xs
xsm
sm
md
lg

จี้แบงก์เลิกโขกดอกเบี้ย - "กรณ์-ปั้น"วิวาทะสเปรด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ขุนคลังปะทะนายแบงก์ เรียกร้องลดส่วนต่างดอกเบี้ยเลิกเอาเปรียบประชาชน "เสี่ยปั้น" ให้คลังไปจับเข่าคุยแบงก์ชาติ อย่าต่างคนต่างพูดผ่านสื่อ บอกต้องใช้กลไกแบงก์รัฐ "กรณ์" สวนที่ผ่านมาแบงก์ของรัฐรับภาระตลอด แต่ไม่มีกำลังพอ แบงก์เอกชนต้องเสียสละบ้าง เพราะสุดท้ายลูกค้าจะได้ชำระหนี้ให้แบงก์อยู่รอด "วิโรจน์" ชำแหละที่มาส่วนต่างดอกเบี้ยถ่าง พบขูดรีดสูงถึง 5% เหตุเอาต้นทุนนำส่งกองทุนฟื้นฟูกับค่าบริหารหนี้เสียมาหักดอกเบี้ยฝาก-โปะดอกเบี้ยกู้ แนะเลิกโยนความรับผิดชอบของแบงก์ให้ลูกค้า

วานนี้ (22 ม.ค.) ในงานTHAILAND ICT EXCELLENCE AWARDS 200 ที่ รร.เซ็นทารา แกรนด์ นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ปาถกฐาพิเศษ หัวข้อ Crisis is Opportunity พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วยการประยุกต์ใช้ ICT

นายบัณฑูรกล่าวถึงปัญหาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (สเปรด) ของธนาคารพาณิชย์ที่ค่อนข้างสูงในขณะนี้ว่า เป็นเรื่องของภาครัฐที่จะต้องไปคิดว่าจะแก้อย่างไร และต้องคิดด้วยว่าดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับธุรกิจในขณะนี้อยู่ที่เท่าไหร่ หากภาครัฐเห็นว่าปัจจุบันไม่เหมาะสม ก็ควรจะมีวิธีการจัดการ เช่น 1.ใช้ธนาคารของรัฐนำทางลดดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก แล้วดูว่าตลาดจะตามหรือไม่ เพราะทุกสถาบันต้องการปกป้องลูกค้าเงินฝากและลูกค้าเงินกู้ที่ดีของตัวเอง แต่ถ้าโดนกดดันจากธนาคารรัฐอาจจะสามารถดึงตัวเลขลงไปได้ ปัญหาก็คือปัจจุบันในทุกตลาดที่ใช้ระบบเสรีอยู่ และเมื่อระบบมีปัญหาก็ต้องมีรัฐเข้ามาดู ซึ่งแล้วแต่ประเทศจะเลือกวิธีไหน

2.กำหนดราคาอัตราดอกเบี้ย เช่น ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินกู้ต้องเท่านี้ แต่กรณีต้องคิดให้ดีเพราะจะเข้ามาเกี่ยวข้องกลไกของตลาดและระบบการบริหารความเสี่ยง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ผลักดันมาตลอด แต่การควบคุมระบบการเงินและระบบการปล่อยสินเชื่อ ควรจะสอดคล้องกัน

อย่างไรก็ตาม ธปท.กับกระทรวงการคลัง น่าจะมีการมานั่งหารือกัน ไม่ใช่ต่างคนออกมาพูดผ่านสื่อ ควรมาหารือกันเพื่อหาทิศทางแนวทางวิเคราะห์ดูว่ามาตรการไหน มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง ส่วนธนาคารก็หน้าที่ที่เสนอความคิดเห็น แต่ท้ายที่สุด ธปท.จะต้องดูแทนระบบสถาบันการเงินว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะมาตรการมีความเสี่ยงตามมาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงิน ภาคตลาดหุ้น ตลาดทุน ซึ่งในส่วนของธนาคารก็พร้อมจะปฏิบัติตามมาตรการอยู่แล้ว

"โจทย์นี้ทั้งคลังและ ธปท.ต้องถกกันว่าความเหมาะสมของราคาในระบบควรจะอยู่ตรงไหน ซึ่งระบบเสรีไม่ใช่คำตอบเสมอไป อย่างไรก็ตามต้องคิดโจทย์ให้ดีว่าจะแทรกแซงตรงไหน และต้องแทรกแซงให้ดี ไม่ใช่โต้กันทางหน้าหนังสือพิมพ์" นายบัณฑูรกล่าวและว่า สำหรับเป้าสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยในปีนี้ ตั้งไว้ที่ 5% ก็ไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงมีการบริหารความเสี่ยงอยู่

เขาย้ำเรื่องของสภาพคล่องในขณะนี้ว่า ไม่ได้เป็นปัญหากับประเทศไทย ไม่เหมือนกับช่วงปี 2540 สาเหตุที่ตอนนี้ธุรกิจไม่มีสภาพคล่อง เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยกู้ เพราะมุ่งแต่จะแก้ปัญหาขององค์กรไม่ให้ล่มสลายอย่างเดียว ซึ่งเกิดจากบทเรียนในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจคราวก่อน ทำให้ระบบสถาบันการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้น แล้วก็เป็นส่วนที่ทำให้ภาคสถาบันการเงินของไทยในรอบนี้ไม่ล่มสลาย ส่วนการที่มีสถาบันการเงินบางแห่งต้องเพิ่มทุนบ้าง ก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการขาดสภาพคล่อง แต่เป็นการเพิ่มทุนเพื่อป้องกันปัญหาไว้ก่อน

**แนะทางรอดภาคส่งออก

นายบัณฑูรกล่าวว่า จากสภาวะแวดล้อมในขณะนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าภาคการส่งออกทั่วโลกมีปัญหา ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของคนใดคนหนึ่ง เศรษฐกิจโลกมีขึ้นมีลง ลำบากด้วยกันทุกประเทศ ยกเว้นประเทศน้ำมัน แต่วิกฤติครั้งนี้มีเรื่องดีใจอยู่ 2 เรื่องคือ 1.ไทยไม่ถึงกับระเบิดเหมือนปี 2540 ที่นำโดยสถาบันการเงินทำให้เกิดวิกฤตหนักจริงๆ แต่ตอนนี้มีบทเรียนมาแล้ว 2.พิสูจน์ได้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครเก่งจริง ที่ล่มกันก็เป็นประเทศที่มีมันสมองของคนเก่งซีกโลกตะวันออก

สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องทำมีอยู่ 2 อย่างคือ 1.มีนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา เพื่อสนองความต้องการของตลาดและลูกค้า และ2.การดูแลต้นทุนทำ ต้องมีวิธีที่ทำอย่างไรไม่ให้ทุนท่วมหัว ทุกบริษัทมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ยิ่งถ้าปล่อยตามแรงเฉื่อยก็จะหนัก ต้องลุกมาปรับเปลี่ยนสร้างวินัยใหม่ๆ ซึ่งหากจัดการ 2 ส่วนนี้ได้ก็จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้

นายบัณฑูรชี้ว่า โจทย์ของรัฐบาลในทุกประเทศไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ คือเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งการจับเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นสิ่งแรกถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว โดยส่วนของประเทศไทยถือว่าโชคดีจากวิกฤตครั้งนี้ที่ไม่ถึงกับระเบิด แต่อย่างไรก็ตามทั้งโลกต้องมีการผลักดันพร้อมกันให้เกิดการค้าระหว่างประเทศ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะช่วงนี้ก็อยู่ในภาวะซบเซากันทั้งนั้น

"มาตรการต่างๆของรัฐนั้นไปในทิศทางถูก แต่รายละเอียดของแต่ละมาตรการก็จะมีคนชมและติต่างกันไป ปัญหาก็คือโจทย์เศรษฐกิจที่เป็นสีเทาๆไม่ใช่ขาว-ดำ ที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งคงไม่สามารถที่จะรับประกันผลได้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ด้านการส่งออกเอเชียก็แย่ไม่ใช่แค่เรา และไม่ได้เป็นความผิดของใคร เพราะตอนนี้กำลังซื้อมันหมด โลกหยุดค้าขายซีกโลกตะวันตกกำลังซื้อหดไป อันนี้ก็หวังว่าจะแก้ไขได้ไม่ช้าเกินไป" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าว

