ASTVผู้จัดการรายวัน – “สาทิตย์” เตรียมดัน กรมประชาสัมพันธ์สู่องค์การมหาชน หยุดการเป็นเครื่องมือรัฐบาล เตรียมให้นโยบายช่อง 11 เสนอข่าวสัดส่วน 40% ส่วนอสมท เล็งเข้าคุมการทำงานบอร์ดว่าโปร่งใสหรือไม่ พร้อมลุยแก้ร่างพรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯใหม่ 3 ข้อใหญ่ เสนอเข้าครม.วาระต่อไป ฟากทีวีไทย ฉลอง 1 ปี เท 100 ล้านบาท ส่งเสริมผู้จัดรายการสมัครเล่น
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยดูแลในส่วนของสื่อนั้น หลังได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับสื่อแล้ว เบื้องต้นมีเรื่องที่ต้องเร่งทำงานอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ มีแนวคิดที่จะผลักดันให้กรมฯก้าวสู่ความเป็นองค์การมหาชน เพื่อจะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือจะได้ไม่ถูกแทรกแซงจากเกมการเมืองอีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนำเข้าไปชี้แจงและปรึกษากับเจ้าหน้าที่ในกรมประชาสัมพันธ์ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของช่อง 11 หรือ เอ็นบีที ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ตนจะให้นโยบายการทำงานใหม่ โดยจะมุ่งเน้นให้ช่อง 11 มีสัดส่วนการนำเสนอรายการข่าวที่ 40% นำเสนอข่าวสารเที่ยงตรงและเป็นกลาง พร้อมปรับโลโก้ของทางสถานีฯนี้ใหม่ด้วย เพราะมองว่าที่ผ่านมาถือเป็นโลโก้ที่ทำให้เกิดการแตกแยก ขณะเดียวกันยังจะมีการพิจารณาคลื่นวิทยุบางคลื่นของทางกรมประชาสัมพันธ์เพื่อนำมาใช้ในด้านสังคมอีกด้วย
2.ในส่วนของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตนจะเข้าไปดูใน 3 เรื่องหลักก่อน คือ 1.เรื่องของความโปร่งใสในการทำงานของคณะกรรมการ บอร์ด อสมท ว่ามีเรื่องร้องเรียนการทำงานอะไรบ้าง 2.ประสิทธิภาพการทำงานของบอร์ด และ 3.กระบวนการสรรหา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนใหม่
3.ในส่วนของร่างพรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เดิมในรัฐบาลชุดก่อน ถูกนำเสนอโดยกระทรวงไอซีที ทั้งนี้ตนได้ปรึกษากับทางกระทรวงดังกล่าวแล้ว ในการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ร่างพรบ.ใหม่ขึ้น ใน 3 เรื่องหลักๆ คือ 1.คณะกรรมการพรบ.ดังกล่าว จากเดิมที่จะมาจากการแต่งตั้งขึ้นตามความเหมาะสม เปลี่ยนเป็นมาจากการสรรหา ตามขั้นตอนการสรรหาที่จะต้องร่างขึ้นใหม่ด้วย 2.กำหนดสัดส่วนการสื่อสารที่ 20% จากเดิมไม่มีกำหนดไว้ และ3.ในส่วนของนิวมีเดีย จะมีกรอบ ข้อกำหนดที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งร่างพรบ.ใหม่นี้ จะนำขึ้นเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวาระต่อไปที่จะถึงนี้
**ทีวีไทยขึ้นปีที่2 **
นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย กล่าวถึง การดำเนินงานของทีวีไทยที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 2 ว่า เป้าหมายการทำงานของทีวีไทยในปีที่ 2 นี้ คาดหวังว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ที่คนในสังคมชื่นชอบมากยิ่งขึ้น ขณะที่เหตุการณ์ทางการเมืองไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างไร เทียบกับปีที่ผ่านมาที่เพิ่งเริ่มของทีวีไทยแล้ว ปีนี้ถือว่าดีกว่ามาก ขณะที่ปีก่อนครึ่งปีแรกทีวีไทยจะเผชิญกับการตอบคำถามจากสังคมและการเมืองอย่างหนัก
ล่าสุดสำหรับผังรายการใหม่ของเดือนม.ค.ในปี 2552 นี้ จะแบ่งเป็น รายการข่าว 45.25% รายการสารคดี 12.62% รายการสารประโยชน์ 16.14% รายการเด็กและเยาวชน 13.15% รายการสาระบันเทิง 12.02% และรายการกีฬา 0.83%
นอกจากนี้จากการที่สถานีฯมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับสังคม ล่าสุดได้มีการจัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือกลุ่มผู้จัดรายการหน้าใหม่ ที่เป็นบริษัทเล็กๆ หรือกลุ่มผู้จัดรายการที่เป็นกลุ่มคนในสังคม แต่ต้องการทำรายการเพื่อนำเสนอแง่มุมต่างๆของสังคม โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการพัฒนาผู้จัดรายการเหล่านี้ในลักษณะของการฝึกอบรมเบื้องต้นของการทำรายการโทรทัศน์ ซึ่งหากรูปแบบรายการที่ผู้จัดเหล่านี้มีความน่าสนใจ ทางสถานีฯก็พร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณอีกส่วน เพื่อใช้เป็นค่าตอบแทนให้กับผู้จัดเหล่านี้ที่ผลิตรายการให้ทางสถานีฯต่อไป โดยค่าตอบแทนดังกล่าว ถือว่ายุติธรรม ใกล้เคียงกับฟรีทีวีทั่วไป
ปีนี้ทางสถานีฯพร้อมเดินหน้าสื่อวิทยุ และสื่อออนไลน์ โดยอีก 1 เดือนจากนี้ คาดว่าจะวางแผนเดินหน้าบางส่วน จะใช้ชื่อวิทยุไทย ถึงแม้ว่าทางสถานีฯจะไม่มีคลื่น เบื้องต้นจะมีการพูดคุยกับพันธมิตรในหลายๆด้าน เช่น คลื่นวิทยุในต่างจังหวัด หรือในสถานศึกษาต่างๆในการดึงสัญญาณของเราไปเผยแพร่
หากกสช.เกิดขึ้นจริง คาดว่าทางวิทยุไทยก็จะมีคลื่นวิทยุเป็นของตัวเองในการพัฒนาและเผยแพร่รายการต่างๆมากขึ้น ทั้งนี้รูปแบบคอนเท้นท์ที่จะนำเสนอในวิทยุไทยนั้น จะเน้นรายการสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น ละครวิทยุ ส่วนรายการข่าวจะมุ่งเน้นข่างเชิงเจาะลึก เพราะไม่ต้องการแข่งขันกันเองกับข่าวในทีวีไทย
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยดูแลในส่วนของสื่อนั้น หลังได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับสื่อแล้ว เบื้องต้นมีเรื่องที่ต้องเร่งทำงานอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ มีแนวคิดที่จะผลักดันให้กรมฯก้าวสู่ความเป็นองค์การมหาชน เพื่อจะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือจะได้ไม่ถูกแทรกแซงจากเกมการเมืองอีกต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนำเข้าไปชี้แจงและปรึกษากับเจ้าหน้าที่ในกรมประชาสัมพันธ์ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของช่อง 11 หรือ เอ็นบีที ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ตนจะให้นโยบายการทำงานใหม่ โดยจะมุ่งเน้นให้ช่อง 11 มีสัดส่วนการนำเสนอรายการข่าวที่ 40% นำเสนอข่าวสารเที่ยงตรงและเป็นกลาง พร้อมปรับโลโก้ของทางสถานีฯนี้ใหม่ด้วย เพราะมองว่าที่ผ่านมาถือเป็นโลโก้ที่ทำให้เกิดการแตกแยก ขณะเดียวกันยังจะมีการพิจารณาคลื่นวิทยุบางคลื่นของทางกรมประชาสัมพันธ์เพื่อนำมาใช้ในด้านสังคมอีกด้วย
2.ในส่วนของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตนจะเข้าไปดูใน 3 เรื่องหลักก่อน คือ 1.เรื่องของความโปร่งใสในการทำงานของคณะกรรมการ บอร์ด อสมท ว่ามีเรื่องร้องเรียนการทำงานอะไรบ้าง 2.ประสิทธิภาพการทำงานของบอร์ด และ 3.กระบวนการสรรหา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนใหม่
3.ในส่วนของร่างพรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เดิมในรัฐบาลชุดก่อน ถูกนำเสนอโดยกระทรวงไอซีที ทั้งนี้ตนได้ปรึกษากับทางกระทรวงดังกล่าวแล้ว ในการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ร่างพรบ.ใหม่ขึ้น ใน 3 เรื่องหลักๆ คือ 1.คณะกรรมการพรบ.ดังกล่าว จากเดิมที่จะมาจากการแต่งตั้งขึ้นตามความเหมาะสม เปลี่ยนเป็นมาจากการสรรหา ตามขั้นตอนการสรรหาที่จะต้องร่างขึ้นใหม่ด้วย 2.กำหนดสัดส่วนการสื่อสารที่ 20% จากเดิมไม่มีกำหนดไว้ และ3.ในส่วนของนิวมีเดีย จะมีกรอบ ข้อกำหนดที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งร่างพรบ.ใหม่นี้ จะนำขึ้นเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. ในวาระต่อไปที่จะถึงนี้
**ทีวีไทยขึ้นปีที่2 **
นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย กล่าวถึง การดำเนินงานของทีวีไทยที่กำลังเข้าสู่ปีที่ 2 ว่า เป้าหมายการทำงานของทีวีไทยในปีที่ 2 นี้ คาดหวังว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์ที่คนในสังคมชื่นชอบมากยิ่งขึ้น ขณะที่เหตุการณ์ทางการเมืองไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างไร เทียบกับปีที่ผ่านมาที่เพิ่งเริ่มของทีวีไทยแล้ว ปีนี้ถือว่าดีกว่ามาก ขณะที่ปีก่อนครึ่งปีแรกทีวีไทยจะเผชิญกับการตอบคำถามจากสังคมและการเมืองอย่างหนัก
ล่าสุดสำหรับผังรายการใหม่ของเดือนม.ค.ในปี 2552 นี้ จะแบ่งเป็น รายการข่าว 45.25% รายการสารคดี 12.62% รายการสารประโยชน์ 16.14% รายการเด็กและเยาวชน 13.15% รายการสาระบันเทิง 12.02% และรายการกีฬา 0.83%
นอกจากนี้จากการที่สถานีฯมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับสังคม ล่าสุดได้มีการจัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือกลุ่มผู้จัดรายการหน้าใหม่ ที่เป็นบริษัทเล็กๆ หรือกลุ่มผู้จัดรายการที่เป็นกลุ่มคนในสังคม แต่ต้องการทำรายการเพื่อนำเสนอแง่มุมต่างๆของสังคม โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในส่วนของการพัฒนาผู้จัดรายการเหล่านี้ในลักษณะของการฝึกอบรมเบื้องต้นของการทำรายการโทรทัศน์ ซึ่งหากรูปแบบรายการที่ผู้จัดเหล่านี้มีความน่าสนใจ ทางสถานีฯก็พร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณอีกส่วน เพื่อใช้เป็นค่าตอบแทนให้กับผู้จัดเหล่านี้ที่ผลิตรายการให้ทางสถานีฯต่อไป โดยค่าตอบแทนดังกล่าว ถือว่ายุติธรรม ใกล้เคียงกับฟรีทีวีทั่วไป
ปีนี้ทางสถานีฯพร้อมเดินหน้าสื่อวิทยุ และสื่อออนไลน์ โดยอีก 1 เดือนจากนี้ คาดว่าจะวางแผนเดินหน้าบางส่วน จะใช้ชื่อวิทยุไทย ถึงแม้ว่าทางสถานีฯจะไม่มีคลื่น เบื้องต้นจะมีการพูดคุยกับพันธมิตรในหลายๆด้าน เช่น คลื่นวิทยุในต่างจังหวัด หรือในสถานศึกษาต่างๆในการดึงสัญญาณของเราไปเผยแพร่
หากกสช.เกิดขึ้นจริง คาดว่าทางวิทยุไทยก็จะมีคลื่นวิทยุเป็นของตัวเองในการพัฒนาและเผยแพร่รายการต่างๆมากขึ้น ทั้งนี้รูปแบบคอนเท้นท์ที่จะนำเสนอในวิทยุไทยนั้น จะเน้นรายการสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น ละครวิทยุ ส่วนรายการข่าวจะมุ่งเน้นข่างเชิงเจาะลึก เพราะไม่ต้องการแข่งขันกันเองกับข่าวในทีวีไทย