xs
xsm
sm
md
lg

แพรนด้าฯรายได้ติดลบในรอบ36ปี ยังดีได้ตลาดจีน-อินเดียช่วยประคอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "แพรนด้า จิวเวลรี่"เจอพิษซับไพร์มฉุดรายได้ปีนี้ติดลบ 5% เป็นครั้งแรกในรอบ 36 ปี โชคดีมีตลาดอินเดีย-จีน
ช่วยพยุงไม่ให้รายได้ตกมากกว่านี้ มั่นใจปีหน้ารายได้กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น

นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้ปีนี้ขยายตัวติดลบต่ำกว่าปีที่แล้ว 5% นับเป็นครั้งแรกในรอบ 36ปีตั้งแต่ก่อตั้งที่บริษัทที่มีผลประกอบการติดลบ เป็นผลมาจากวิกฤตซับไพร์มและการล้มเหลวของสถาบันการเงินในสหรัฐฯและยุโรป ส่งผลต่อกำลังซื้ออัญมณีและเครื่องประดับในตลาดโลกลดลง

ซึ่งคำสั่งซื้อเครื่องประดับของแพรนด้าฯในช่วงม.ค.นี้ พบว่าลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เชื่อว่าไตรมาสแรกนี้ รายได้รวมลดลง 5%เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนการหาตลาดใหม่ บริษัทได้เจาะตลาดใหม่มาโดยตลอด โดยยอมรับว่าวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯ ส่งผลให้รายได้จากตลาดนี้ลดลง โชคดีรายได้จากตลาดจีนและอินเดียเข้ามาช่วยชดเชย มิฉะนั้นรายได้บริษัทฯทั้งปี 2552 จะหดตัวลงมากกว่านี้

ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายเครื่องประดับในจีนไว้ที่ 3.29 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน ส่วนตลาดอินเดียมีเป้ายอดขายไว้ 6.26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 300% ทำให้โครงสร้างรายได้รวมของแพรนด้าฯมาจากตลาดสหรัฐฯ
35% และตลาดอียู 35% ลดลงเหลือ 30%และ 30% ตามลำดับ เว้นอินเดียและจีนเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 7-8%

"ตลาดจีนและอินเดียเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก ซึ่งปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในการทำตลาดทั้งสองมากขึ้น ส่วนตลาดรันสเซียก็เติบโตดี แต่ขาดศักยภาพ "

นายปรีดา กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนลงทุนเพื่อขยายงาน เว้นแต่การลงทุนด้านการตลาดที่ใช้เงินไม่มาก เช่นการเปิดร้านจำหน่ายเครื่องประดับในจีนเพิ่ม และการทำตลาดขายเครื่องประดับผ่านร้านค้าในอินเดีย ซึ่งในปลายปีนี้บริษัทมีแผนจะตั้งโรงงานผลิตเครื่องประดับขนาดเล็กในอินเดีย ใช้แรงงาน 20-30 คน เพื่อเป็นการบริหารหลังการขาย เนื่องจากบริษัทฯจำหน่ายเครื่องประดับในอินเดียค่อนข้างมาก แม้ว่าปีนี้รายได้แพรนด้าฯจะลดลง แต่บริษัทฯไม่มีนโยบายที่ปลดพนักงานประจำออก เนื่องจากพนักงานเป็นบุคคลากรที่คุณค่า แต่บริษัทฯได้ให้นโยบายผู้บริหารฝ่ายผลิตว่าจะไม่มีการจ่ายเงินค่าล่วงเวลา (โอที) ซึ่งที่ผ่านมาค่าโอทีค่อนข้างสูง และไม่มีการรับพนักงานใหม่ รวมทั้งลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆลงมา 10-15%

ก่อนหน้านี้ สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อเดือนม.ค.นี้ โดยคาดว่าการส่งออกปี 2551 ประมาณ 2.6 แสนล้านบาท ไตรมาสแรกปีนี้จะมีอัตราการเติบโตติดลบ 20-30 % แต่ยอดส่งออกทั้งปีจะขยายตัวลดลง 5% จำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งช่วยเหลืออุตสาหกรรมนี้ทั้งด้านวัตถุดิบและภาษี เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบเกือบ 90% การสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งการลดดอัตราดอกเบี้ยMLR -3% และมีงบประมาณเพื่อการฝึกอบรมด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น