,000 คน ก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อซ้ำ บางส่วนก็สมัครเล่นๆโดยไม่ตั้งใจจะนำคะแนนเอเน็ตไปใช้ บางส่วนก็สอบติดระบบรับตรงไปแล้ว ดังนั้น ถ้าจะให้ สกอ.มาเปิดรับชำระเงินให้กับเด็กกลุ่มนี้ ก็จะไม่เป็นธรรมกับเด็ก 1.9 แสนที่ทำถูกต้อง ถ้าคิดว่าการเข้ามหาวิทยาลัย คือโอกาสสำคัญของชีวิต เด็กก็ควรต้องสมัครและชำระเงินด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปฝากพ่อแม่ เพื่อน ครูแนะแนวมาทำแทน แล้วเมื่อเกิดความผิดพลาด ก็มาโทษระบบ"
อย่างไรก็ตาม สกอ.ยืนยันว่า การตัดสินใจจะอยู่บนหลักมนุษยชน แต่ก็ต้องคำนึงถึงกฎกติกา และคนส่วนใหญ่ที่ทำถูกต้อง ดังนั้น หากเด็กจะไปฟ้องศาลปกครอง สกอ. ก็พร้อมชี้แจง
**สกอ.งัดหลักฐานชี้เด็กพลาดเอง
ด้านนายสุเมธ กล่าวว่า สกอ.ได้ตรวจสอบเด็กจำนวน 2.2 หมื่นคนที่สมัครสอบเอเน็ตทางอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้ชำระเงิน พบว่าในจำนวนนี้มีเด็ก 8,000 คน ที่ผ่านการสมัคร ชำระเงิน และมีผลคะแนนสอบวิชาเฉพาะเมื่อเดือนต.ค. ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของแอดมิชชั่น นอกจากนี้เด็กที่เข้าร้องเรียนต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สกอ.เมื่อวันแรก 76 คน ในจำนวนนี้ 43 คน เคยผ่านการใช้ระบบสมัคร ชำระเงินของ สกอ. และมีคะแนนสอบวิชาเฉพาะแล้วเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าเด็กกลุ่มนี้ผ่านเคยผ่านขั้นตอนในการสมัครทางอินเทอร์เน็ต และชำระเงินผ่านธนาคาร/ไปรษณีย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการรูปแบบเดียวกับการสอบเอเน็ต และใบสมัครเพื่อนำไปชำระเงินก็ไม่ได้ปรากฏวันสิ้นสุดการชำระเงิน แต่แจ้งไว้ในเว็บไซต์เช่นกัน แต่ครั้งนั้นก็ไม่มีปัญหาและไม่มีการร้องเรียน แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่า ระบบเดียวกันนี้สร้างปัญหา ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าสังคมกำลังถูกหลอกหรือไม่
**เด็กยอมรับพลาดเอง
นายวิชิต นาท้าว นักเรียนชั้น ม. 6 ร.ร.สุทธิวนาราม กทม.ซึ่งเดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนที่ สกอ. กล่าวว่า ตนไม่ได้ไปชำระเงินค่าสมัคร เนื่องจากกระเป๋าที่เก็บใบสมัครไว้นั้นหายไป ทำให้ไม่มีเลขที่ผู้สมัครไปชำระเงิน กระทั่งล่วงเลยกำหนดเวลา ซึ่งหลังจากที่ทำเลขที่ผู้สมัครหายไปตนก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปที่ สกอ. เพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อที่ไหน อย่างไรก็ตาม ตนขอให้ สกอ.เปิดให้ชำระเงินสมัครสอบ และให้โอกาสสอบเอเน็ตได้ แต่หากไม่ได้สอบเอเน็ต ก็คงต้องนำคะแนนการทดสอบแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต)ไปยื่นสมัครแอดมิชชั่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องทำคะแนนให้ได้ดี
“ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นผมคิดว่าเกิดจากตัวเด็กเอง เพราะระบบของ สกอ.ที่ให้สมัครผ่านทางเว็บไซต์ ก็มีความชัดเจนดี แต่อยากให้นักเรียนสามารถใช้เลขประจำตัวค้นหาเลขผู้สมัครสอบได้ เพราะอาจมีกรณีที่ทำเลขที่ผู้สมัครสอบหาย และไม่ได้บันทึกหน้าเว็บที่มีเลขที่ผู้สมัครสอบไว้เหมือนผมจะได้แก้ปัญหาได้" นายวิชิตกล่าว
