“พาณิชย์” คุมค้าปลีกไม่สำเร็จ กรมการค้าภายในถูกบีบให้ถอนวาระออกจากการพิจารณาของ กกร. ให้เหตุผลพิลึกต้องรอถกทุกฝ่ายก่อน ทั้งๆที่ขั้นตอนปกติสามารถเสนอคุมได้เลย หากเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย วงในแฉถูกยักษ์ค้าปลีกล๊อบบี้จนต้องใส่เกียร์ถอย พร้อมยัด 4 สินค้าเข้าบัญชีควบคุมตามคาด ทั้งกาแฟงผง แป้งสาลี ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เตรียมเสนอครม.ไฟเขียว 3 ก.พ.นี้
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน วานนี้ (30 ม.ค.) ว่า กรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการกกร. ได้ขอถอนวาระการเสนอให้ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งเป็นสินค้าและบริการในบัญชีควบคุมภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เนื่องจากยังมีเสียงท้วงติงจากภายนอกว่าอยากให้มีการหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะเสนอเป็นบริการควบคุม
“มีคนท้วงติงว่าทำไมอยู่ดีๆ เอาเข้ามาเป็นสินค้าบริการควบคุม เลยอยากให้คุยกันก่อน เพราะมีผลต่อค้าปลีกค้าส่งทั่วไป แต่ความตั้งใจของกรมฯ ต้องการดูแลเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น ไม่ได้คุมไปถึงร้านสะดวกซื้อ ดีพาร์เม้นท์สโตร์ หรือแม้กระทั่งโชห่วย ก็คงต้องมีการทำความเข้าใจกันก่อน”นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ที่อยู่ในข่ายควบคุมตามวาระการเสนอให้เป็นบริการควบคุม ได้แก่ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ และแมคโคร
นายยรรยง กล่าวว่า สาเหตุที่กรมการค้าภายในต้องการเสนอให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเข้ามาอยู่ในบัญชีบริการความคุม เนื่องจากว่ามูลค่าการค้าในธุรกิจค้าปลีกมีประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการจำนวนมากและเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคจำนวนมาก เกรงว่าหากไม่มีการจัดระเบียบการค้าให้เป็นธรรม อาจจะกระทบต่อผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกัน มาตรการที่ใช้ดูแลธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันเริ่มมีความหย่อนยานลงไปบ้าง
ขณะที่นางพรทิวา กล่าวว่า เรื่องค้าปลีกเป็นปัญหาใหญ่ จะต้องดูอย่างรอบคอบ และกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการตามที่รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายเอาไว้ว่ารายเล็ก รายใหญ่จะต้องอยู่ร่วมกันได้ ส่วนจะผลักดันร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทันในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะการออกกฎหมายต้องผ่านขั้นตอนของรัฐสภา แต่ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.ยังมีมติกำหนดให้ 4 สินค้าเข้ามาอยู่ในบัญชีควบคุม ได้แก่ กาแฟผงสำเร็จรูป เนื่องจากราคาวัตถุดิบยังมีความผันผวน แป้งสาลี ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสำเร็จรูปหลายรายการและอาหารสำเร็จรูปยังมีราคาสูง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ เนื่องจากรัฐบาลกำลังเปิดโครงการรับจำนำ ประกอบกับมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เกรงว่าอาจจะมีการนำเข้ามาสวมสิทธิ์ในโครงการรับจำนำ ทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์ โดยจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 3 ก.พ.นี้
นอกจากนี้ กกร.ได้มีมติถอดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ออกจากการเป็นสินค้าควบคุม จากที่ก่อนหน้านี้กำหนดให้ควบคุมเพื่อป้องกันปัญหาหลอกลวงนักท่องเที่ยว แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติตามแนวที่กำหนดได้ เพราะเป็นอุปสรรคต่อการค้า จึงทำให้ขณะนี้มีสินค้าในบัญชีควบคุม 38 รายการ และสินค้าบริการควบคุม 1 รายการ รวมเป็น 39 รายการ ขณะเดียวกัน ได้มีมติให้สินค้าจำนวน 232 รายการ และบริการ 47 รายการ และสินค้าเกษตรจำนวน 37 รายการ ต้องปิดป้ายแสดงราคาต่อไป
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า เป็นไปตามที่คาดหมายกันเอาไว้ว่าจะถูกยักษ์ค้าปลีกกระทำการล๊อบบี้เพื่อไม่ให้กกร.มีการพิจารณาในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ปกติการพิจารณานำสินค้าและบริการเข้าสู่บัญชีควบคุม จะไม่มีการดำเนินการหารือกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียก่อน หากเห็นว่าการควบคุมจะส่งดีต่อทุกภาคส่วน ก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยในที่ประชุมกกร. หากตัวประธานเสนอขอให้ถอนวาระออก ก็จะทำให้ถูกมองว่าเป็นการเข้าข้างค้าปลีกรายใหญ่ จึงได้ขอให้ฝ่ายเลขานุการกกร. เป็นผู้เสนอถอนวาระออกไปเอง
สาเหตุที่ยักษ์ค้าปลีกไม่ต้องการให้มีการนำเข้าเป็นบริการควบคุม แม้ว่ามาตรการจะไม่ได้มีความเข้มงวดอะไร เพราะกำหนดให้เพียงแค่แจ้งแผนการขยายสาขาก่อนที่จะทำการขยายสาขาเท่านั้น ซึ่งจุดนี้กลับเป็นสิ่งที่ยักษ์ค้าปลีกกังวล เนื่องจากทำให้ภาครัฐรู้ความเคลื่อนไหวล่วงหน้า และอาจจะกระทบต่อแผนการขยายสาขาได้
ในทางกลับกัน กระทรวงพาณิชย์ยังเห็นว่า หากมีการอนุมัติให้เป็นบริการควบคุมแล้ว ก็อาจจะถูกล๊อบบี้ในขั้นตอนการเสนอให้ครม.พิจารณา เพราะอาจจะถูกท้วงติงจากครม.ได้ว่าทำไมถึงต้องนำเป็นบริการควบคุม จึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนก่อน เพราะที่ผ่านมา หากกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องค้าปลีก ก็จะประสบปัญหาหรือติดขัดทุกครั้ง จากการถูกล๊อบบี้ในหลายๆ ระดับ
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มีนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน วานนี้ (30 ม.ค.) ว่า กรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการกกร. ได้ขอถอนวาระการเสนอให้ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งเป็นสินค้าและบริการในบัญชีควบคุมภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เนื่องจากยังมีเสียงท้วงติงจากภายนอกว่าอยากให้มีการหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะเสนอเป็นบริการควบคุม
“มีคนท้วงติงว่าทำไมอยู่ดีๆ เอาเข้ามาเป็นสินค้าบริการควบคุม เลยอยากให้คุยกันก่อน เพราะมีผลต่อค้าปลีกค้าส่งทั่วไป แต่ความตั้งใจของกรมฯ ต้องการดูแลเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น ไม่ได้คุมไปถึงร้านสะดวกซื้อ ดีพาร์เม้นท์สโตร์ หรือแม้กระทั่งโชห่วย ก็คงต้องมีการทำความเข้าใจกันก่อน”นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกค้าส่งรายใหญ่ที่อยู่ในข่ายควบคุมตามวาระการเสนอให้เป็นบริการควบคุม ได้แก่ เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ และแมคโคร
นายยรรยง กล่าวว่า สาเหตุที่กรมการค้าภายในต้องการเสนอให้ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเข้ามาอยู่ในบัญชีบริการความคุม เนื่องจากว่ามูลค่าการค้าในธุรกิจค้าปลีกมีประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท มีผู้ประกอบการจำนวนมากและเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคจำนวนมาก เกรงว่าหากไม่มีการจัดระเบียบการค้าให้เป็นธรรม อาจจะกระทบต่อผู้บริโภคได้ ขณะเดียวกัน มาตรการที่ใช้ดูแลธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันเริ่มมีความหย่อนยานลงไปบ้าง
