xs
xsm
sm
md
lg

ยุทธศาสตร์พัฒนาสองข้างทางรถไฟ

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

หลังจากบทความเรื่อง “ยุทธศาสตร์รถไฟ…ปรับยุทธศาสตร์ประเทศ” ได้ลงตีพิมพ์ไปแล้วได้ก่อให้เกิดความคิดเห็นจำนวนมากในทางสร้างสรรค์ อันจะเป็นประกายความคิดให้แก่การพัฒนากิจการรถไฟของประเทศไทยให้เป็นไปตามพระราชประสงค์และพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ดังนั้นในวันนี้จะขอชูธงชัยแห่งพระบรมราโชบายของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นเพื่อเป็นแนวคิดในการพัฒนาฟื้นฟูการรถไฟของประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง และอำนวยประโยชน์สุขแก่พี่น้องผองไทยต่อไป

ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าขณะนี้จีนซึ่งเหมาเจ๋อตงอดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ประกาศยุทธศาสตร์รถไฟหลังรัชสมัยของพระองค์ท่านเกือบร้อยปี ได้พัฒนาการรถไฟไปถึงระยะที่ 7 ที่มีความเร็วเฉลี่ย 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีโครงการนำร่องที่เดินรถไฟด้วยความเร็วสูงระดับ 450 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปหลายสาย ทั้งได้ปรับสองข้างทางรถไฟให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของแต่ละเมืองจนเลื่องชื่อลือชาไปทั่วโลกแล้ว

ในขณะที่ประเทศไทยของเรา กิจการรถไฟยังถอยหลังอย่างไม่หยุดยั้ง จนทำให้ความเร็วมาตรฐานระดับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในครั้งกระโน้น ต่ำต้อยถอยลงเหลือแค่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสองข้างทางรถไฟก็ชำรุดทรุดโทรม ยกเว้นแต่ที่ดินบางแปลงที่แย่งชิงฉ้อฉลหาประโยชน์ตนกันอึกทึกครึกโครม

จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล ชาวการรถไฟฯ ทั่วทั้งประเทศ ตลอดจนพี่น้องผองไทยจะได้ร่วมใจกันคิดอ่านผลักดันให้มีการฟื้นฟูพัฒนาการรถไฟครั้งใหญ่ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ประเทศไทยในอนาคตด้วย

วันก่อนได้นำเสนอเบื้องต้นเพื่อให้สืบสานพระบรมราชปณิธานของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ให้รัฐบาลประกาศนโยบายกำหนดให้รถไฟเป็นหลักในการคมนาคมทางบก ให้สร้างรถไฟรางคู่ในระบบสแตนดาร์ดเกตขยายเส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปทั่วทุกภาค เพื่อลดรายจ่ายพลังงานที่สูงเป็นลำดับหนึ่งของรายจ่ายของชาติลง และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน ตลอดจนเชื่อมโยงราชอาณาจักรนี้ให้ไปมาหาสู่ถึงกันได้โดยสะดวกและทั่วถึง

และในยามนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะดำเนินการดังกล่าวโดยจำเริญรอยตามพระบรมราโชบายของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามไม่ใช้การลงทุนโดยตรงของรัฐ แต่จะใช้วิธีการให้สัมปทานแทน ก็จะก่อให้เกิดการลงทุนและเกิดการจ้างงานอย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ อันจะมีผลต่อการรับมือกับวิกฤตทางเศรษฐกิจของโลกที่มีผลกระทบต่อไทยในครั้งนี้ด้วย

วันนี้จะกล่าวถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาสองข้างทางรถไฟ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในคลองพระเนตรของพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นมาแต่ครั้งกระโน้นแล้ว และทรงจัดแจงเผื่อการข้างหน้ามาถึงวันนี้ด้วยแล้ว นั่นคือการพระราชทานที่ดินสองข้างทางรถไฟข้างละ 10-40 เส้น เพื่อเตรียมการขยายให้เป็นรางคู่ การจัดตั้งสถานีให้เป็นศูนย์กลางการค้าการพาณิชย์ของแต่ละเมือง การจัดตั้งสถานีขนถ่ายผลิตผลและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทั่วถึงทั้งประเทศ ตลอดจนการพัฒนาที่ดินสองข้างทางรถไฟที่สอดคล้องกับสภาพทำเลและภูมิประเทศ

พระมหาราชเจ้าพระองค์นั้นได้จัดแจงเตรียมการทั้งปวงไว้พร้อมหมดแล้ว เหลือไว้แต่คนรุ่นหลังจะได้สืบสานพระบรมราชปณิธานให้เป็นจริงและสอดคล้องกับสภาวการณ์เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่พสกนิกรซึ่งเป็นลูกหลานของพระองค์ท่านเท่านั้น

เรามาดูกันว่าในปัจจุบันนี้เขาพัฒนาสองข้างทางรถไฟกันอย่างไร ก็ขอยกตัวอย่างจากประเทศจีน ซึ่งมีความเป็นเอกในด้านกิจการรถไฟในโลกมาเป็นตัวอย่าง

