ผู้จัดการรายวัน – ด้วยฝีมือกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรพุแค ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี นำผลิตผลการเกษตรเด่นในท้องถิ่นอย่าง “กระเจี๊ยบ” บดเป็นผงใส่ลงในเนื้อคุกกี้ พร้อมโรยหน้าด้วยธัญพืชชนิดต่างๆ นำมาสู่คุกกี้รสเลิศที่ให้ทั้งความอร่อยและคุณประโยชน์ ในชื่อเครื่องหมายการค้าว่า “บ้านกระเจี๊ยบ” เป็นของฝากขึ้นชื่อที่ใครมาเยือนสระบุรี มักซื้อติดไม้ติดมือกลับไป
แนวคิดการแปรรูปดังกล่าวนั้น นารีรัช อุทัยแสงสกุล แกนนำกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรพุแค เล่าให้ฟังว่า เริ่มร่วมตัวสร้างอาชีพเมื่อปี 2539 มีสมาชิกเริ่มต้น 10 คน โดยแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ทว่าประสบปัญหาเรื่องคุณภาพ และช่องทางจำหน่าย สมาชิกจึงลงความเห็นเปลี่ยนมาแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่น เมื่อผลิตแล้ว สามารถบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนได้ รวมถึงต้องเป็นสินค้าที่มีอายุยาวนาน และขนย้ายสะดวก เหมาะเป็นของฝากที่ระลึก
หลังลองผิดลองถูกแปรรูปผลผลิตเกษตรหลายชนิด ในที่สุดมาลงตัวที่ “คุกกี้ทานตะวัน” ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และด้วยความพยายามพัฒนาไม่หยุดนิ่ง สมาชิกต่อยอดนำกระเจี๊ยบที่ปลูกกันเองในพื้นที่ มาบดเป็นผงผสมในเนื้อคุกกี้ นอกจากจะได้รสชาติที่อร่อยกว่าที่ผ่านมาแล้ว ยังเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างสูง การันตีด้วยโอทอป 5 ดาวประจำจังหวัด
“คุกกี้ทานตะวันยังไม่โดดเด่นมากนัก เราจึงคิดกระเจี๊ยบ ซึ่งส่วนใหญ่จะแปรรูปเป็นเครื่องดื่มเท่านั้น สมาชิกจึงใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านทดลองเป็นส่วนผสมทำคุกกี้ ออกมาแล้วนอกจากจะได้รสชาติที่ดีแล้ว จากผลงานวิจัยของสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ ยังระบุว่า มีสารแอนโทโซยานิล มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และให้ปริมาณแคลเซียมสูงถึง 0.84 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม จุดนี้ทำให้สามารถนำเสนอได้ว่า คุกกี้ของเราทั้งอร่อยและมีประโยชน์” นารีรัช อธิบาย
และเพื่อจะนำเสนอภาพของขนมเพื่อสุขภาพให้เด่นชัดขึ้น หน้าคุกกี้โรยด้วยธัญพืชต่างๆ มีทั้งหมด 4 หน้า ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาขาว-งาดำ และเมล็ดฟักทอง ขณะที่การผลิต เน้นสะอาดปลอดภัย เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง เช่น ใช้แป้งเกรดเอ กระเจี๊ยบปลูกโดยปลอดสารพิษ และไม่ใส่สารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้ง ขั้นตอนผลิต และโรงงานผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และองค์การอาหารและยา (อย.)
นอกจากนั้น เพื่อให้คุกกี้ทุกชิ้นที่ออกมารสชาติเหมือนกันหมด ทางกลุ่มฯ ทดลองจนสามารถกำหนดสูตรตายตัว และจัดอบรมความรู้การผลิตดังกล่าวให้สมาชิกทุกคนต้องทำตาม โดยแป้ง 2 กิโลกรัม จะผลิตคุกกี้ได้ 600 ชิ้นแน่นอน ไม่ว่าสมาชิกคนใดจะมาทำ รสชาติก็ไม่แปรเปลี่ยน ช่วยให้เกิดมาตรฐานที่ลูกค้าเชื่อใจ
อีกจุดที่น่าสนใจ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืช“บ้านกระเจี๊ยบ” คือ ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ มีทั้งแบบใส่ถุงพลาสติกง่ายๆ จนถึงแบบกล่องสวยงาม นารีรัช ชี้แจงว่า เพื่อรับรองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกกลุ่ม รวมถึง เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
“กลุ่มลูกค้าของเรา มีตั้งแต่คนในท้องถิ่นที่ไม่ต้องการบรรจุภัณฑ์สวยงามนัก ก็จะชอบแบบใส่ถุงพลาสติกง่ายๆ แต่คุกกี้ปริมาณมาก ส่วนตลาดนักท่องเที่ยว ต้องการซื้อเป็นของฝาก ปริมาณจะลดลงเล็กน้อย แต่ทดแทนด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ดูดี ซึ่งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ จุดประสงค์หลักของเราอยากเพิ่มมูลค่าสินค้า ยิ่งในช่วงที่ราคาวัตถุดิบต่างๆ ถีบตัวขึ้น การยกระดับสินค้าช่วยให้การขยับราคาขายปลีกขึ้น ลูกค้าสามารถยอมรับได้” แกนนำกลุ่ม เผย
สำหรับราคาขาย แบบกล่องมาตรฐานนั้น 100 กรัม 25 บาท 150 กรัม 35 บาท และ200 กรัม 50 บาท มีช่องทางจำหน่าย ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังต่างๆ เช่น เดอะมอลล์ สยามพารากอน ห้างฟู้ดแลนด์ ร้านโครงการหลวง ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั่วประเทศ และออกงานแสดงสินค้าโอทอป เป็นต้น รายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 แสนบาทต่อเดือน ช่วยสร้างรายได้ให้สมาชิกที่ปัจจุบันมีประมาณ 60 คน ราวคนละ 200-300 บาทต่อวัน
ไม่เฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น จากที่กลุ่มฯ เป็นลูกค้าของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ขอสินเชื่อจำนวน 1 แสนบาทมาเป็นทุนหมุนเวียน ทางธนาคารฯ จึงพาไปออกบูทที่ประเทศลาวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้เปิดหาตลาดใหม่ ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา และจีน ประมาณ 4-5 หมื่นบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ นอกเหนือจากคุกกี้ธัญพืช ภายใต้แบรนด์ “บ้านกระเจี๊ยบ” ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามฤดูกาลของวัตถุดิบที่จะเก็บได้ในท้องถิ่น เช่น พายองุ่น พายสัปปะรด และเมล็ดทานตะวันเคลือบ เป็นต้น
นารีรัช ทิ้งท้ายว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของกลุ่มฯ คือ ไม่ละความพยายามลองผิดลองถูกเฟ้นหาสินค้าที่มีจุดขายโดนใจตลาดให้ได้ ซึ่งระยะเริ่มต้นต้องแลกด้วยความผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งพบคุกกี้ธัญพืชมีส่วนผสมผงกระเจี๊ยบ ช่วยให้ตลาดดีขึ้นสม่ำเสมอ จากนั้นเมื่อมุ่งพัฒนาสินค้าและสร้างมาตรฐานจนลูกค้าเชื่อใจ ช่วยการันตีกิจการของกลุ่มฯ ให้เติบโตได้อย่างมั่งคง
******************
โทร.08-6311-0836
แนวคิดการแปรรูปดังกล่าวนั้น นารีรัช อุทัยแสงสกุล แกนนำกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรพุแค เล่าให้ฟังว่า เริ่มร่วมตัวสร้างอาชีพเมื่อปี 2539 มีสมาชิกเริ่มต้น 10 คน โดยแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ทว่าประสบปัญหาเรื่องคุณภาพ และช่องทางจำหน่าย สมาชิกจึงลงความเห็นเปลี่ยนมาแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่น เมื่อผลิตแล้ว สามารถบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนได้ รวมถึงต้องเป็นสินค้าที่มีอายุยาวนาน และขนย้ายสะดวก เหมาะเป็นของฝากที่ระลึก
หลังลองผิดลองถูกแปรรูปผลผลิตเกษตรหลายชนิด ในที่สุดมาลงตัวที่ “คุกกี้ทานตะวัน” ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และด้วยความพยายามพัฒนาไม่หยุดนิ่ง สมาชิกต่อยอดนำกระเจี๊ยบที่ปลูกกันเองในพื้นที่ มาบดเป็นผงผสมในเนื้อคุกกี้ นอกจากจะได้รสชาติที่อร่อยกว่าที่ผ่านมาแล้ว ยังเป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างสูง การันตีด้วยโอทอป 5 ดาวประจำจังหวัด
“คุกกี้ทานตะวันยังไม่โดดเด่นมากนัก เราจึงคิดกระเจี๊ยบ ซึ่งส่วนใหญ่จะแปรรูปเป็นเครื่องดื่มเท่านั้น สมาชิกจึงใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านทดลองเป็นส่วนผสมทำคุกกี้ ออกมาแล้วนอกจากจะได้รสชาติที่ดีแล้ว จากผลงานวิจัยของสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร และคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ ยังระบุว่า มีสารแอนโทโซยานิล มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และให้ปริมาณแคลเซียมสูงถึง 0.84 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม จุดนี้ทำให้สามารถนำเสนอได้ว่า คุกกี้ของเราทั้งอร่อยและมีประโยชน์” นารีรัช อธิบาย
และเพื่อจะนำเสนอภาพของขนมเพื่อสุขภาพให้เด่นชัดขึ้น หน้าคุกกี้โรยด้วยธัญพืชต่างๆ มีทั้งหมด 4 หน้า ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ งาขาว-งาดำ และเมล็ดฟักทอง ขณะที่การผลิต เน้นสะอาดปลอดภัย เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง เช่น ใช้แป้งเกรดเอ กระเจี๊ยบปลูกโดยปลอดสารพิษ และไม่ใส่สารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้ง ขั้นตอนผลิต และโรงงานผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และองค์การอาหารและยา (อย.)
นอกจากนั้น เพื่อให้คุกกี้ทุกชิ้นที่ออกมารสชาติเหมือนกันหมด ทางกลุ่มฯ ทดลองจนสามารถกำหนดสูตรตายตัว และจัดอบรมความรู้การผลิตดังกล่าวให้สมาชิกทุกคนต้องทำตาม โดยแป้ง 2 กิโลกรัม จะผลิตคุกกี้ได้ 600 ชิ้นแน่นอน ไม่ว่าสมาชิกคนใดจะมาทำ รสชาติก็ไม่แปรเปลี่ยน ช่วยให้เกิดมาตรฐานที่ลูกค้าเชื่อใจ
อีกจุดที่น่าสนใจ ผลิตภัณฑ์คุกกี้ธัญพืช“บ้านกระเจี๊ยบ” คือ ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ มีทั้งแบบใส่ถุงพลาสติกง่ายๆ จนถึงแบบกล่องสวยงาม นารีรัช ชี้แจงว่า เพื่อรับรองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกกลุ่ม รวมถึง เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า
“กลุ่มลูกค้าของเรา มีตั้งแต่คนในท้องถิ่นที่ไม่ต้องการบรรจุภัณฑ์สวยงามนัก ก็จะชอบแบบใส่ถุงพลาสติกง่ายๆ แต่คุกกี้ปริมาณมาก ส่วนตลาดนักท่องเที่ยว ต้องการซื้อเป็นของฝาก ปริมาณจะลดลงเล็กน้อย แต่ทดแทนด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ดูดี ซึ่งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ จุดประสงค์หลักของเราอยากเพิ่มมูลค่าสินค้า ยิ่งในช่วงที่ราคาวัตถุดิบต่างๆ ถีบตัวขึ้น การยกระดับสินค้าช่วยให้การขยับราคาขายปลีกขึ้น ลูกค้าสามารถยอมรับได้” แกนนำกลุ่ม เผย
สำหรับราคาขาย แบบกล่องมาตรฐานนั้น 100 กรัม 25 บาท 150 กรัม 35 บาท และ200 กรัม 50 บาท มีช่องทางจำหน่าย ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังต่างๆ เช่น เดอะมอลล์ สยามพารากอน ห้างฟู้ดแลนด์ ร้านโครงการหลวง ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั่วประเทศ และออกงานแสดงสินค้าโอทอป เป็นต้น รายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประมาณ 2-3 แสนบาทต่อเดือน ช่วยสร้างรายได้ให้สมาชิกที่ปัจจุบันมีประมาณ 60 คน ราวคนละ 200-300 บาทต่อวัน
ไม่เฉพาะตลาดในประเทศเท่านั้น จากที่กลุ่มฯ เป็นลูกค้าของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ขอสินเชื่อจำนวน 1 แสนบาทมาเป็นทุนหมุนเวียน ทางธนาคารฯ จึงพาไปออกบูทที่ประเทศลาวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยให้เปิดหาตลาดใหม่ ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา และจีน ประมาณ 4-5 หมื่นบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ นอกเหนือจากคุกกี้ธัญพืช ภายใต้แบรนด์ “บ้านกระเจี๊ยบ” ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามฤดูกาลของวัตถุดิบที่จะเก็บได้ในท้องถิ่น เช่น พายองุ่น พายสัปปะรด และเมล็ดทานตะวันเคลือบ เป็นต้น
นารีรัช ทิ้งท้ายว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของกลุ่มฯ คือ ไม่ละความพยายามลองผิดลองถูกเฟ้นหาสินค้าที่มีจุดขายโดนใจตลาดให้ได้ ซึ่งระยะเริ่มต้นต้องแลกด้วยความผิดหวังหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งพบคุกกี้ธัญพืชมีส่วนผสมผงกระเจี๊ยบ ช่วยให้ตลาดดีขึ้นสม่ำเสมอ จากนั้นเมื่อมุ่งพัฒนาสินค้าและสร้างมาตรฐานจนลูกค้าเชื่อใจ ช่วยการันตีกิจการของกลุ่มฯ ให้เติบโตได้อย่างมั่งคง
******************
โทร.08-6311-0836