รมว.สำนักฯ ลั่น “เอ็นบีที-อสมท” ต้องโปร่งใส ไม่สร้างความขัดแย้ง ความแตกแยกในบ้านเมือง ชี้หากอธิบดีกรมกร๊วก ผอ.เอ็นบีที มีความผิดพลาด บกพร่อง ก็ว่าไปตามกฎระเบียบ ปรามยังไม่คิดปลดใครในขณะนี้
วันนี้ (24 ธ.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่คาดว่าจะได้กำกับดูแลสื่อของรัฐ กล่าวถึงแนวคิดปรับเปลี่ยนสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีให้กลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เช่นเดิมว่า ยังเป็นข่าวที่มีความสับสน เพราะประเด็นใหญ่ช่อง 11 ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่อยู่ที่บทบาทของช่อง 11 เอง ในฐานะที่เป็นสื่อสารมวลชนของประชาชนที่รัฐดูแลและสื่อออกไป จริงๆ แล้วรัฐบาลและประชาชนตนคิดว่าเราคิดไม่ต่างกันที่อยากเห็นสื่อสารมวลชนที่กำกับดูแลให้เป็นสื่อสารมวลชนที่ใช้เครื่องมือของรัฐเพื่อเป็นประโยชน์ของสาธารณะจริงๆ ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร หรือทำให้เกิดความขัดแย้ง ความแตกแยกในบ้านเมือง
ส่วนจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่จะทำคือจะเป็นการเข้าไปขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายในฐานะที่เป็นสื่อสารมวลชนของรัฐ และยังมีอีกหลายส่วนที่ประกอบกันว่าจะทำอย่างไรให้เนื้อหาสาระที่ทำให้ประเทศชาติมีความสงบสุขอย่างแท้จริง เพราะประชาชนควรจะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะไปตอกลิ่มความขัดแย้ง แตกแยกในบ้านเมือง
“ผมมีความเชื่อในส่วนตัวว่าสื่อสารมวลชนทุกคนมีจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาจะโดยอำนาจใดก็แล้วแต่ไปครอบงำ ไปสั่งการ ไปแทรกแซงทำให้ท่านบิดเบี้ยวไปกับจรรยาบรรณที่ท่านควรเป็น และนำเสนอข่าวสดความสมดุล เราจะต้องดึงตรงนั้นกลับมาเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์”
นายสาทิตย์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวปรับเปลี่ยนบอร์ด อสมท ว่า การเปลี่ยนบอร์ดเป็นเรื่องที่สับสน เนื่องจากผู้ที่ตั้งคำถามกับตนว่า อสมท จะทำอย่างไร ซึ่งตนก็ตอบไปว่า รอหลังแถลงนโยบาย เพราะก็ทราบว่ามีบอร์ดที่ครบวาระการทำงาน ดังนั้นก็ต้องเข้าใจว่า แม้บอร์ด อสมท ถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในกำกับของสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี แต่ก็จดทะเบียนเป็นบริษัท อสมท (มหาชน) จำกัด (บมจ.) มีกฎหมายมีระเบียบรองรับ บอร์ดที่ครบวาระไปก็มีกระบวนการสรรหาภายใน บทบาทของรัฐมนตรีเองก็มีเพียงการกำกับดูแล ดังนั้นการที่จะเข้าไปสั่งเปลี่ยนอะไรคงทำไม่ได้
“แต่มีคำถามว่า ปกติเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว บอร์ดก็ควรจะเปลี่ยนหรือไม่ ผมเห็นว่าหลายครั้งที่เขาปฏิบัติกัน แต่ที่นี้มันมีกระบวนการภายใน ซึ่งตอนนี้เขากำลังดำเนินการกันอยู่ในหลายเรื่อง ทั้งการสรรหากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ก็มีการดำเนินการอยู่ รัฐมนตรีก็มีหน้าที่กำกับดูแล แต่ถ้าถามว่าสิ่งที่เราอยากจะเห็น คือ การทำงานร่วมกันกับ อสมท ซึ่งก็ไม่ต่างกับการทำงานกับกรมประชาสัมพันธ์ ช่อง 11 คือ ให้สื่อสารมวลชนเป็นประโยชน์กับประชาชนจริงๆ ไม่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือทางการเมือง และนำเสนอข่าวอย่างสมดุล และนำเสนอประโยชน์ต่อประชาชน”
ส่วนตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ห รือ ผอ.เอ็นบีที จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดตรงนั้น ตนคิดว่าเบื้องต้น ฝ่ายราชการก็ก็มีหลักเกณฑ์ แต่เมื่อเข้าไปแล้วก็ต้องพูดคุยกัน โดยการให้นโยบายว่าจะสามารถปฏิบัติตามนโยบายได้ เขาไม่ได้ทำผิดอะไรหากไปปรับเปลี่ยนโดยขาดเหตุผล แต่หากมีความผิดพลาด บกพร่อง หรือไม่ปฏิบัติตามนโยบายได้ ก็ชอบธรรมที่จะดำเนินการตามระเบียบของกรอบกฎหมายได้
ขณะที่ช่องเอ็นบีที ซึ่งถูกจับตาการนำเสนอประเด็นข่าวจะมีการเข้าไปดูสัญญากับเอกชนที่เป็นคู่สัญญาดูแลข่าวหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เรื่องความโปร่งใสที่ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลจะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษต้องยอมรับว่า หน่วยงานหลายหน่วยยังมีข้อครหาในความโปร่งใส ในขณะนี้ก็มีการส่งเรื่องโดย ส.ส.ประชาธิปัตย์ ถึง ป.ป.ช. ประเด็นนี้ก็มีกระบวนการเดินหน้าอยู่ ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด แต่เมื่อเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ก็จะต้องดูแลเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งความโปร่งใสก็เกิด และสิ่งใดที่ผิดพลาดก็จะต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย