กองทัพขวาง “อภิสิทธิ์” เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก 3 จังหวัดชายแดนาคใต้ ระบุสถานการณ์ยังไม่ปกติ กม.ความมั่นคงฯยังไม่คลอด แถมผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาทำให้เหตุร้ายลด 50 % ขณะเดียวกันเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่มีมาตรการดูแลความปลอดภัย “อภิสิทธิ์” และ ครม.ที่จะลงพื้นที่ภาคใต้ 17 ม.ค.นี้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงนโยบายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่จะให้ทบทวนการใช้กฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ว่า กฎหมายที่ใข้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ฉบับคือ กฎอัยการศึกและพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเรานำมาผสมผสานกัน เพราะบางอย่างที่ กฎอัยการศึกทำแล้วไม่เพียงพอ ในการดูแลและควบคุม เราจึงนำพ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้ คิดว่าขณะนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานคงจะเรียนกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ต้องดูแลภาพรวม ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพยังจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ใช้อยู่ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราไม่ได้ใช้ทั้งหมด และสถานการณ์ต่างๆ ก็ดีขึ้น สังเกตได้จากการสูญเสียในปี 2551 ลดน้อยลง เกือบ 50 % เรามาถูกทางแล้ว ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยินดีที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ต่อไป
ส่วนความเป็นไปได้ในการนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในมาใช้แทนนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายฉบับนี้กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ใช้ เพราะขั้นตอนในการใช้กฎหมายฉบับนี้มีหลายขั้นตอน มีคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณา เกี่ยวกับพื้นที่ สถานการณ์ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ ซึ่งทาง กอ.รมน.จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลใช่หรือไม่ว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ที่มาใช้ในพื้นที่จะไม่ทันต่อสถานการณ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ปั้จจุบันเราใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก ซึ่งทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และสอดคล้องกับงานที่ทำอยู่
ส่วนกรณีที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ ได้ทำรายงานผลการวิจัยพบว่ามีการซ้อม และทำร้ายผู้ต้องหาในพื้นที่นั้น ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งคงไม่ เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในพื้นที่ น่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้บังคับบัญชาทุกระดับจะดูแลประชาชนอยู่แล้ว คงไม่มีใครไปทำร้ายประชาชน
"เท่าที่ลงไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่เป็นไปด้วยดี มีโอกาสได้ลงไปเยี่ยมในหมู่บ้าน ที่อยู่ร่วมกันของไทยพุทธ 2 หมู่บ้าน มุสลิม 3 หมู่บ้าน มีพระ อิหม่าม อยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนตรงนี้มีการสังหารพระ ปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เห็นชัดเจนว่าดีขึ้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ"
สำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีวันที่ 17 ม.ค.นี้นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย ตนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเขาได้ร่วมมือในการทำงาน และผลงานก็ดีขึ้นในภาพรวม ส่วนม็อบปาไข่ นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ทั่วประเทศนั้น ตนก็ไม่ห่วง
มีรายงานว่า กอ.รมน.ได้เคยเสนอไปยังสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ทดลองใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในในพื้นที่ 4 อำเภอ นำร่องก่อน เพื่อดูผลการปฏิบัติ ซึ่งตามขั้นตอนตามหมวด 2 ของกฎหมายต้องให้คณะกรรมการฯ เสนอ ครม.อนุมัติประกาศพื้นที่ ก่อนประกาศใช้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการใช้กฎหมาย 2ฉบับคือ การประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจ. สงขลา และ ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังมีการประกาศพื้นที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทับลงไปอีก
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวถึงนโยบายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่จะให้ทบทวนการใช้กฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ว่า กฎหมายที่ใข้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ฉบับคือ กฎอัยการศึกและพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเรานำมาผสมผสานกัน เพราะบางอย่างที่ กฎอัยการศึกทำแล้วไม่เพียงพอ ในการดูแลและควบคุม เราจึงนำพ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้ คิดว่าขณะนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่หรือผู้ปฏิบัติงานคงจะเรียนกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ต้องดูแลภาพรวม ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทัพยังจำเป็นต้องใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ใช้อยู่ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราไม่ได้ใช้ทั้งหมด และสถานการณ์ต่างๆ ก็ดีขึ้น สังเกตได้จากการสูญเสียในปี 2551 ลดน้อยลง เกือบ 50 % เรามาถูกทางแล้ว ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยินดีที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ต่อไป
ส่วนความเป็นไปได้ในการนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในมาใช้แทนนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขณะนี้กฎหมายฉบับนี้กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ใช้ เพราะขั้นตอนในการใช้กฎหมายฉบับนี้มีหลายขั้นตอน มีคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณา เกี่ยวกับพื้นที่ สถานการณ์ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ ซึ่งทาง กอ.รมน.จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลใช่หรือไม่ว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ที่มาใช้ในพื้นที่จะไม่ทันต่อสถานการณ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ปั้จจุบันเราใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก ซึ่งทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และสอดคล้องกับงานที่ทำอยู่
ส่วนกรณีที่องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ ได้ทำรายงานผลการวิจัยพบว่ามีการซ้อม และทำร้ายผู้ต้องหาในพื้นที่นั้น ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งคงไม่ เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในพื้นที่ น่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้บังคับบัญชาทุกระดับจะดูแลประชาชนอยู่แล้ว คงไม่มีใครไปทำร้ายประชาชน
"เท่าที่ลงไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่เป็นไปด้วยดี มีโอกาสได้ลงไปเยี่ยมในหมู่บ้าน ที่อยู่ร่วมกันของไทยพุทธ 2 หมู่บ้าน มุสลิม 3 หมู่บ้าน มีพระ อิหม่าม อยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนตรงนี้มีการสังหารพระ ปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เห็นชัดเจนว่าดีขึ้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ"
สำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีวันที่ 17 ม.ค.นี้นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัย ตนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเขาได้ร่วมมือในการทำงาน และผลงานก็ดีขึ้นในภาพรวม ส่วนม็อบปาไข่ นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ทั่วประเทศนั้น ตนก็ไม่ห่วง
มีรายงานว่า กอ.รมน.ได้เคยเสนอไปยังสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ทดลองใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในในพื้นที่ 4 อำเภอ นำร่องก่อน เพื่อดูผลการปฏิบัติ ซึ่งตามขั้นตอนตามหมวด 2 ของกฎหมายต้องให้คณะกรรมการฯ เสนอ ครม.อนุมัติประกาศพื้นที่ ก่อนประกาศใช้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการใช้กฎหมาย 2ฉบับคือ การประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจ. สงขลา และ ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังมีการประกาศพื้นที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินทับลงไปอีก