ASTVผู้จัดการรายวัน – เมล็ดข้าวสารหลากสี ทั้งเขียว เหลือง แดง และม่วง ตรา “B-Herbs” (บี-เฮิร์บส์) คือ นวัตกรรมใหม่จากสมองคนไทย คิดค้นสูตรพิเศษนำสมุนไพรเคลือบลงบนเมล็ดข้าวสาร สร้างมิติใหม่ให้ข้าวสาร ได้ทั้งความอร่อยและสารอาหารสูง และที่สำคัญ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ข้าวสารมากกว่าที่เคยเป็นมา
วิชัย พจนสุวรรณกุล หนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง บริษัท บางกอกตลาดข้าวไทย จำกัด ซึ่งบุกเบิกผลิตภัณฑ์บี-เฮิรปส์ เล่าถึงแนวความคิดในการเพิ่มค่าข้าวสาร เกิดจากเห็นว่า แม้ข้าวจะเป็นอาหารหลักของคนไทย ทว่า คนส่วนใหญ่นิยมกินข้าวขาว ซึ่งผ่านกระบวนการขัดสีจนเหลือคุณค่าทางโภชนาการน้อย ขณะที่ข้าวกล้องแม้จะอุดมด้วยประโยชน์ กลับมีจุดอ่อน รสชาติไม่อร่อยนัก
เพื่อจะแก้ปมดังกล่าว จึงอยากนำสมุนไพรที่ทุกคนรู้ดีถึงสรรพคุณมาเคลือบลงข้าวสาร เพื่อให้ได้ข้าวที่ทั้งอร่อยมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสมุนไพร แถมยังเต็มเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์
วิชัย เล่าต่อว่า บริษัทฯ ได้ทำโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ “บี-เฮิร์บส์” ใช้เวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 1 ปี ซึ่งได้จดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่เครื่องจักรในการผลิตคิดค้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นอกจากนั้น ใช้เวลาอีก 1.5 ปี สำหรับวิจัยตลาดก่อนจะวางตลาดจริง เมื่อราวปี พ.ศ. 2549
สำหรับสมุนไพรที่นำมาสกัด เน้นพืชที่ชาวเอเชียรู้จักคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เพื่อง่ายต่อการทำตลาด อีกทั้ง คัดเฉพาะปลูกโดยปลอดสารพิษ มีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ กระเทียม กระเจี๊ยบ ขมิ้นชัน พลิก อัญชัน ใบเตย และชาเขียว โดยเทคนิคที่ใช้เคลือบ คือ สกัดสมุนไพรออกมาในรูปของน้ำมัน แล้วนำไปเคลือบลงเมล็ดข้าวสาร ซึ่งจะทำให้เมล็ดข้าวมีสีสันต่างๆ ตามสารสกัดจากพืชแต่ละชนิด อีกทั้ง ได้ประโยชน์จากสมุนไพรด้วย เช่น สีเหลืองสกัดจากขมิ้นชัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ สีแดงจากกระเจี๊ยบ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดลดความดันโลหิต สีน้ำเงินจากอัญชันช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
ด้านสายพันธุ์ข้าวที่เลือกใช้ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวเหนียว กข6 และข้าวญี่ปุ่น เชียงราย ซึ่งทั้ง 3 สายพันธุ์ทดสอบมาแล้วว่า รสชาติอร่อยและดูดซับการเคลือบได้ดี ขณะที่แหล่งวัตถุดิบข้าว คัดเฉพาะปลูกโดยปราศสารเคมี แบ่งเป็นซื้อจากโรงสีที่ได้มาตรฐานส่งออก ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือสร้างเครือข่ายรับซื้อจากเกษตรกรโดยตรง หวังเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวนาไทย ส่วนแหล่งวัตถุดิบสมุนไพรรับซื้อจากเกษตรกรทั้งหมด
ลูกค้าเป้าหมายนั้น เจาะจงไปที่ตลาดบน ในกลุ่มผู้ใส่ใจสุขภาพ ผ่านช่องทางตลาดขายในซูเปอร์มาร์เกตของห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมถึง ส่งร้านอาหาร ภัตตาคาร ร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ นอกจากนั้น เตรียมจะขยายตลาดขายตรง ผ่านเว็บไซต์ www.b-herbs.com
ผู้บุกเบิกธุรกิจ อธิบายว่า จากการเพิ่มค่าให้เมล็ดสาร ทำให้ผลิตภัณฑ์บี-เฮิร์บส์ ขายได้ราคาสูงกว่าข้าวสารปริมาณเท่ากันกว่าหนึ่งเท่าตัว โดยผลิตภัณฑ์ของบี-เฮิร์บส์ แบบสมุนไพรชนิดเดียว น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ราคา 99 บาท แบบจัดเป็นชุด รวมสมุนไพร 4 ชนิด น้ำหนัก 1 กก. ราคา 139 บาท
“การทำตลาดเริ่มแรก ลูกค้าจะมีคำถามมากว่า สีที่เคลือบทำมาจากอะไร จึงต้องเน้นให้รับรู้ว่า สีต่างๆ มาจากสมุนไพร 100% ประกอบกับพยายามนำเสนอถึงมาตรฐานของสินค้าว่า เราใช้วัตถุดิบเกรด เอ ผลิตโดยผ่านมาตรฐานทั้ง GMP ฮาลาล รวมถึงได้การันตีโอทอป 5 ดาว ซึ่งจากคุณประโยชน์และความมั่นใจเหล่านี้ ทำให้ลูกค้ายอมที่จ่ายแพงกว่า เพื่อป้องกันสุขภาพดีกว่าต้องไปรักษาตัวเมื่อเป็นโรคแล้ว” วินัย อธิบายเสริม
ผลตอบรับของตลาดนั้น ถือว่า เติบโตด้วยดี โดยในปี พ.ศ.2550 ยอดขายประมาณ 12 ตันต่อเดือน ซึ่งถือว่าเติบโตเกือบ 100% จากตอนเริ่มต้น ทว่า เมื่อปีที่แล้ว (2551) เกิดวิกฤตข้าวราคาแพง และขาดตลาด ทำให้การเติบโตไม่สูงมากนัก มียอดขายประมาณ 15 ตันต่อเดือน ส่วนเป้าหมายในปีนี้ (2552) ตั้งไว้ที่ประมาณ 20 ตันต่อเดือน โดยจะเน้นขยายตลาดในประเทศให้ครบวงจรเต็มประสิทธิภาพ รวมถึง เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ข้าวกล้องเคลือบสมุนไพร และโจ๊กข้าวเคลือบสมุนไพร นอกจากนั้น ขยายตลาดต่างประเทศ เน้นกลุ่มเอเชีย ซึ่งเวลานี้เริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เป็นต้น
วินัย เผยว่า ใช้งบลงทุนเบื้องต้นในธุรกิจ ประมาณ 7 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าวิจัยพัฒนา 2 ล้านบาท ค่าเครื่องจักร 3 ล้านบาท และสำรองหมุนเวียน 2 ล้านบาท ตั้งเป้าว่า ในอนาคตจะมียอดขายประมาณ 30 ตันต่อเดือน และคืนทุนได้ในเวลา 4 –5 ปีข้างหน้า
ในปัจจุบัน แม้จะมีรายอื่นผลิตข้าวที่มีสีสันต่างๆ ออกมาแข่งแล้ว แต่ยังไม่สามารถแย่งตลาดไปจากบี-เฮิร์บส์ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้เคลือบสมุนไพรยังเหนือกว่าคู่แข่งมาก นอกจากนั้น เนื่องจากเป็นผู้บุกเบิกรายแรก ช่วยให้แบรนด์เข้มแข็งระดับหนึ่ง ซึ่งจะสานต่อโดยตอกย้ำให้บีเฮิร์บส์เป็นตัวแทนนำธรรมชาติมาสู่ผู้บริโภคอย่างชัดเจน
“แนวทางที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ผมมองที่การวางจุดยืนให้แบรนด์บี-เฮิร์บส์เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกวัน โดยใช้ข้าวเป็นพาหนะนำคุณค่าสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุด เพราะเรากินข้าวทุกวันอยู่แล้ว นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ด้วย ดีกว่าต้องกินยาทุกๆ วัน ซึ่งไม่อร่อยแน่” กล่าวทิ้งท้าย
โทร.0-2556-1108-9 , 08-4005-9868 หรือ www.b-herbs.com
วิชัย พจนสุวรรณกุล หนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง บริษัท บางกอกตลาดข้าวไทย จำกัด ซึ่งบุกเบิกผลิตภัณฑ์บี-เฮิรปส์ เล่าถึงแนวความคิดในการเพิ่มค่าข้าวสาร เกิดจากเห็นว่า แม้ข้าวจะเป็นอาหารหลักของคนไทย ทว่า คนส่วนใหญ่นิยมกินข้าวขาว ซึ่งผ่านกระบวนการขัดสีจนเหลือคุณค่าทางโภชนาการน้อย ขณะที่ข้าวกล้องแม้จะอุดมด้วยประโยชน์ กลับมีจุดอ่อน รสชาติไม่อร่อยนัก
เพื่อจะแก้ปมดังกล่าว จึงอยากนำสมุนไพรที่ทุกคนรู้ดีถึงสรรพคุณมาเคลือบลงข้าวสาร เพื่อให้ได้ข้าวที่ทั้งอร่อยมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากสมุนไพร แถมยังเต็มเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์
วิชัย เล่าต่อว่า บริษัทฯ ได้ทำโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ “บี-เฮิร์บส์” ใช้เวลาพัฒนาผลิตภัณฑ์กว่า 1 ปี ซึ่งได้จดอนุสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่เครื่องจักรในการผลิตคิดค้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นอกจากนั้น ใช้เวลาอีก 1.5 ปี สำหรับวิจัยตลาดก่อนจะวางตลาดจริง เมื่อราวปี พ.ศ. 2549
สำหรับสมุนไพรที่นำมาสกัด เน้นพืชที่ชาวเอเชียรู้จักคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เพื่อง่ายต่อการทำตลาด อีกทั้ง คัดเฉพาะปลูกโดยปลอดสารพิษ มีทั้งหมด 7 ชนิด ได้แก่ กระเทียม กระเจี๊ยบ ขมิ้นชัน พลิก อัญชัน ใบเตย และชาเขียว โดยเทคนิคที่ใช้เคลือบ คือ สกัดสมุนไพรออกมาในรูปของน้ำมัน แล้วนำไปเคลือบลงเมล็ดข้าวสาร ซึ่งจะทำให้เมล็ดข้าวมีสีสันต่างๆ ตามสารสกัดจากพืชแต่ละชนิด อีกทั้ง ได้ประโยชน์จากสมุนไพรด้วย เช่น สีเหลืองสกัดจากขมิ้นชัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ สีแดงจากกระเจี๊ยบ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดลดความดันโลหิต สีน้ำเงินจากอัญชันช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
ด้านสายพันธุ์ข้าวที่เลือกใช้ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวเหนียว กข6 และข้าวญี่ปุ่น เชียงราย ซึ่งทั้ง 3 สายพันธุ์ทดสอบมาแล้วว่า รสชาติอร่อยและดูดซับการเคลือบได้ดี ขณะที่แหล่งวัตถุดิบข้าว คัดเฉพาะปลูกโดยปราศสารเคมี แบ่งเป็นซื้อจากโรงสีที่ได้มาตรฐานส่งออก ประมาณ 70% ส่วนที่เหลือสร้างเครือข่ายรับซื้อจากเกษตรกรโดยตรง หวังเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชาวนาไทย ส่วนแหล่งวัตถุดิบสมุนไพรรับซื้อจากเกษตรกรทั้งหมด
ลูกค้าเป้าหมายนั้น เจาะจงไปที่ตลาดบน ในกลุ่มผู้ใส่ใจสุขภาพ ผ่านช่องทางตลาดขายในซูเปอร์มาร์เกตของห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมถึง ส่งร้านอาหาร ภัตตาคาร ร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ นอกจากนั้น เตรียมจะขยายตลาดขายตรง ผ่านเว็บไซต์ www.b-herbs.com
ผู้บุกเบิกธุรกิจ อธิบายว่า จากการเพิ่มค่าให้เมล็ดสาร ทำให้ผลิตภัณฑ์บี-เฮิร์บส์ ขายได้ราคาสูงกว่าข้าวสารปริมาณเท่ากันกว่าหนึ่งเท่าตัว โดยผลิตภัณฑ์ของบี-เฮิร์บส์ แบบสมุนไพรชนิดเดียว น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ราคา 99 บาท แบบจัดเป็นชุด รวมสมุนไพร 4 ชนิด น้ำหนัก 1 กก. ราคา 139 บาท
“การทำตลาดเริ่มแรก ลูกค้าจะมีคำถามมากว่า สีที่เคลือบทำมาจากอะไร จึงต้องเน้นให้รับรู้ว่า สีต่างๆ มาจากสมุนไพร 100% ประกอบกับพยายามนำเสนอถึงมาตรฐานของสินค้าว่า เราใช้วัตถุดิบเกรด เอ ผลิตโดยผ่านมาตรฐานทั้ง GMP ฮาลาล รวมถึงได้การันตีโอทอป 5 ดาว ซึ่งจากคุณประโยชน์และความมั่นใจเหล่านี้ ทำให้ลูกค้ายอมที่จ่ายแพงกว่า เพื่อป้องกันสุขภาพดีกว่าต้องไปรักษาตัวเมื่อเป็นโรคแล้ว” วินัย อธิบายเสริม
ผลตอบรับของตลาดนั้น ถือว่า เติบโตด้วยดี โดยในปี พ.ศ.2550 ยอดขายประมาณ 12 ตันต่อเดือน ซึ่งถือว่าเติบโตเกือบ 100% จากตอนเริ่มต้น ทว่า เมื่อปีที่แล้ว (2551) เกิดวิกฤตข้าวราคาแพง และขาดตลาด ทำให้การเติบโตไม่สูงมากนัก มียอดขายประมาณ 15 ตันต่อเดือน ส่วนเป้าหมายในปีนี้ (2552) ตั้งไว้ที่ประมาณ 20 ตันต่อเดือน โดยจะเน้นขยายตลาดในประเทศให้ครบวงจรเต็มประสิทธิภาพ รวมถึง เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ข้าวกล้องเคลือบสมุนไพร และโจ๊กข้าวเคลือบสมุนไพร นอกจากนั้น ขยายตลาดต่างประเทศ เน้นกลุ่มเอเชีย ซึ่งเวลานี้เริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เป็นต้น
วินัย เผยว่า ใช้งบลงทุนเบื้องต้นในธุรกิจ ประมาณ 7 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าวิจัยพัฒนา 2 ล้านบาท ค่าเครื่องจักร 3 ล้านบาท และสำรองหมุนเวียน 2 ล้านบาท ตั้งเป้าว่า ในอนาคตจะมียอดขายประมาณ 30 ตันต่อเดือน และคืนทุนได้ในเวลา 4 –5 ปีข้างหน้า
ในปัจจุบัน แม้จะมีรายอื่นผลิตข้าวที่มีสีสันต่างๆ ออกมาแข่งแล้ว แต่ยังไม่สามารถแย่งตลาดไปจากบี-เฮิร์บส์ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีที่ใช้เคลือบสมุนไพรยังเหนือกว่าคู่แข่งมาก นอกจากนั้น เนื่องจากเป็นผู้บุกเบิกรายแรก ช่วยให้แบรนด์เข้มแข็งระดับหนึ่ง ซึ่งจะสานต่อโดยตอกย้ำให้บีเฮิร์บส์เป็นตัวแทนนำธรรมชาติมาสู่ผู้บริโภคอย่างชัดเจน
“แนวทางที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ผมมองที่การวางจุดยืนให้แบรนด์บี-เฮิร์บส์เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกวัน โดยใช้ข้าวเป็นพาหนะนำคุณค่าสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุด เพราะเรากินข้าวทุกวันอยู่แล้ว นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ด้วย ดีกว่าต้องกินยาทุกๆ วัน ซึ่งไม่อร่อยแน่” กล่าวทิ้งท้าย
โทร.0-2556-1108-9 , 08-4005-9868 หรือ www.b-herbs.com