กองทัพขวาง “อภิสิทธิ์” เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก 3 จังหวัดชายแดนาคใต้ ระบุสถานการณ์ยังไม่ปกติ กม.ความมั่นคงฯยังไม่คลอด แถมผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาทำให้เหตุร้ายลด 50 % ขณะเดียวกันเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่มีมาตรการดูแลความปลอดภัย “อภิสิทธิ์” และ ครม.ที่จะลงพื้นที่ภาคใต้ 17 ม.ค.นี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ไปทบทวนการใช้กฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ว่า ขณะนี้กฎหมายที่ใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ฉบับ คือ กฎอัยการศึกและ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเรานำมาผสมผสานกัน เพราะบางอย่างที่กฎอัยการศึกทำแล้วไม่เพียงพอในการดูแลและควบคุม เราจึงนำพระราชกำหนดมาใช้ คิดว่าขณะนี้เนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งช่วงนี้เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติ คงจะเรียนกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ที่จะต้องดูแลในภาพรวม ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา
เมื่อถามว่า ยังคงการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่อยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราใช้อยู่แล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราไม่ได้ใช้ทั้งหมด เพราะสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สังเกตได้จากการสูญเสียในปี 51 ลดน้อยลง เกือบ 50 % เรามาถูกทางแล้ว ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยินดีที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ต่อไป
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในมาใช้แทน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขณะนี้ พระราชบัญญัติ ความมั่นคงภายใน กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ใช้ เพราะขั้นตอนในการใช้กฎหมายฉบับนี้มีหลายขั้นตอน มีคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่ สถานการณ์ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ ซึ่งทาง กอ.รมน.จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า กังวลใช่หรือไม่ว่าพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในที่มาใช้ในพื้นที่จะไม่ทันต่อสถานการณ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ปัจจุบันเราใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก ซึ่งทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และสอดคล้องกับงานที่ทำอยู่ ส่วนกรณีที่องค์กรนิรโทษกรรมสากลได้ทำรายงานผลการวิจัยพบว่ามีการซ้อม และทำร้ายผู้ต้องหาในพื้นที่นั้น ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในพื้นที่ น่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้บังคับบัญชาทุกระดับจะดูแลประชาชนอยู่แล้ว คงไม่มีใครไปทำร้ายประชาชน
“เท่าที่ลงไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่นั้น ก็เป็นไปด้วยดี มีโอกาสได้ลงไปเยี่ยมในหมู่บ้านที่อยู่ร่วมกัน ไทยพุทธ 2 หมู่บ้าน มุสลิม 3 หมู่บ้าน มีพระ อิหม่าม อยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนตรงนี้มีการสังหารพระ ปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เห็นชัดเจนว่าดีขึ้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ”พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า แต่กรณีที่พบระเบิด 300 ลูกพร้อมใช้งานในพื้นที่แสดงให้เห็นว่ายังมีความพยายามก่อเหตุอยู่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็คงมีบ้าง เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นมานานแล้ว คิดว่าต่อไปจะดีขึ้น และประชาชนมีความเข้าใจดีขึ้น
เมื่อถามว่า ในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีวันที่ 17 ม.ค.นี้เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วง ตนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัด ซึ่งเขาได้ร่วมมือในการทำงาน และผลงานก็ดีขึ้น ในภาพรวม ซึ่งตนก็ชื่นชมในการทำงานของเจ้าหน้าที่ และไม่ไปกำชับอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขาทำงานดีอยู่แล้ว เมื่อถามว่า เป็นห่วงม็อบปาไข่ นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ทั่วประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ห่วง”
ในขณะที่ มีรายงานว่า กอ.รมน.ได้เคยเสนอไปยัง สภาความมั่นคงแห่งชาติในการ ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในพื้นที่ 4 อำเภอ เป็นการนำร่องก่อน เพื่อดูผลการปฏิบัติ ซึ่งตามขั้นตอนตามหมวด 2 ของกฎหมายต้องให้คณะกรรมการฯ เสนอ ครม.อนุมัติประกาศพื้นที่ ก่อนประกาศใช้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ การประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ. สงขลา และ ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังมีการประกาศพื้นที่ตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทับลงไปอีก
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ไปทบทวนการใช้กฎหมายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ใหม่ว่า ขณะนี้กฎหมายที่ใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 2 ฉบับ คือ กฎอัยการศึกและ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเรานำมาผสมผสานกัน เพราะบางอย่างที่กฎอัยการศึกทำแล้วไม่เพียงพอในการดูแลและควบคุม เราจึงนำพระราชกำหนดมาใช้ คิดว่าขณะนี้เนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกติ ซึ่งช่วงนี้เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติ คงจะเรียนกับนายกรัฐมนตรีในเรื่องของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ที่จะต้องดูแลในภาพรวม ซึ่งจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา
เมื่อถามว่า ยังคงการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่อยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราใช้อยู่แล้ว ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราไม่ได้ใช้ทั้งหมด เพราะสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น สังเกตได้จากการสูญเสียในปี 51 ลดน้อยลง เกือบ 50 % เรามาถูกทางแล้ว ซึ่งประชาชนในพื้นที่ยินดีที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้ต่อไป
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้ พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในมาใช้แทน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขณะนี้ พระราชบัญญัติ ความมั่นคงภายใน กำลังพิจารณาอยู่ ยังไม่ได้ใช้ เพราะขั้นตอนในการใช้กฎหมายฉบับนี้มีหลายขั้นตอน มีคณะกรรมการที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับพื้นที่ สถานการณ์ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ ซึ่งทาง กอ.รมน.จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่า กังวลใช่หรือไม่ว่าพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในที่มาใช้ในพื้นที่จะไม่ทันต่อสถานการณ์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่ปัจจุบันเราใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก ซึ่งทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และสอดคล้องกับงานที่ทำอยู่ ส่วนกรณีที่องค์กรนิรโทษกรรมสากลได้ทำรายงานผลการวิจัยพบว่ามีการซ้อม และทำร้ายผู้ต้องหาในพื้นที่นั้น ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายในพื้นที่ น่าจะเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า เพราะในภาพรวมผู้บังคับบัญชาทุกระดับจะดูแลประชาชนอยู่แล้ว คงไม่มีใครไปทำร้ายประชาชน
“เท่าที่ลงไปในพื้นที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่นั้น ก็เป็นไปด้วยดี มีโอกาสได้ลงไปเยี่ยมในหมู่บ้านที่อยู่ร่วมกัน ไทยพุทธ 2 หมู่บ้าน มุสลิม 3 หมู่บ้าน มีพระ อิหม่าม อยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนตรงนี้มีการสังหารพระ ปัจจุบันไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น เห็นชัดเจนว่าดีขึ้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ”พล.อ.ประวิตร กล่าว
เมื่อถามว่า แต่กรณีที่พบระเบิด 300 ลูกพร้อมใช้งานในพื้นที่แสดงให้เห็นว่ายังมีความพยายามก่อเหตุอยู่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็คงมีบ้าง เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นมานานแล้ว คิดว่าต่อไปจะดีขึ้น และประชาชนมีความเข้าใจดีขึ้น
เมื่อถามว่า ในการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีวันที่ 17 ม.ค.นี้เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ห่วง ตนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 3 จังหวัด ซึ่งเขาได้ร่วมมือในการทำงาน และผลงานก็ดีขึ้น ในภาพรวม ซึ่งตนก็ชื่นชมในการทำงานของเจ้าหน้าที่ และไม่ไปกำชับอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขาทำงานดีอยู่แล้ว เมื่อถามว่า เป็นห่วงม็อบปาไข่ นายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ทั่วประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่ห่วง”
ในขณะที่ มีรายงานว่า กอ.รมน.ได้เคยเสนอไปยัง สภาความมั่นคงแห่งชาติในการ ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในพื้นที่ 4 อำเภอ เป็นการนำร่องก่อน เพื่อดูผลการปฏิบัติ ซึ่งตามขั้นตอนตามหมวด 2 ของกฎหมายต้องให้คณะกรรมการฯ เสนอ ครม.อนุมัติประกาศพื้นที่ ก่อนประกาศใช้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการใช้กฎหมาย 2 ฉบับคือ การประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ. สงขลา และ ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังมีการประกาศพื้นที่ตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทับลงไปอีก