เอเอฟพี - พรรคฝ่ายค้านมาเลเซียมีหวังมากขึ้นอีกที่จะขึ้นครองอำนาจปกครองประเทศ หลังจากได้ชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมที่รัฐตรังกานูเมื่อวันเสาร์ (17) โดยที่นักวิเคราะห์การเมืองระบุวานนี้(18)ว่า สถานภาพของรัฐบาลผสมมาเลเซียภายใต้ "แนวร่วมแห่งชาติ" (บาริซาน เนชันแนล) และมีพรรคสหมาเลย์แห่งชาติ(อัมโน)เป็นผู้นำ กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
แม้ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะยังไม่ถึงกับเปลี่ยนดุลอำนาจทางการเมือง แต่ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลประสบความล้มเหลวในการดึงเสียงสนับสนุนให้กลับมาอยู่ในมือ หลังจากที่ต้องสูญเสียที่นั่งหนึ่งในสามให้กับฝ่ายค้านไปในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และยังเป็นสัญญาณเรียกร้องให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในฟากของรัฐบาลผสม ส่วนชัยชนะเด็ดขาดในรัฐตรังกานูครั้งนี้ก็เป็นเพราะกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์ซึ่งเป็นมุสลิม หันมาเทคะแนนให้ฝ่ายค้าน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคอัมโนมาตลอด
"ชัยชนะครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง" อันวาร์ อิบรอฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านกล่าว
ทั้งนี้ เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปยังมาจากภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน โดย ตนกู ราซาเลก์ ฮัมซาห์ อดีตรัฐมนตรีคลังกล่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลถูก "ลบหลู่" อีกครั้งแล้ว และเขายังกล่าวถึงความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลในการเลือกตั้งทั่วไปว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่ง "ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาลไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐานแล้ว ก็คงเพราะรัฐบาลไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องดังกล่าวได้"
ศิวะ มูรูกัน ปันดิอัน นักวิเคราะห์การเมืองแห่งมหาวิทยาลัยไซแอนส์ มาเลเซีย กล่าวว่าผลการเลือกตั้งซ่อมที่ออกมาทำให้พันธมิตรฝ่ายค้าน "ปาคาทัน รัคยัต" แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปคราวหน้า
"หากอันวาร์ทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการแตกแยกกันภายใน พรรคฝ่ายค้านก็สามารถเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งรอบหน้า แต่นั่นหมายความว่าชาวมาเลย์ยังคงหันมาเทคะแนนให้ฝ่ายค้านมากขึ้นต่อไปอีก"
บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่าผลการเลือกตั้งซ่อม ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาของรองนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ว่าเขาเหมาะที่จะรับช่วงตำแหน่งต่อจากนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี หรือไม่
"นี่จะเป็นการตั้งคำถามต่อการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนาจิบ" บริดเจต เวลช์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุ
ทั้งนี้นาจิบเป็นผู้ดูแลการรณรงค์หาเสียงของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งซ่อมที่เขากัวลาตรังกานูคราวนี้ ตลอดจนในสนามเลือกตั้งซ่อมอีกแห่งหนึ่งที่อันวาร์เป็นผู้ชนะและได้หวนกลับคืนสู่รัฐสภาอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว
"แน่นอนว่าสำหรับเรานี่คือการเพลี่ยงพล้ำ... แต่เราก็ยังไม่ท้อใจกับผลเลือกตั้งที่ออกมา" นาจิบกล่าวในช่วงดึกของวันเสาร์ เขาไม่เห็นด้วยที่มีผู้บอกว่าผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นว่าเขากำลังย่ำแย่
ทั้งนี้ ในการลงคะเนนเลือกตั้งระดับชาติเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงที่เป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายจีนและอินเดียต่างพากันผละจากรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาไม่พอใจที่รัฐบาลทำให้ความเป็นมาเลเซียซึ่งมีหลายเชื้อชาติและหลากวัฒนธรรม กลายเป็นวัฒนธรรมอิสลามครอบงำมากขึ้นๆ อีกทั้งกรธแค้นรัฐบาลที่ใช้ระบบเลือกปฏิบัติโดยให้สิทธิพิเศษกับชาวมาเลย์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ มานานหลายทศวรรษ
ส่วนกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่เป็นคนหนุ่มสาวและอยู่ในเมืองก็ไม่พอใจปัญหาคอร์รัปชั่นและความลำเอียงทางการเมืองที่แผ่ขยายออกไป ทั้ง ๆ ที่อับอุลเลาะห์เคยหาเสียงไว้ว่าจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้เมื่อได้เป็นรัฐบาล
อิบรอฮิม ซัฟฟีอัน นักทำโพลล์ชี้ว่า จากการเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ในหมู่ชาวมาเลย์ เวลานี้ก็เกิด "ช่องว่างด้านความน่าเชื่อถือ" ต่อรัฐบาลขึ้นมาแล้ว โดยที่รัฐบาลยังไม่มีท่าทีสนใจแก้ไข เพราะพวกผู้นำยังคงสาละวนแต่กับการต่อสู้ขัดแย้งกันเองภายใน
แม้ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะยังไม่ถึงกับเปลี่ยนดุลอำนาจทางการเมือง แต่ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลประสบความล้มเหลวในการดึงเสียงสนับสนุนให้กลับมาอยู่ในมือ หลังจากที่ต้องสูญเสียที่นั่งหนึ่งในสามให้กับฝ่ายค้านไปในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และยังเป็นสัญญาณเรียกร้องให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในฟากของรัฐบาลผสม ส่วนชัยชนะเด็ดขาดในรัฐตรังกานูครั้งนี้ก็เป็นเพราะกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์ซึ่งเป็นมุสลิม หันมาเทคะแนนให้ฝ่ายค้าน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคอัมโนมาตลอด
"ชัยชนะครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง" อันวาร์ อิบรอฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้านกล่าว
ทั้งนี้ เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปยังมาจากภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน โดย ตนกู ราซาเลก์ ฮัมซาห์ อดีตรัฐมนตรีคลังกล่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลถูก "ลบหลู่" อีกครั้งแล้ว และเขายังกล่าวถึงความเพลี่ยงพล้ำของรัฐบาลในการเลือกตั้งทั่วไปว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาล ซึ่ง "ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาลไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐานแล้ว ก็คงเพราะรัฐบาลไม่สามารถตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องดังกล่าวได้"
ศิวะ มูรูกัน ปันดิอัน นักวิเคราะห์การเมืองแห่งมหาวิทยาลัยไซแอนส์ มาเลเซีย กล่าวว่าผลการเลือกตั้งซ่อมที่ออกมาทำให้พันธมิตรฝ่ายค้าน "ปาคาทัน รัคยัต" แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีกมากสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปคราวหน้า
"หากอันวาร์ทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการแตกแยกกันภายใน พรรคฝ่ายค้านก็สามารถเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งรอบหน้า แต่นั่นหมายความว่าชาวมาเลย์ยังคงหันมาเทคะแนนให้ฝ่ายค้านมากขึ้นต่อไปอีก"
บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่าผลการเลือกตั้งซ่อม ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาของรองนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ว่าเขาเหมาะที่จะรับช่วงตำแหน่งต่อจากนายกรัฐมนตรีอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี หรือไม่
"นี่จะเป็นการตั้งคำถามต่อการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนาจิบ" บริดเจต เวลช์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุ
ทั้งนี้นาจิบเป็นผู้ดูแลการรณรงค์หาเสียงของพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งซ่อมที่เขากัวลาตรังกานูคราวนี้ ตลอดจนในสนามเลือกตั้งซ่อมอีกแห่งหนึ่งที่อันวาร์เป็นผู้ชนะและได้หวนกลับคืนสู่รัฐสภาอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว
"แน่นอนว่าสำหรับเรานี่คือการเพลี่ยงพล้ำ... แต่เราก็ยังไม่ท้อใจกับผลเลือกตั้งที่ออกมา" นาจิบกล่าวในช่วงดึกของวันเสาร์ เขาไม่เห็นด้วยที่มีผู้บอกว่าผลการเลือกตั้งสะท้อนให้เห็นว่าเขากำลังย่ำแย่
ทั้งนี้ ในการลงคะเนนเลือกตั้งระดับชาติเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงที่เป็นชนกลุ่มน้อยเชื้อสายจีนและอินเดียต่างพากันผละจากรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาไม่พอใจที่รัฐบาลทำให้ความเป็นมาเลเซียซึ่งมีหลายเชื้อชาติและหลากวัฒนธรรม กลายเป็นวัฒนธรรมอิสลามครอบงำมากขึ้นๆ อีกทั้งกรธแค้นรัฐบาลที่ใช้ระบบเลือกปฏิบัติโดยให้สิทธิพิเศษกับชาวมาเลย์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ มานานหลายทศวรรษ
ส่วนกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่เป็นคนหนุ่มสาวและอยู่ในเมืองก็ไม่พอใจปัญหาคอร์รัปชั่นและความลำเอียงทางการเมืองที่แผ่ขยายออกไป ทั้ง ๆ ที่อับอุลเลาะห์เคยหาเสียงไว้ว่าจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้เมื่อได้เป็นรัฐบาล
อิบรอฮิม ซัฟฟีอัน นักทำโพลล์ชี้ว่า จากการเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุดนี้ ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ในหมู่ชาวมาเลย์ เวลานี้ก็เกิด "ช่องว่างด้านความน่าเชื่อถือ" ต่อรัฐบาลขึ้นมาแล้ว โดยที่รัฐบาลยังไม่มีท่าทีสนใจแก้ไข เพราะพวกผู้นำยังคงสาละวนแต่กับการต่อสู้ขัดแย้งกันเองภายใน