ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยซบเซา ประเดิมเดือนมกราคม 52 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวูบเหลือวันละ 10,787 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังทิ้งต่ออีก 4.2 พันล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ คาดการณ์หุ้นไทยซึมยาวทั้งไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่ บล.ไซรัส จับมือ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายฐานลูกค้าซื้อขายหุ้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลอดเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ยังคงถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบต่างๆ ทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หลังบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างประสบปัญหาการขาดทุนจากการประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายปี 2551 จนมีหลายแห่งต้องประกาศปลดคนงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยในประเทศทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจในประเทศเองต่างประสบปัญหาเช่นกัน บวกกับต้องเผชิญปัญหาด้านการเมืองด้วย
จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะค่อนข้างเงียบเหงา ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ล่าสุด (30 ม.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 437.69 จุด ลดลงจากสิ้นปี 51 (449.96 จุด) ถึง 12.27 จุด หรือคิดเป็น 2.73%
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมกราคม 52 อยู่ที่ 10,787.36 ล้านบาท เทียบกับเดือนมกราคมปีก่อนที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 18,936.93 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตลอดปี 51 ที่ผ่านมาที่ 15,869.94 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิรวมกว่า 4,218.90 ล้านบาท
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยนักลงทุนจะต้องติดตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและตลาดหุ้นไทย
ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ที่มีการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรระยะสั้น ด้วยการเข้าไปลงทุนเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 430 จุด และขายเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 430 จุด และแนวต้าน 445 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากไม่มีปัจจัยมาหนุนตลาด โดยนักลงทุนควรจับตาการตั้งธนาคารพิเศษ (แบดแบงก์) เพื่อแยกหนี้เสียออกไปจากธนาคารพาณิชย์ของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โดยมีแนวรับที่ 420-430 จุด และแนวต้านที่ 445-450 จุด
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวน่าจะเป็นแรงกดดันภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยนักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวการจัดตั้งแบดแบงก์ของสหรัฐฯ ตัวเลขการการว่างงาน ตลอดจนการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรอาศัยจังหวะเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างอาจได้รับอานิสงส์จากประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยให้แนวรับอยู่ที่ 420-424 จุด และแนวต้านอยู่ 440-450 จุด
บล.ไซรัสจับมือแบงก์เพิ่มฐานลูกค้า
นางพรพริ้ง สุขสันติสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 1/52 คงจะมีมูลค่าการซื้อขายคงจะไม่หนาแน่นมากนัก แต่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในไตรมาส 2/52 หากรัฐบาลสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและมีสามารถเร่งดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจออกมาได้ โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นควรที่จะมีการลงทุนระยะสั้นเข้าเร็วออกเร็วที่เพื่อลดความเสี่ยง หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ด้านแผนการขยายฐานลูกค้าของบริษัทนั้น นางพรพริ้ง กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเซ็นสัญญากับธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) เพื่อนำนำให้ลูกค้าของธนาคารเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบล.ไซรัส และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัทประกันภัย และบริษัทประกันชีวิตอีก 2-3 ราย เพื่อที่จะเข้ามาแนะนำลูกค้าให้กับทางบริษัท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้บริษัทประกันภัยสามารถแนะนำลูกค้าให้เข้ามาซื้อขายกับบล.ได้
ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถทำให้บริษัทมีฐานนักลงทุนที่มากขึ้น แต่จะเป็นลักษณะทยอยเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขาย ซึ่งจะยังไม่เข้ามาทันทีจากลูกค้าดังกล่าวนั้นเป็นลูกค้าเงินฝาก โดยทางผู้จัดการสาขาของทางธนาคารจะเป็นผู้แนะนำนักลงทุนที่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้กับทางบริษัท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามาเปิดบัญชีในปีนี้ประมาณ 1,000 บัญชี
“จากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับธนาคาร เราจะดูจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก หากลูกค้าฐานเงินต้องการลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนที่แน่นอน เราจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย จำกัด (มหาชน)หรือ SPF ที่การันตีเงินปันผล 0.60 บาท แต่ความจริงจะจ่ายเงินปันผลมากกว่าที่กำหนดไว้ รวมถึงมากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองอื่นๆ”
นางพรพริ้ง กล่าวถึง กรณีที่ทีมเจ้าหน้าที่การตลาดที่ย้ายมาจากบล.ทีเอ็มบี แมคควอรี (ประเทศไทย) ว่า ทีมมาร์เกตติ้งที่ย้ามมามีลูกค้าตามมาด้วย 1,500 บัญชี ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ และคาดว่าจะมีนักลงทุนสถาบันในประเทศทอยอยเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายอีก 1-2 ราย โดยจะสามารถเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันได้ประมาณ 0.3-0.4% และทำให้ส่วนแบ่งการตลาดปีนี้เพิ่มเป็น 1.2%