**กรณ์ปลุกสำนึกแบงก์ทำเพื่อลูกค้า

นายกรณ์กล่าวกรณีที่นายบัณฑูรเสนอให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นผู้นำลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ว่า ที่ผ่านมาสถาบันการเงินของรัฐก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่เป็นของธนาคารพาณิชย์ การริเริ่มหลักจึงควรมาจากธนาคารพาณิชย์เอง ที่ผ่านมาภาครัฐเองก็ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการที่ธนาคารพาณิชย์ควรปรับลดสัดส่วนระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝากลงเพื่อลดต้นทุนเอกชนภาคการผลิต ซึ่งนายธนาคารก็ออกมาขานรับแนวคิดนี้ เนื่องจากที่สุดแล้วผลสุดท้ายผู้ได้ประโยชน์คือลูกค้าของธนาคารที่สามารถลดรายจ่ายเงินกู้ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของผู้ประกอบการ และจะส่งผลให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ มีการชำระหนี้ต่อเนื่องต่อไป

ส่วนกรณีผลประกอบการหลายธนาคารยังมีกำไรหลายหมื่นล้านบาทนั้น นายกรณ์ระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของตนจะไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร

สำหรับผลประกอบการปี 2551 ของธนาคารพาณิชย์ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ 11 แห่ง ปรากฎว่า มีกำไรสุทธิ 8 หมื่นล้าน หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1,458% ธนาคารที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมากสุดเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์คือ ธนาคารหลวงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ตามลำดับ ส่วนธนาคารกสิกรไทยกำไรทั้งสิ้น 1.5 หมื่นล้านบาท

ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.75% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7%

**วิโรจน์ชำแหละแบงก์ขูดรีด

นายวิโรจน์ นวลแข อดีตประธานกรรมการบริหาร บล.ภัทร และอดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวถึงระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันว่า มีการเอาเปรียบลูกค้าทั้งลูกค้าเงินฝากและลูกค้าเงินกู้ เห็นได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยหรือสเปรดที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ โดยปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5% สูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศอาเซียน เป็นรองแค่อินโดนีเซียเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ไทยอ้างว่าได้ส่วนต่างดอกเบี้ยแค่ 2.5% เท่านั้น อีก 2.5% ที่เหลือเป็นต้นทุนการบริหารงาน เรื่องดังกล่าว ตนถือว่าไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะธนาคารไม่จูงใจให้ผู้ฝากเกิดการออม ส่วนผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพง

"ต้นทุนการบริหารงานในความหมายของแบงก์คือการรวมเอาเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู 0.4% กับค่าบริหารหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) อีก 0.8-1.0% การนำสองส่วนนี้มารีดจากดอกเบี้ยถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะสองส่วนดังกล่าวโดยเฉพาะค่าบริหารเอ็นพีแอลถือเป็นความรับผิดชอบของแบงก์ หากเกิดหนี้เสียสิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มทุน แต่แบงก์ไม่ยอมเพิ่มทุน" นายวิโรจน์กล่าวและว่า หากธนาคารไม่นำเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู กับค่าบริหารหนี้เสียมารวมเป็นต้นทุน ดอกเบี้ยลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันลงได้ประมาณ 0.5% ส่วนผู้ฝากเงินก็จะได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.4%

**หนุนมาตรการรัฐมาถูกทาง

นายวิโรจน์ ยังกล่าวสนับสนุนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยให้ความเห็นว่ามาตรการที่ออกมาน่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ตรงจุด รูปแบบอาจจะแตกต่างจากสมัยวิกฤตต้มยำกุ้งที่ทางการเลือกวิธีใส่เงินผ่านธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ครั้งนี้เป็นการใส่เงินในมือประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายโดยตรง เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ

"วิกฤตครั้งก่อนถือว่าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เห็นได้จากปัจจุบันแบงก์และตลาดหุ้นยังไม่ฟื้นไข้ รัฐบาลจึงเลือกรูปแบบการกระจายเงินสู่ให้หลายๆ กลุ่ม โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย การใช้เงิน 2,000 บาทต่อราย รัฐบาลต้องการให้นำไปซื้อข้าวของ หากให้คราวละมากๆ เงินส่วนนี้อาจถูกเก็บ การกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เกิด" นายวิโรจน์กล่าวและว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์โดยใช้การลดหย่อนภาษีจะทำให้เป้าหมายโอนที่อยู่อาศัย 100,000 ยูนิต มีความเป็นไปได้
กำลังโหลดความคิดเห็น