แหล่งข่าวจากวงการธุรกิจการค้าเปิดเผยว่า มีข่าวแพร่สะพัดในวงการธุรกิจว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคนหนึ่งถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศ เนื่องจากประกอบธุรกิจที่ไร้ศีลธรรม คล้ายๆ กับกรณีของนายณรงค์ วงศ์วรรณ อดีตนักการเมืองชื่อดังจากภาคเหนือที่ถูกขึ้นบัญชีต้องห้ามเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อสิบปีก่อน
รายงานข่าวกล่าวว่า การที่รัฐมนตรีถูกขึ้นบัญชีห้ามเข้าสหรัฐฯ อาจมีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาได้ เพราะระหว่างนี้สหรัฐอเมริกากล่าวหาไทยหนักขึ้นเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ และให้ไทยอยู่ในบัญชีถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) โดยหวังว่าจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) สินค้าไทย ทำให้นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ และพบกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คนใหม่
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง น่าจะเป็นการดิสเครดิตทางการเมืองมากกว่า เพราะเพิ่งไปต่ออายุหนังสือเดินทางเร็วๆ นี้ เนื่องจากหนังสือเดินทางเล่มเก่าหาย และได้รับการต่อวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริการะยะเวลาสิบปีมาเรียบร้อยแล้ว ถ้าถูกขึ้นบัญชีดำเข้าสหรัฐอเมริกาจริงก็คงไม่ได้รับการต่ออายุวีซ่า เข้าใจดีว่าอยู่ในตำแหน่งนี้ต้องมีคนแทงข้างหลัง แต่ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าวและคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก่อนหน้านี้หอการค้าสหรัฐฯ และทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยก็ได้เข้ามาเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการฯ และตนโดยไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ เชื่อว่าเป็นข่าวลือและเป็นการดิสเครดิตกันมากกว่า
นายอลงกรณ์ชี้แจงถึงการเตรียมการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเดือนมีนาคมนี้ว่า ไม่ได้ไปแทนนางพรทิวา มีการหารือกับนางพรทิวาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเดินทางไปเพื่อแสดงท่าทีเกี่ยวกับการดูแลและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเจรจาขอให้สหรัฐอเมริกาทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) สำหรับสินค้าไทย รวมถึงการเจรจากรณีสหรัฐอเมริกาจะใช้กฎหมายปกป้องซื้อสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะไปพบผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) และดูท่าทีการทำงานรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ด้วย เพราะประเทศไทยก็เพิ่งมีรัฐบาลใหม่เช่นกัน
รายงานข่าวดังกล่าวน่าจะเป็นการดิสเครดิตนางพรทิวา นาคาศัย มากกว่าอย่างอื่น ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความคับแค้นของรัฐบาลก่อน คือ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
นายสมัครพ้นจากตำแหน่งเพราะไปจัดรายการโทรทัศน์แสดงการทำอาหารแล้วรับเงินจากบริษัทผู้จ้างซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนเป็นข้อห้ามเอาไว้ไม่ให้คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีมีผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และเขาเป็นหนึ่งที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เพราะกรรมการบริหารพรรคที่เขาสังกัดและเป็นกรรมการบริหารด้วยทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส.ส.กลุ่มหนึ่งหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล และสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มที่เคยเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลกลายไปเป็นฝ่ายค้าน
ภารกิจที่รับมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังระเหระหนอยู่ต่างประเทศยังไม่สำเร็จ ภารกิจนั้นก็คือการแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวพ้นผิด และถ้าหากสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็เป็นเรื่องวิเศษ
ส่วนเรื่องที่ศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองตัดสินจำคุกเขา 2 ปี หรือยังมีคดีอื่นๆ ที่จะตามมาอีก เป็นต้นว่าออกหวย 2 ตัว 3 ตัว แล้วไม่เอาเงินเข้าคลัง แต่เก็บไว้ใช้เอง การอาศัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและครอบครัวจนมีเป็นแสนล้านบาทนั้น ต้องเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรมกับพ.ต.ท.ทักษิณ มีขบวนการที่พยายามจะล้มล้างอำนาจและอิทธิพลของเขา เพราะเขาเป็นที่รักของประชาชนคนยากคนจน ฯลฯ
ความแค้นไม่ได้เกิดแต่พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น บริษัทบริวารที่จงรักภักดีต่อเขาก็แสดงอาการคับแค้นด้วย ภารกิจเฉพาะหน้าก็คือทำทุกวิถีทางให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มลงให้ได้ งานสภาฯ ต้องไม่ให้ราบรื่นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเสียงของรัฐบาลเพียงปริ่มๆ เท่านั้นเอง นับองค์ประชุมวันละ 2-3 ครั้งก็ต้องนับ ภายในรัฐบาลงานจะได้สะดุด รัฐบาลจะได้พะว้าพะวัง ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอีกเรื่องหนึ่งต้องออกมาเปิดโปงให้ประชาชนรู้ว่ารัฐบาลกำลังแย่ ถังกำลังแตก ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบถึง 4 ซึ่งจะเป็นความเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดกว่าทุกประเทศในโลก
แม้เมื่อจะมีการประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพ บรรดาลูกแหล่งของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกเดินสายไปตามสถานทูตประเทศต่างๆ ของอาเซียนขอร้องและบอกกล่าวไม่ให้เขามาร่วมประชุมกับเราที่เป็นเจ้าภาพ ซึ่งแน่นอนก็ต้องบอกเขาไปว่า ประเทศของเราไม่ดี ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ควรคบหาสมาคมด้วย ฯลฯ
กรณีของนางพรทิวา นาคาศัย นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันคือดิสเครดิต
ไม่เพียงแต่ดิสเครดิตนางพรทิวา นาคาศัย เท่านั้น หากแต่เป็นการดิสเครดิตรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทั้งรัฐบาล เพียงแต่ยังไม่เห็นตัวคนทำเท่านั้นแหละว่าเป็นบริษัทบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณหรือเป็นคนกันเอง พรรคเดียวกันเองที่พลาดตำแหน่งรัฐมนตรี หรือภายในรัฐบาลที่มองเห็นว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นตำแหน่งใหญ่เป็นตำแหน่งสำคัญ สมควรที่จะได้คนที่เหมาะสมกว่านางพรทิวา นาคาศัย มาเป็นรัฐมนตรี
เราก็คงจะเห็นกันแล้วตั้งแต่ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เริ่มก่อตั้ง พอมีข่าวว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คือนางพรทิวา นาคาศัย ผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจสมาคมการค้าต่างก็ร้องโอ๊กกันเป็นแถว เพราะนางพรทิวาไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจการค้ามาก่อน
ที่พอจะอวดอ้างได้บ้างก็เห็นจะเป็นธุรกิจอบ อาบ นวด ของบุพการี ซึ่งผู้คนทั้งหลายทั้งปวงรับรู้ว่าเป็นธุรกิจที่ไร้จริยธรรม
ไร้จริยธรรมยังไงเชื่อว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ย่อมจะพอรู้
เชื่อว่าประชาชนทั้งหลายทั้งปวงเข้าใจดีในข้อจำกัดของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคประชาธิปัตย์เองเคยร้องยี้มาแล้ว กรณีของนางพรทิวาก็เป็นเช่นเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์จำต้องยกเว้น
แต่เป็นข้อยกเว้นที่เกินเหตุ
เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องกำกับดูแลการค้าของประเทศ จะมาบอกว่าทูตการค้าของสหรัฐฯ เข้าพบแล้วไม่เห็นแสดงท่าทีอันใดเห็นจะไม่ได้หรอกครับ ใจคอจะรอให้เขาบอกด้วยหรือว่า ข้าพเจ้ารังเกียจท่าน เพราะท่านทำธุรกิจที่ไร้ศีลธรรม
ก็ถูกแหละครับ รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเป็นข้อห้ามเอาไว้ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหานี้ขึ้นบางครั้งคนเขียนรัฐธรรมนูญก็คิดไปเองว่า นักการเมืองบ้านเราหนังหน้าจะไม่หนาจนเกินเหตุ
เกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พูดอยู่คำเดียวว่า ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกกดดันค่ะ (หรือครับ)
พวกเขาไม่คิดหรอกว่า พวกเขาไม่รู้สึกกดดัน ไม่รู้สึกหน้าชา หรือไม่รู้สึกอะไรเลยนั้น ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศรู้สึกอย่างไร