ขณะที่นางพรทิวา กล่าวว่า เรื่องค้าปลีกเป็นปัญหาใหญ่ จะต้องดูอย่างรอบคอบ และกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการตามที่รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายเอาไว้ว่ารายเล็ก รายใหญ่จะต้องอยู่ร่วมกันได้ ส่วนจะผลักดันร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งทันในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ ยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะการออกกฎหมายต้องผ่านขั้นตอนของรัฐสภา แต่ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร.ยังมีมติกำหนดให้ 4 สินค้าเข้ามาอยู่ในบัญชีควบคุม ได้แก่ กาแฟผงสำเร็จรูป เนื่องจากราคาวัตถุดิบยังมีความผันผวน แป้งสาลี ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสำเร็จรูปหลายรายการและอาหารสำเร็จรูปยังมีราคาสูง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ เนื่องจากรัฐบาลกำลังเปิดโครงการรับจำนำ ประกอบกับมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เกรงว่าอาจจะมีการนำเข้ามาสวมสิทธิ์ในโครงการรับจำนำ ทำให้เกษตรกรเสียประโยชน์ โดยจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 3 ก.พ.นี้
นอกจากนี้ กกร.ได้มีมติถอดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ออกจากการเป็นสินค้าควบคุม จากที่ก่อนหน้านี้กำหนดให้ควบคุมเพื่อป้องกันปัญหาหลอกลวงนักท่องเที่ยว แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติตามแนวที่กำหนดได้ เพราะเป็นอุปสรรคต่อการค้า จึงทำให้ขณะนี้มีสินค้าในบัญชีควบคุม 38 รายการ และสินค้าบริการควบคุม 1 รายการ รวมเป็น 39 รายการ ขณะเดียวกัน ได้มีมติให้สินค้าจำนวน 232 รายการ และบริการ 47 รายการ และสินค้าเกษตรจำนวน 37 รายการ ต้องปิดป้ายแสดงราคาต่อไป
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า เป็นไปตามที่คาดหมายกันเอาไว้ว่าจะถูกยักษ์ค้าปลีกกระทำการล๊อบบี้เพื่อไม่ให้กกร.มีการพิจารณาในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ปกติการพิจารณานำสินค้าและบริการเข้าสู่บัญชีควบคุม จะไม่มีการดำเนินการหารือกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียก่อน หากเห็นว่าการควบคุมจะส่งดีต่อทุกภาคส่วน ก็สามารถดำเนินการได้ทันที โดยในที่ประชุมกกร. หากตัวประธานเสนอขอให้ถอนวาระออก ก็จะทำให้ถูกมองว่าเป็นการเข้าข้างค้าปลีกรายใหญ่ จึงได้ขอให้ฝ่ายเลขานุการกกร. เป็นผู้เสนอถอนวาระออกไปเอง
สาเหตุที่ยักษ์ค้าปลีกไม่ต้องการให้มีการนำเข้าเป็นบริการควบคุม แม้ว่ามาตรการจะไม่ได้มีความเข้มงวดอะไร เพราะกำหนดให้เพียงแค่แจ้งแผนการขยายสาขาก่อนที่จะทำการขยายสาขาเท่านั้น ซึ่งจุดนี้กลับเป็นสิ่งที่ยักษ์ค้าปลีกกังวล เนื่องจากทำให้ภาครัฐรู้ความเคลื่อนไหวล่วงหน้า และอาจจะกระทบต่อแผนการขยายสาขาได้
ในทางกลับกัน กระทรวงพาณิชย์ยังเห็นว่า หากมีการอนุมัติให้เป็นบริการควบคุมแล้ว ก็อาจจะถูกล๊อบบี้ในขั้นตอนการเสนอให้ครม.พิจารณา เพราะอาจจะถูกท้วงติงจากครม.ได้ว่าทำไมถึงต้องนำเป็นบริการควบคุม จึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจนก่อน เพราะที่ผ่านมา หากกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องค้าปลีก ก็จะประสบปัญหาหรือติดขัดทุกครั้ง จากการถูกล๊อบบี้ในหลายๆ ระดับ