ASTV ผู้จัดการรายวัน – 6 ตลาดหุ้นอาเซียน เล็งจับมือผุดดัชนีใหม่ กระจายน้ำหนักหุ้น หลัง MSCI มีน้ำหนักส่วนใหญ่เป็นหุ้นในสิงคโปร์ คาดเซ็นเอ็มโอยูจัดทำอาเซียนบอร์ด 23 ก.พ.นี้ ก่อนจะเริ่มซื้อขายสิ้นปี หวังดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าลงทุน จากมีขนาดใหญ่ขึ้น-ฝรั่งสะดวกซื้อขาย “นงราม” แจงโบรกเกอร์ไทย 9 แห่ง พร้อมร่วมมือทำการตลาด แนะนำนักลงทุนเทรด
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น 6 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีแผนที่จะจัดทำดัชนีตลาดหุ้นอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดซื้อขายกระดานหุ้นอาเซียน(อาเซียนบอร์ด) เพื่อให้หุ้นแต่ละประเทศมีน้ำหนักในดัชนีดังกล่าวในสัดส่วนที่เท่ากัน เนื่องจาก ดัชนี MSCI ปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่นั้นจะเป็นหุ้นที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ไทยมีน้ำหนักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้ การออกดัชนีใหม่นั้น ยังเป็นการเพิ่มสินค้าใหม่จากที่จะมีผู้นำดัชนีดังกล่าวไปอ้างอิงกับสินค้าเพื่อเสนอขายแก่นักลงทุนต่อไป ซึ่งชื่อดัชนีที่ใช้นั้นยังไม่สามารถสรุปได้ โดยจะต้องมีการหารือร่วมกันก่อน โดยในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ซีอีโอ ซัมมิท ซึ่งจะมีผู้บริหารของตลาดหุ้นอาเซียนมาเซ็นสัญญาความร่วมมือ (MOU)ในการจัดทำอาเซียนบอร์ด หลังจากนั้นจะมีการเลือกผู้จัดทำระบบการซื้อขายให้ และคาดว่าจะเริ่มเปิดการซื้อขายได้ในปลายปีนี้ โดยสำหรับคู่แรกที่จะมีการเปิดการซื้อขายคือ ไทย กับ มาเลเซีย
สำหรับการจัดตั้งกระดานหุ้นอาเซียนบอร์ดนั้นจะส่งผลดีกับหุ้น 6 ประเทศ เพื่อที่จะทำให้หุ้นของประเทศต่างๆมีการซื้อขายที่มากขึ้น จากปัจจุบัน ปัจจุบันประเทศในอาเซียนมีการซื้อขายระหว่างการน้อยมาก ซึ่งหากหุ้นใน 6 ประเทศนั้นมีสภาพคล่องมากขึ้นก็จะดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอาเซียน และอาจจะมีการนำดัชนีไปออกเป็นอีทีเอฟ ในหุ้นอาเซียน หรืออาจจะเป็น อีทีเอฟอาเซียนแบงก์
นางนงราม กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทย จำนวน 9 ราย คือ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บล.บัวหลวง บล.เครดิตสวิส (ประเทศไทย) บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) บล.ซีมิโก้ บล.ทิสโก้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) พร้อมที่จะร่วมมือในการทำการตลาดแนะนำนำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายในกระดานอาเซียนบอร์ด และตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นตัวกลางในการเชิญโบรกเกอร์ทั้ง 6 ประเทศมาทำความรู้จักเพื่อที่จะทำธุรกิจร่วมกันในการซื้อขายบนกระดานอาเซียนบอร์ด
ส่วนหุ้นที่จะนำมาอยู่ในกระดานอาเซียนบอร์ดนั้น จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศจำนวน 30 หุ้น รวมจะมีหุ้นอยู่ในกระดานอาเซียนบอร์ด จำนวน 180 หุ้น ซึ่งประเทศไทยนั้นจะเลือกหุ้นในSET 50 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 30 หุ้น ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ จะนำหุ้นที่มีขนาดใหญ่สุดจำนวน 22 หุ้น แต่อีก 8 บริษัท นั้นจะเป็นหุ้นที่ต่างประเทศรู้จักและมีการซื้อขายในอาเซียน โดยจะมีการแยกกระดานในการซื้อขายหุ้นไทยกับ กระดานซื้อขายหุ้นอาเซียน เพื่อให้มีความชัดเจน
เน้นลดต้นทุนดำเนินงาน
นางนงราม กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของสายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีฯ ว่ามี 4 เรื่อง คือ 1 การลดต้นทุนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯเนื่องจาก การลงทุนหลักของตลาดหลักทรัพย์จะเป็นเรื่องระบบซอฟท์แวร์การดำเนินงาน แต่ยังคงคุณภาพการดำเนินงานไม่ให้ลดลง จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 100% ให้ลดลงเหลือ 90% ในปีนี้ แต่เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2554 จะต้องลดเหลือ 40-50% ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่สำคัญที่จะต้องมีการดำเนินงาน
2.การเพิ่มธุรกรรมในการดำเนินงาน ซึ่งขณะนี้ได้ทำหน้าที่ใหม่คือการเป็นนายทะเบียนให้กับกองทุนซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจมากที่จะให้ตลาดหลักทรัพย์ฯทำหน้าที่ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานจากปัจจุบันที่พนักงาน 1 คน รับทำให้กับ 20 กองทุน ซึ่งจะเพิ่มเป็น 1 คน รับทำให้กับ 30-40 กองทุน 3.การพัฒนาระบบให้นักลงทุนหรือผู้ใช้ระบบ หรือได้ ข้อมูลที่เร็วที่สุด และ4 การบริหารความเสี่ยงจากการดำเนินงานโดยจะพยายามไม่ให้ระบบผิดพลาดให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย
นางนงราม วงษ์วานิช รองผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น 6 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ มีแผนที่จะจัดทำดัชนีตลาดหุ้นอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดซื้อขายกระดานหุ้นอาเซียน(อาเซียนบอร์ด) เพื่อให้หุ้นแต่ละประเทศมีน้ำหนักในดัชนีดังกล่าวในสัดส่วนที่เท่ากัน เนื่องจาก ดัชนี MSCI ปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่นั้นจะเป็นหุ้นที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ ไทยมีน้ำหนักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งนี้ การออกดัชนีใหม่นั้น ยังเป็นการเพิ่มสินค้าใหม่จากที่จะมีผู้นำดัชนีดังกล่าวไปอ้างอิงกับสินค้าเพื่อเสนอขายแก่นักลงทุนต่อไป ซึ่งชื่อดัชนีที่ใช้นั้นยังไม่สามารถสรุปได้ โดยจะต้องมีการหารือร่วมกันก่อน โดยในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ นี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ซีอีโอ ซัมมิท ซึ่งจะมีผู้บริหารของตลาดหุ้นอาเซียนมาเซ็นสัญญาความร่วมมือ (MOU)ในการจัดทำอาเซียนบอร์ด หลังจากนั้นจะมีการเลือกผู้จัดทำระบบการซื้อขายให้ และคาดว่าจะเริ่มเปิดการซื้อขายได้ในปลายปีนี้ โดยสำหรับคู่แรกที่จะมีการเปิดการซื้อขายคือ ไทย กับ มาเลเซีย
สำหรับการจัดตั้งกระดานหุ้นอาเซียนบอร์ดนั้นจะส่งผลดีกับหุ้น 6 ประเทศ เพื่อที่จะทำให้หุ้นของประเทศต่างๆมีการซื้อขายที่มากขึ้น จากปัจจุบัน ปัจจุบันประเทศในอาเซียนมีการซื้อขายระหว่างการน้อยมาก ซึ่งหากหุ้นใน 6 ประเทศนั้นมีสภาพคล่องมากขึ้นก็จะดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอาเซียน และอาจจะมีการนำดัชนีไปออกเป็นอีทีเอฟ ในหุ้นอาเซียน หรืออาจจะเป็น อีทีเอฟอาเซียนแบงก์
นางนงราม กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ไทย จำนวน 9 ราย คือ บล. เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บล.บัวหลวง บล.เครดิตสวิส (ประเทศไทย) บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) บล.ซีมิโก้ บล.ทิสโก้ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) พร้อมที่จะร่วมมือในการทำการตลาดแนะนำนำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายในกระดานอาเซียนบอร์ด และตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นตัวกลางในการเชิญโบรกเกอร์ทั้ง 6 ประเทศมาทำความรู้จักเพื่อที่จะทำธุรกิจร่วมกันในการซื้อขายบนกระดานอาเซียนบอร์ด
ส่วนหุ้นที่จะนำมาอยู่ในกระดานอาเซียนบอร์ดนั้น จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศจำนวน 30 หุ้น รวมจะมีหุ้นอยู่ในกระดานอาเซียนบอร์ด จำนวน 180 หุ้น ซึ่งประเทศไทยนั้นจะเลือกหุ้นในSET 50 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 30 หุ้น ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ จะนำหุ้นที่มีขนาดใหญ่สุดจำนวน 22 หุ้น แต่อีก 8 บริษัท นั้นจะเป็นหุ้นที่ต่างประเทศรู้จักและมีการซื้อขายในอาเซียน โดยจะมีการแยกกระดานในการซื้อขายหุ้นไทยกับ กระดานซื้อขายหุ้นอาเซียน เพื่อให้มีความชัดเจน
เน้นลดต้นทุนดำเนินงาน
นางนงราม กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของสายงานปฏิบัติการและเทคโนโลยีฯ ว่ามี 4 เรื่อง คือ 1 การลดต้นทุนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯเนื่องจาก การลงทุนหลักของตลาดหลักทรัพย์จะเป็นเรื่องระบบซอฟท์แวร์การดำเนินงาน แต่ยังคงคุณภาพการดำเนินงานไม่ให้ลดลง จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 100% ให้ลดลงเหลือ 90% ในปีนี้ แต่เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2554 จะต้องลดเหลือ 40-50% ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่สำคัญที่จะต้องมีการดำเนินงาน
2.การเพิ่มธุรกรรมในการดำเนินงาน ซึ่งขณะนี้ได้ทำหน้าที่ใหม่คือการเป็นนายทะเบียนให้กับกองทุนซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจมากที่จะให้ตลาดหลักทรัพย์ฯทำหน้าที่ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานจากปัจจุบันที่พนักงาน 1 คน รับทำให้กับ 20 กองทุน ซึ่งจะเพิ่มเป็น 1 คน รับทำให้กับ 30-40 กองทุน 3.การพัฒนาระบบให้นักลงทุนหรือผู้ใช้ระบบ หรือได้ ข้อมูลที่เร็วที่สุด และ4 การบริหารความเสี่ยงจากการดำเนินงานโดยจะพยายามไม่ให้ระบบผิดพลาดให้น้อยที่สุดเพื่อไม่ให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย