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลอดเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ยังคงถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบต่างๆ ทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หลังบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างประสบปัญหาการขาดทุนจากการประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายปี 2551 จนมีหลายแห่งต้องประกาศปลดคนงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยในประเทศทั้งเรื่องของภาวะเศรษฐกิจในประเทศเองต่างประสบปัญหาเช่นกัน บวกกับต้องเผชิญปัญหาด้านการเมืองด้วย
จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะค่อนข้างเงียบเหงา ดัชนีตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ล่าสุด (30 ม.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ 437.69 จุด ลดลงจากสิ้นปี 51 (449.96 จุด) ถึง 12.27 จุด หรือคิดเป็น 2.73%
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมกราคม 52 อยู่ที่ 10,787.36 ล้านบาท เทียบกับเดือนมกราคมปีก่อนที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 18,936.93 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยตลอดปี 51 ที่ผ่านมาที่ 15,869.94 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิรวมกว่า 4,218.90 ล้านบาท
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยนักลงทุนจะต้องติดตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและตลาดหุ้นไทย
ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ที่มีการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนเข้าเก็งกำไรระยะสั้น ด้วยการเข้าไปลงทุนเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 430 จุด และขายเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 430 จุด และแนวต้าน 445 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากไม่มีปัจจัยมาหนุนตลาด โดยนักลงทุนควรจับตาการตั้งธนาคารพิเศษ (แบดแบงก์) เพื่อแยกหนี้เสียออกไปจากธนาคารพาณิชย์ของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดี สหรัฐฯ โดยมีแนวรับที่ 420-430 จุด และแนวต้านที่ 445-450 จุด
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวน่าจะเป็นแรงกดดันภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยนักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวการจัดตั้งแบดแบงก์ของสหรัฐฯ ตัวเลขการการว่างงาน ตลอดจนการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนควรอาศัยจังหวะเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างอาจได้รับอานิสงส์จากประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยให้แนวรับอยู่ที่ 420-424 จุด และแนวต้านอยู่ 440-450 จุด
บล.ไซรัสจับมือแบงก์เพิ่มฐานลูกค้า
นางพรพริ้ง สุขสันติสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 1/52 คงจะมีมูลค่าการซื้อขายคงจะไม่หนาแน่นมากนัก แต่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในไตรมาส 2/52 หากรัฐบาลสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและมีสามารถเร่งดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจออกมาได้ โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นนั้นควรที่จะมีการลงทุนระยะสั้นเข้าเร็วออกเร็วที่เพื่อลดความเสี่ยง หรือเลือกลงทุนในหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ด้านแผนการขยายฐานลูกค้าของบริษัทนั้น นางพรพริ้ง กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเซ็นสัญญากับธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) เพื่อนำนำให้ลูกค้าของธนาคารเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบล.ไซรัส และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัทประกันภัย และบริษัทประกันชีวิตอีก 2-3 ราย เพื่อที่จะเข้ามาแนะนำลูกค้าให้กับทางบริษัท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้บริษัทประกันภัยสามารถแนะนำลูกค้าให้เข้ามาซื้อขายกับบล.ได้
ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าวจะสามารถทำให้บริษัทมีฐานนักลงทุนที่มากขึ้น แต่จะเป็นลักษณะทยอยเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขาย ซึ่งจะยังไม่เข้ามาทันทีจากลูกค้าดังกล่าวนั้นเป็นลูกค้าเงินฝาก โดยทางผู้จัดการสาขาของทางธนาคารจะเป็นผู้แนะนำนักลงทุนที่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้กับทางบริษัท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามาเปิดบัญชีในปีนี้ประมาณ 1,000 บัญชี
“จากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับธนาคาร เราจะดูจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก หากลูกค้าฐานเงินต้องการลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนที่แน่นอน เราจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย จำกัด (มหาชน)หรือ SPF ที่การันตีเงินปันผล 0.60 บาท แต่ความจริงจะจ่ายเงินปันผลมากกว่าที่กำหนดไว้ รวมถึงมากกว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองอื่นๆ”
นางพรพริ้ง กล่าวถึง กรณีที่ทีมเจ้าหน้าที่การตลาดที่ย้ายมาจากบล.ทีเอ็มบี แมคควอรี (ประเทศไทย) ว่า ทีมมาร์เกตติ้งที่ย้ามมามีลูกค้าตามมาด้วย 1,500 บัญชี ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ และคาดว่าจะมีนักลงทุนสถาบันในประเทศทอยอยเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายอีก 1-2 ราย โดยจะสามารถเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันได้ประมาณ 0.3-0.4% และทำให้ส่วนแบ่งการตลาดปีนี้เพิ่มเป็น 1.2%