xs
xsm
sm
md
lg

สื่อภาคสนามเฉ่งเล่าข่าวเหน็บพวกกาฝากวงการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นเกี่ยวกับรายการคุยข่าวหรือเล่าข่าวทางสถนทีโทรทัศน์ว่า เป็นรายการที่อันตราย เนื่องจากมีการชี้นำผู้ชมและองค์กรวิชาชีพควรหารือกันในเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ในแวดวงอินเตอร์เนท บล็อกโอเคเนชั่น http://oknation.net/blog/index.php ได้นำบทความเรื่อง นักเล่าข่าวกับการทำนาบนหลังคน ที่เขียนโดยผู้สื่อข่าวรัฐสภากลุ่มหนึ่งจากหลายสำนักพิมพ์ ในบล็อกชื่อ สนามข่าวสภา http://www.oknation.net/blog/news-war มาเผยแพร่เป็นเรื่องแนะนำ
โดยบทความดังกล่าว วิพากษ์วิจารณ์รายการประเภทเล่าข่าวว่า การที่รายการเล่าข่าว(บางช่อง)พึ่งพาข่าวของหนังสือพิมพ์เป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ ในรายการ นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่งที่มีโอกาสในการที่จะได้เสพข่าวที่มีคุณภาพ ครบทุกมิติ เพราะสถานีโทรทัศน์แต่ละแห่งมีเครื่องไม้ เครื่องมือ ที่ทันสมัยราคาหลายสิบล้าน มีบุคลากรที่มีฝีมืออยู่จำนวนมาก
ขณะที่เจ้าของสถานีถือหุ้นร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศ ถ้าใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์จริงๆ ชาวบ้านจะได้ประโยชน์มาก แต่นักเล่าข่าวเหล่านั้นกลับมานั่งรอข่าวหนังสือพิมพ์ที่มีการลงทุนน้อยกว่าทีวีหลายเท่านัก จากนั้นก็มาเล่าเรื่องเป็นฉากๆ ราวกับว่า ได้ไปทำข่าวและเขียนขึ้นมาเองกับมือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อ้างอิงว่า ตัวอักษรที่ร้อยเรียงให้ตนเองหากินอยู่นั้นอยู่ในหนังสือพิมพ์อะไร เป็นข่าวจากสำนักข่าวไหน หลายครั้งหลายหนยังทำตนเยี่ยงศาสดาแห่งข่าวสาร สั่งสอนนักข่าวที่เขียนข่าวว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่ถามแบบนั้นแบบนี้
บทความยังระบุในตอนท้ายว่า ข้อเขียนนี้มิได้มุ่งหมายให้นักเล่าข่าวเลิกเอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน หรือต้องให้เครดิตหนังสือพิมพ์ที่หยิบขึ้นมาอ่าน เพื่อเป็นการโปรโมตหนังสือพิมพ์ช่วยกระตุ้นยอดขายแต่ประการใด แต่ที่เรียกร้องคือการเคารพในหน้าที่ บทบาทของคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน ไม่ว่านักเล่าข่าวในจอโทรทัศน์ หรือนักข่าวภาคสนามล้วนแต่มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ว่าแต่งตัวดี เสนอหน้าอยู่ในจอทีวีมีคนรู้จักมาก แล้วจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รองเดิน เพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จอยู่ร่ำไป ไม่อยากให้สังคมข่าวมีชนชั้น วรรณะ มีเทพ มีทาส หรือมีคนทำนาบนหลังคนอีกต่อไปเท่านั้นเอง
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า การปฏิรูปสื่อคือสิ่งที่ประชาชนรอคอยและฝากความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้มากที่สุด เพราะที่ผ่านมาทำได้กว่าครึ่งทางแล้ว โดยตนมีข้อเสนอดังนี้
1.ให้มีการออกกฎหมายองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ เพื่อให้มีการสรรหากรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)เพื่อทำให้การปฏิรูปสื่อเกิดขึ้นจริง ทั้งนี้การสรรหาต้องโปร่งใส ได้ผู้ที่เป็นกลางและสามารถตรวจสอบได้ เพราะเป็นองค์กรที่มีผลประโยชน์มหาศาล โดยรัฐบาลต้องรีบทำกฎหมายฉบับนี้ภายใน 3-4 เดือน และตั้งคณะทำงานขึ้นมาโดยมาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพด้านสื่อมวลชนและนักวิชาการ
2. ควรยุบกรมประชาสัมพันธ์และตั้งสำนักแถลงข่าวรัฐบาล ที่เข้มแข็งขึ้นมาแทน เพราะหากเป็นข่าวที่ดีย่อมเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้รัฐบาลมีคลื่นความถี่และสื่ออยู่ในมือ
นอกจากนี้ต้องมีการผ่าตัดสถานีโทรทัศน์ช่อง11 ให้เป็นองค์กรมหาชน โดยควรออกเป็นมติ ครม.เพื่อให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด แต่อาจจะมีจุดอ่อนเพราะรัฐบาลชุดต่อมาจะสามารถแก้ได้ง่าย ดังนั้นการอุดช่องว่างปัญหาดังกล่าวอาจให้มีคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือและมีคุณวุฒิเข้ามาดูแล โดยมาจากสายนักวิชาการ และองค์กรวิชาชีพ ลักษณะเช่นเดียวกับสำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแทรกแซง โดยการเปลี่ยนผ่านอาจจะแบ่งเป็นช่วง ๆ ช่วงแรกให้มีการแก้ปัญหาหลักการของสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 จากนั้นให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์กรมหาชนอย่างน้อยให้ระบุอายุไว้ 1 ปี จากนั้นให้ออกกฎหมายยุบกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นกระบอกเสียงรัฐบาลในที่สุด
3. ปรับปรุง อสมท.ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) คงไม่เพียงพอ เพราะไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง โดยต้องมีการพิจารณาว่าจะเอาคลื่นความถี่มาเป็นของรัฐหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และคลื่นวิทยุอีก 70 สถานี ซึ่งตรงนี้อาจจะมีปัญหาตามมาเพราะรัฐบาลต้องซื้อหุ้นคืน อาจจะทำให้มีการประท้วงจากสหภาพแรงงานได้ อีกทั้งรัฐบาลต้องคิดเรื่องการเป็นผู้ลงทุนเสียงข้างน้อยให้เหลือรัฐ 30 % เอกชน 70 % เพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาบริหารและตรวจสอบถ่วงดุลกันเองน่าจะสามารถทำให้เกิดธรรมาภิบาลและแก้ปัญหาแดนสนธยาของ อสมท.ได้
4. ต้องมีการออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของคนในวิชาชีพสื่อมวลชน โดยให้คนในวิชาชีพเป็นคณะทำงานในการร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยที่รัฐไม่ต้องเข้ามา มีส่วนร่วมเพราะบ่อยครั้งหากรัฐเข้ามาจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหากฎหมาย จากคุ้มครองสื่อ เป็นควบคุมสื่อได้
ทั้งนี้ 4 ข้อ รัฐบาลต้องกล้าลงมือทำ หากรัฐบาลตั้งใจจริงเชื่อว่า จะทำให้การปฏิรูปสื่อเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคมในหลายด้านโดยเฉพาะการแก้ปัญหาความแตกแยกแบ่งสีเหลือง-แดง ของสังคม เพราะหากสังคมได้รับข้อมูลข่าวสารที่เท่ากันก็จะทำให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้ นายสมชาย กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น