รายงานข่าวกล่าวว่า การที่รัฐมนตรีถูกขึ้นบัญชีห้ามเข้าสหรัฐฯ อาจมีผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาได้ เพราะระหว่างนี้สหรัฐอเมริกากล่าวหาไทยหนักขึ้นเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ และให้ไทยอยู่ในบัญชีถูกจับตามองเป็นพิเศษ (พีดับเบิลยูแอล) โดยหวังว่าจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (จีเอสพี) สินค้าไทย ทำให้นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องเดินทางไปเจรจากับสหรัฐฯ และพบกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คนใหม่
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง น่าจะเป็นการดิสเครดิตทางการเมืองมากกว่า เพราะเพิ่งไปต่ออายุหนังสือเดินทางเร็วๆ นี้ เนื่องจากหนังสือเดินทางเล่มเก่าหาย และได้รับการต่อวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริการะยะเวลาสิบปีมาเรียบร้อยแล้ว ถ้าถูกขึ้นบัญชีดำเข้าสหรัฐอเมริกาจริงก็คงไม่ได้รับการต่ออายุวีซ่า เข้าใจดีว่าอยู่ในตำแหน่งนี้ต้องมีคนแทงข้างหลัง แต่ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร
นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าวและคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก่อนหน้านี้หอการค้าสหรัฐฯ และทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยก็ได้เข้ามาเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการฯ และตนโดยไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ เชื่อว่าเป็นข่าวลือและเป็นการดิสเครดิตกันมากกว่า
นายอลงกรณ์ชี้แจงถึงการเตรียมการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเดือนมีนาคมนี้ว่า ไม่ได้ไปแทนนางพรทิวา มีการหารือกับนางพรทิวาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเดินทางไปเพื่อแสดงท่าทีเกี่ยวกับการดูแลและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเจรจาขอให้สหรัฐอเมริกาทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) สำหรับสินค้าไทย รวมถึงการเจรจากรณีสหรัฐอเมริกาจะใช้กฎหมายปกป้องซื้อสินค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะไปพบผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (ยูเอสทีอาร์) และดูท่าทีการทำงานรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ด้วย เพราะประเทศไทยก็เพิ่งมีรัฐบาลใหม่เช่นกัน
รายงานข่าวดังกล่าวน่าจะเป็นการดิสเครดิตนางพรทิวา นาคาศัย มากกว่าอย่างอื่น ต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลนี้ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความคับแค้นของรัฐบาลก่อน คือ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
นายสมัครพ้นจากตำแหน่งเพราะไปจัดรายการโทรทัศน์แสดงการทำอาหารแล้วรับเงินจากบริษัทผู้จ้างซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนเป็นข้อห้ามเอาไว้ไม่ให้คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีมีผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และเขาเป็นหนึ่งที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เพราะกรรมการบริหารพรรคที่เขาสังกัดและเป็นกรรมการบริหารด้วยทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ส.ส.กลุ่มหนึ่งหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล และสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กลุ่มที่เคยเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลกลายไปเป็นฝ่ายค้าน
ภารกิจที่รับมาจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังระเหระหนอยู่ต่างประเทศยังไม่สำเร็จ ภารกิจนั้นก็คือการแก้ไขกฎหมาย แก้ไขรัฐธรรมนูญให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวพ้นผิด และถ้าหากสามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็เป็นเรื่องวิเศษ
ส่วนเรื่องที่ศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองตัดสินจำคุกเขา 2 ปี หรือยังมีคดีอื่นๆ ที่จะตามมาอีก เป็นต้นว่าออกหวย 2 ตัว 3 ตัว แล้วไม่เอาเงินเข้าคลัง แต่เก็บไว้ใช้เอง การอาศัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและครอบครัวจนมีเป็นแสนล้านบาทนั้น ต้องเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรมกับพ.ต.ท.ทักษิณ มีขบวนการที่พยายามจะล้มล้างอำนาจและอิทธิพลของเขา เพราะเขาเป็นที่รักของประชาชนคนยากคนจน ฯลฯ
ความแค้นไม่ได้เกิดแต่พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น บริษัทบริวารที่จงรักภักดีต่อเขาก็แสดงอาการคับแค้นด้วย ภารกิจเฉพาะหน้าก็คือทำทุกวิถีทางให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ล้มลงให้ได้ งานสภาฯ ต้องไม่ให้ราบรื่นเพราะรู้อยู่แล้วว่าเสียงของรัฐบาลเพียงปริ่มๆ เท่านั้นเอง นับองค์ประชุมวันละ 2-3 ครั้งก็ต้องนับ ภายในรัฐบาลงานจะได้สะดุด รัฐบาลจะได้พะว้าพะวัง ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอีกเรื่องหนึ่งต้องออกมาเปิดโปงให้ประชาชนรู้ว่ารัฐบาลกำลังแย่ ถังกำลังแตก ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบถึง 4 ซึ่งจะเป็นความเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดกว่าทุกประเทศในโลก
แม้เมื่อจะมีการประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยของเราเป็นเจ้าภาพ บรรดาลูกแหล่งของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ออกเดินสายไปตามสถานทูตประเทศต่างๆ ของอาเซียนขอร้องและบอกกล่าวไม่ให้เขามาร่วมประชุมกับเราที่เป็นเจ้าภาพ ซึ่งแน่นอนก็ต้องบอกเขาไปว่า ประเทศของเราไม่ดี ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ควรคบหาสมาคมด้วย ฯลฯ
กรณีของนางพรทิวา นาคาศัย นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันคือดิสเครดิต
ไม่เพียงแต่ดิสเครดิตนางพรทิวา นาคาศัย เท่านั้น หากแต่เป็นการดิสเครดิตรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทั้งรัฐบาล เพียงแต่ยังไม่เห็นตัวคนทำเท่านั้นแหละว่าเป็นบริษัทบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณหรือเป็นคนกันเอง พรรคเดียวกันเองที่พลาดตำแหน่งรัฐมนตรี หรือภายในรัฐบาลที่มองเห็นว่าตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นตำแหน่งใหญ่เป็นตำแหน่งสำคัญ สมควรที่จะได้คนที่เหมาะสมกว่านางพรทิวา นาคาศัย มาเป็นรัฐมนตรี
เราก็คงจะเห็นกันแล้วตั้งแต่ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เริ่มก่อตั้ง พอมีข่าวว่าผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คือนางพรทิวา นาคาศัย ผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจสมาคมการค้าต่างก็ร้องโอ๊กกันเป็นแถว เพราะนางพรทิวาไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจการค้ามาก่อน
ที่พอจะอวดอ้างได้บ้างก็เห็นจะเป็นธุรกิจอบ อาบ นวด ของบุพการี ซึ่งผู้คนทั้งหลายทั้งปวงรับรู้ว่าเป็นธุรกิจที่ไร้จริยธรรม
ไร้จริยธรรมยังไงเชื่อว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ย่อมจะพอรู้
เชื่อว่าประชาชนทั้งหลายทั้งปวงเข้าใจดีในข้อจำกัดของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องพึ่งพาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคประชาธิปัตย์เองเคยร้องยี้มาแล้ว กรณีของนางพรทิวาก็เป็นเช่นเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์จำต้องยกเว้น
แต่เป็นข้อยกเว้นที่เกินเหตุ
เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้องกำกับดูแลการค้าของประเทศ จะมาบอกว่าทูตการค้าของสหรัฐฯ เข้าพบแล้วไม่เห็นแสดงท่าทีอันใดเห็นจะไม่ได้หรอกครับ ใจคอจะรอให้เขาบอกด้วยหรือว่า ข้าพเจ้ารังเกียจท่าน เพราะท่านทำธุรกิจที่ไร้ศีลธรรม
ก็ถูกแหละครับ รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเป็นข้อห้ามเอาไว้ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดปัญหานี้ขึ้นบางครั้งคนเขียนรัฐธรรมนูญก็คิดไปเองว่า นักการเมืองบ้านเราหนังหน้าจะไม่หนาจนเกินเหตุ
เกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พูดอยู่คำเดียวว่า ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกกดดันค่ะ (หรือครับ)
พวกเขาไม่คิดหรอกว่า พวกเขาไม่รู้สึกกดดัน ไม่รู้สึกหน้าชา หรือไม่รู้สึกอะไรเลยนั้น ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศรู้สึกอย่างไร