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ขยายศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 โรงเรียน รวมเป็นจำนวน 200 โรงเรียน
**ยอดร้องตจว.วันแรก 65 คน
เมื่อเวลา 17.00 น. นายสุเมธ กล่าวสรุปยอดนักเรียนที่เข้ายืนเรื่องร้องเรียนต่อ สกอ.ว่า ได้รับรายงานตัวเลขผู้ร้องทุกข์จากศูนย์ต่างจังหวัดเข้ามาเป็นวันแรก 46 ศูนย์ จากทั้งหมด 139 ศูนย์ มีผู้ร้องทุกข์ทั้งสิ้น 65 คน โดยไม่พบปัญหาที่เกิดจากระบบการรับสมัครผ่านอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ปัญหาเหมือนกับเด็กใน กทม. ที่ลืมชำระเงินตามกำหนด และไม่ทราบวันสิ้นสุดการชำระเงิน สำหรับในส่วน กทม. ซึ่งเปิดรับร้องทุกข์เป็นวันที่ 3 นั้น มีผู้ร้องทุกข์เพิ่มอีก 27 คน โดยมียอดผู้ร้องทุกข์รวมทั้งสิ้น 132 คน ซึ่งปัญหายังคงเหมือนเดิม โดยไม่พบปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดของระบบ
**กมธ.วุฒิ 3 คณะออกมติ อุ้มนร.
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ประธานกมธ.ศึกษาตรวจสอบทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล เป็นประธานการประชุมร่วมกับ กมธ. 2 ชุด ประกอบด้วย กมธ.ยุติธรรมและการตำรวจ และกมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครอง โดยหน่วยงานภาครัฐมาชี้แจง แต่ปรากฏว่าไม่มีตัวแทนจากภาครัฐมาร่วม มีเพียงผู้ปกครองและนักเรียนที่ประสบปัญหาเท่านั้น
นายเจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดี ม.ศิลปากร กล่าวว่า ที่เข้ามาช่วยเหลือเด็กก็เพราะทนดูเด็กถูกรังแกไม่ได้ มีการโยนความผิดลงไปที่เด็กที่ไม่ได้สมัครสอบตามเวลาที่กำหนด ทั้งที่เอกสารไม่ได้ระบุว่าต้องชำระเงินภายในวันไหน แถมยังมีปรักปรำว่า เด็กปลอมแปลงเอกสาร เป็นคนเห็นแก่ตัว ถือว่าโหดร้ายที่สุด และยังสร้างข่าวสารในอินเทอร์เน็ตสร้างความแตกแยกในสังคม
ทั้งนี้ การที่สกอ.โยนกลองให้ที่ ทปอ.เป็นผู้วินิจฉัยนั้น ไม่ถูกต้องเพราะอำนาจในการวินิจฉัยอยู่ที่รัฐมนตรี ไม่ใช่ สกอ.หรือ ทปอ. ถ้ารัฐมนตรีไปมอบการวินิจฉัยให้ทั้งสององค์กร ก็เท่ากับว่ารัฐมนตรีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าผู้ปกครองนำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งรัฐบาลไม่มีทางต่อสู้ แพ้แน่นอน และสิ่งที่ตามมาคือการความรับผิดชอบทางการเมือง ซึ่งเราไม่ต้องการ แต่ต้องการเพียงน้ำใจ และความเมตตากับเด็ก
ด้านนายพิสิฐ กิตติเจริญฤกษ์ ผู้ปกครอง กล่าวเปิดใจทั้งน้ำตาว่า พวกตนก็ยอมรับว่าผิดพลาด แต่ทุกคนก็มีสิทธิผิดพลาดมาก เรากำลังบอกว่าเด็กเหล่านี้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องหมดสิทธิศึกษาต่อ เด็กหลายคนร่ำเรียนมาแทบตายแต่พลาดครั้งเดียว ผู้ใหญ่ตีตราว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง วันนี้ตนไม่เสียใจที่สู้มาไม่ว่าผลจะออกเป็นอย่างไร แต่สังคมได้รับรู้ว่าสังคมนี้จะตัดสิทธิเด็กด้วยกฎเกณฑ์ ด้วยเมตตาหรือเพียงแค่อีโก้ที่หน่วยงานรัฐผิดไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการประชุม ได้มอบหมาย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย นัดหมายให้ส.ว.ได้เข้าพบ รมว.ศธ.ในวันที่ 11 ก.พ.เวลา 09.30 น. เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. ให้ขยายเวลาการชำระเงินออกไป โดยอาจจะให้มีการเสียค่าปรับด้วยก็ได้ 2. ให้เปิดกว้างสำหรับเด็กที่สมัครแล้วทั้ง 2 หมื่นคนไม่ใช่เฉพาะเด็กที่แจ้งความจำนงไว้ 3.ควรทำความเข้าใจกับสังคมว่าการให้สิทธิดังกล่าวไม่กระทบต่อเด็ก 1.9 แสนคนเพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยก ระหว่างเด็ก 2 กลุ่ม
วานนี้(10 ก.พ.)ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายมณฑล สงวนเสริมศรี ประธานคณะทำงานศึกษาระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นประจำปีการศึกษา 2553 ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แถลงข่าวหลังหารือร่วมกับนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และตัวแทนประธานทปอ. เกี่ยวกับปัญหาการรับสมัครการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นสูง (เอเน็ต) เพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาประจำปีการศึกษา 2552 ว่า จากการรับฟังข้อมูลนักเรียนที่มาร้องทุกข์ที่ สกอ. วันที่ 8- 9 ก.พ.จำนวน 105 คนนั้น ยืนยันชัดเจนว่า ระบบการรับสมัครทางอินเทอร์เน็ต ตลอดจนบาร์โค้ดไม่มีปัญหา และเป็นระบบที่เหมาะสม รัดกุมและอำนวยความสะดวกให้กับเด็กมากที่สุด ที่สำคัญมีการกำหนดเงื่อนไข และวันสิ้นสุดการชำระเงินไว้อย่างชัดเจน
ดังนั้น ในการรับสมัครแอดมิชชั่นในปี 2553 จะยังคงใช้ระบบนี้ดำเนินการต่อไป เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับปรุงการใช้ภาษาให้ชัดเจน และกำหนดวันสิ้นสุดการชำระเงินไว้ใบสมัคร โดยจะพิมพ์อักษรตัวใหญ่สีแดงเพื่อให้เห็นชัดเจน ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วปัญหาไม่ได้เกิดจากระบบ แต่เป็นปัญหาส่วนตัวของนักเรียนเอง จึงไม่สามารถเปิดรับการชำระเงินรอบ 2 ได้
"จำนวนผู้สมัครที่ไม่ได้ชำระเงิน 22,000 คน ก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อซ้ำ บางส่วนก็สมัครเล่นๆโดยไม่ตั้งใจจะนำคะแนนเอเน็ตไปใช้ บางส่วนก็สอบติดระบบรับตรงไปแล้ว ดังนั้น ถ้าจะให้ สกอ.มาเปิดรับชำระเงินให้กับเด็กกลุ่มนี้ ก็จะไม่เป็นธรรมกับเด็ก 1.9 แสนที่ทำถูกต้อง ถ้าคิดว่าการเข้ามหาวิทยาลัย คือโอกาสสำคัญของชีวิต เด็กก็ควรต้องสมัครและชำระเงินด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปฝากพ่อแม่ เพื่อน ครูแนะแนวมาทำแทน แล้วเมื่อเกิดความผิดพลาด ก็มาโทษระบบ"
อย่างไรก็ตาม สกอ.ยืนยันว่า การตัดสินใจจะอยู่บนหลักมนุษยชน แต่ก็ต้องคำนึงถึงกฎกติกา และคนส่วนใหญ่ที่ทำถูกต้อง ดังนั้น หากเด็กจะไปฟ้องศาลปกครอง สกอ. ก็พร้อมชี้แจง
**สกอ.งัดหลักฐานชี้เด็กพลาดเอง
ด้านนายสุเมธ กล่าวว่า สกอ.ได้ตรวจสอบเด็กจำนวน 2.2 หมื่นคนที่สมัครสอบเอเน็ตทางอินเทอร์เน็ต แต่ไม่ได้ชำระเงิน พบว่าในจำนวนนี้มีเด็ก 8,000 คน ที่ผ่านการสมัคร ชำระเงิน และมีผลคะแนนสอบวิชาเฉพาะเมื่อเดือนต.ค. ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งของแอดมิชชั่น นอกจากนี้เด็กที่เข้าร้องเรียนต่อศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สกอ.เมื่อวันแรก 76 คน ในจำนวนนี้ 43 คน เคยผ่านการใช้ระบบสมัคร ชำระเงินของ สกอ. และมีคะแนนสอบวิชาเฉพาะแล้วเช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าเด็กกลุ่มนี้ผ่านเคยผ่านขั้นตอนในการสมัครทางอินเทอร์เน็ต และชำระเงินผ่านธนาคาร/ไปรษณีย์ ซึ่งเป็นการดำเนินการรูปแบบเดียวกับการสอบเอเน็ต และใบสมัครเพื่อนำไปชำระเงินก็ไม่ได้ปรากฏวันสิ้นสุดการชำระเงิน แต่แจ้งไว้ในเว็บไซต์เช่นกัน แต่ครั้งนั้นก็ไม่มีปัญหาและไม่มีการร้องเรียน แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่า ระบบเดียวกันนี้สร้างปัญหา ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าสังคมกำลังถูกหลอกหรือไม่
**เด็กยอมรับพลาดเอง
นายวิชิต นาท้าว นักเรียนชั้น ม. 6 ร.ร.สุทธิวนาราม กทม.ซึ่งเดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนที่ สกอ. กล่าวว่า ตนไม่ได้ไปชำระเงินค่าสมัคร เนื่องจากกระเป๋าที่เก็บใบสมัครไว้นั้นหายไป ทำให้ไม่มีเลขที่ผู้สมัครไปชำระเงิน กระทั่งล่วงเลยกำหนดเวลา ซึ่งหลังจากที่ทำเลขที่ผู้สมัครหายไปตนก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปที่ สกอ. เพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อที่ไหน อย่างไรก็ตาม ตนขอให้ สกอ.เปิดให้ชำระเงินสมัครสอบ และให้โอกาสสอบเอเน็ตได้ แต่หากไม่ได้สอบเอเน็ต ก็คงต้องนำคะแนนการทดสอบแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต)ไปยื่นสมัครแอดมิชชั่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องทำคะแนนให้ได้ดี
“ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นผมคิดว่าเกิดจากตัวเด็กเอง เพราะระบบของ สกอ.ที่ให้สมัครผ่านทางเว็บไซต์ ก็มีความชัดเจนดี แต่อยากให้นักเรียนสามารถใช้เลขประจำตัวค้นหาเลขผู้สมัครสอบได้ เพราะอาจมีกรณีที่ทำเลขที่ผู้สมัครสอบหาย และไม่ได้บันทึกหน้าเว็บที่มีเลขที่ผู้สมัครสอบไว้เหมือนผมจะได้แก้ปัญหาได้" นายวิชิตกล่าว
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ขยายศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์เพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 โรงเรียน รวมเป็นจำนวน 200 โรงเรียน
**ยอดร้องตจว.วันแรก 65 คน
เมื่อเวลา 17.00 น. นายสุเมธ กล่าวสรุปยอดนักเรียนที่เข้ายืนเรื่องร้องเรียนต่อ สกอ.ว่า ได้รับรายงานตัวเลขผู้ร้องทุกข์จากศูนย์ต่างจังหวัดเข้ามาเป็นวันแรก 46 ศูนย์ จากทั้งหมด 139 ศูนย์ มีผู้ร้องทุกข์ทั้งสิ้น 65 คน โดยไม่พบปัญหาที่เกิดจากระบบการรับสมัครผ่านอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ปัญหาเหมือนกับเด็กใน กทม. ที่ลืมชำระเงินตามกำหนด และไม่ทราบวันสิ้นสุดการชำระเงิน สำหรับในส่วน กทม. ซึ่งเปิดรับร้องทุกข์เป็นวันที่ 3 นั้น มีผู้ร้องทุกข์เพิ่มอีก 27 คน โดยมียอดผู้ร้องทุกข์รวมทั้งสิ้น 132 คน ซึ่งปัญหายังคงเหมือนเดิม โดยไม่พบปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดของระบบ
**กมธ.วุฒิ 3 คณะออกมติ อุ้มนร.
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ประธานกมธ.ศึกษาตรวจสอบทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล เป็นประธานการประชุมร่วมกับ กมธ. 2 ชุด ประกอบด้วย กมธ.ยุติธรรมและการตำรวจ และกมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครอง โดยหน่วยงานภาครัฐมาชี้แจง แต่ปรากฏว่าไม่มีตัวแทนจากภาครัฐมาร่วม มีเพียงผู้ปกครองและนักเรียนที่ประสบปัญหาเท่านั้น
นายเจริญ คัมภีรภาพ รองอธิการบดี ม.ศิลปากร กล่าวว่า ที่เข้ามาช่วยเหลือเด็กก็เพราะทนดูเด็กถูกรังแกไม่ได้ มีการโยนความผิดลงไปที่เด็กที่ไม่ได้สมัครสอบตามเวลาที่กำหนด ทั้งที่เอกสารไม่ได้ระบุว่าต้องชำระเงินภายในวันไหน แถมยังมีปรักปรำว่า เด็กปลอมแปลงเอกสาร เป็นคนเห็นแก่ตัว ถือว่าโหดร้ายที่สุด และยังสร้างข่าวสารในอินเทอร์เน็ตสร้างความแตกแยกในสังคม
ทั้งนี้ การที่สกอ.โยนกลองให้ที่ ทปอ.เป็นผู้วินิจฉัยนั้น ไม่ถูกต้องเพราะอำนาจในการวินิจฉัยอยู่ที่รัฐมนตรี ไม่ใช่ สกอ.หรือ ทปอ. ถ้ารัฐมนตรีไปมอบการวินิจฉัยให้ทั้งสององค์กร ก็เท่ากับว่ารัฐมนตรีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าผู้ปกครองนำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งรัฐบาลไม่มีทางต่อสู้ แพ้แน่นอน และสิ่งที่ตามมาคือการความรับผิดชอบทางการเมือง ซึ่งเราไม่ต้องการ แต่ต้องการเพียงน้ำใจ และความเมตตากับเด็ก
ด้านนายพิสิฐ กิตติเจริญฤกษ์ ผู้ปกครอง กล่าวเปิดใจทั้งน้ำตาว่า พวกตนก็ยอมรับว่าผิดพลาด แต่ทุกคนก็มีสิทธิผิดพลาดมาก เรากำลังบอกว่าเด็กเหล่านี้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องหมดสิทธิศึกษาต่อ เด็กหลายคนร่ำเรียนมาแทบตายแต่พลาดครั้งเดียว ผู้ใหญ่ตีตราว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง วันนี้ตนไม่เสียใจที่สู้มาไม่ว่าผลจะออกเป็นอย่างไร แต่สังคมได้รับรู้ว่าสังคมนี้จะตัดสิทธิเด็กด้วยกฎเกณฑ์ ด้วยเมตตาหรือเพียงแค่อีโก้ที่หน่วยงานรัฐผิดไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของการประชุม ได้มอบหมาย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย นัดหมายให้ส.ว.ได้เข้าพบ รมว.ศธ.ในวันที่ 11 ก.พ.เวลา 09.30 น. เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1. ให้ขยายเวลาการชำระเงินออกไป โดยอาจจะให้มีการเสียค่าปรับด้วยก็ได้ 2. ให้เปิดกว้างสำหรับเด็กที่สมัครแล้วทั้ง 2 หมื่นคนไม่ใช่เฉพาะเด็กที่แจ้งความจำนงไว้ 3.ควรทำความเข้าใจกับสังคมว่าการให้สิทธิดังกล่าวไม่กระทบต่อเด็ก 1.9 แสนคนเพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยก ระหว่างเด็ก 2 กลุ่ม