เรื่องแรก เป็นเรื่องการปรับสถานีรถไฟให้เป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ของแต่ละเมืองที่รถไฟผ่าน

ในอดีตสถานีรถไฟเป็นแค่สถานีขายตั๋วรถไฟ และเป็นสถานีขึ้น-ลงของผู้โดยสาร และอาจมีจุดขนถ่ายสินค้าบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้ผู้คนแบกหาม ทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย และเสียแรงงาน ตลอดจนทำให้ต้นทุนสูง ทำให้ผู้คนหันไปนิยมใช้รถสิบล้อในการขนส่งแทน ซึ่งเพิ่มภาระและปัญหามหาศาลให้กับชาติบ้านเมือง

ปัจจุบันนี้สถานีรถไฟหมดสภาพที่ว่านั้นไปนานแล้ว ได้กลายเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ขนาดใหญ่ของแต่ละเมือง และประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่สมบูรณ์แบบ

ตัวสถานีจะมีอาคารสถานที่เหมือนกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โดยมีรถไฟวิ่งผ่านด้านข้างหรือตรงกลาง มีห้องขายตั๋วโดยสาร มีจุดคนขึ้น-ลงแบบเดียวกับรถไฟใต้ดินในฮ่องกง ผู้โดยสารลงแล้วหากประสงค์จะชอปปิ้งก็จับจ่ายใช้สอยสินค้าในห้างสรรพสินค้าภายในสถานีได้ตามใจ หากไม่ประสงค์จะชอปปิ้งก็เดินลงอีกชั้นหนึ่งไปยังที่จอดรถหรือที่รับส่งผู้โดยสาร

ภายในศูนย์กลางการพาณิชย์นี้จะมีมุมแสดงสินค้าที่ผลิตของเมืองนั้นๆ เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยว ตลอดจนชาวต่างประเทศได้เยี่ยมชมผลผลิตของท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งสะดวกต่อการนำเข้า-ส่งออก หรือการซื้อส่งขายส่ง กลายเป็นศูนย์แสดงสินค้าประจำของแต่ละเมือง เท่ากับเปิดตลาดสินค้าท้องถิ่นออกสู่ทั่วประเทศและทั่วโลก และยังมีศูนย์อาหารขนาดใหญ่ที่เพียงพอรองรับผู้คนทั้งหลาย รวมทั้งมีร้านค้าเต็มไปหมด และยังรวมไปถึงสำนักงานการท่องเที่ยว สาขาธนาคาร และอื่นๆ อีกมากมาย

ถัดออกไปจากศูนย์กลางการพาณิชย์อันเป็นที่ตั้งสถานีรถไฟก็จะเป็นสถานีขนถ่ายสินค้า ซึ่งมีทั้งคลังสินค้าประจำท้องถิ่น มีเครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัยในการขนถ่าย ไม่ต้องใช้แรงงานคนแบกหามอีกต่อไป อุปกรณ์เครื่องมือในการขนถ่ายก็คล้ายๆ กับอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้าทางเรือ เป็นแต่มีขนาดเล็กกว่า และมีขนาดตู้คอนเทนเนอร์ที่เล็กกว่าแต่จะพอดีกับโบกี้ขนส่งรถไฟ ซึ่งประมาณว่าสองคอนเทนเนอร์รถไฟจะเท่ากับหนึ่งคอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งทางเรือ

เรื่องที่สอง
เป็นส่วนคลังสินค้า มีทั้งคลังสินค้าผลิตผลทางการเกษตรที่รอการขนส่งหรือการเคลื่อนย้ายไปยังเมืองอื่น และคลังสินค้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับส่งไปขายต่างเมืองหรือส่งออกอีกด้วย

เรื่องที่สาม เป็นส่วนของการท่องเที่ยว ซึ่งมีการก่อสร้างโรงแรมชั้นดี บ้างก็ห้าดาว บ้างก็สี่ดาว บางแห่งก็ตั้งอยู่ในศูนย์กลางการพาณิชย์ บางแห่งก็แยกส่วนตั้งต่างหาก

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องการบริหารจัดการที่ดินสองข้างทางรถไฟ ซึ่งบริหารจัดการโดยสอดคล้องกับสภาพทำเลและภูมิประเทศของที่ดินสองข้างทางรถไฟนั้นอย่างสอดคล้องกลมกลืนและก่อเกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์

ลักษณะแรก จัดทำเป็นศูนย์อาหารหรือไนท์บาซาร์เพื่อให้เกิดการค้าขายในท้องถิ่นต่างๆ เรียกว่าเปิดถนนคนเดินหรือตลาดประชาชน สำหรับประชาชนใช้จับจ่ายใช้สอยในราคาประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าสถานที่ราคาแพง มีทั้งสินค้าและอาหาร ตลอดจนผลิตผลท้องถิ่น

ลักษณะที่สอง จัดทำเป็นสวนสนุกหรือสถานที่ออกกำลังกาย หรือสถานที่เลี้ยงเด็ก หรือสถานที่พักผ่อนของคนชรา โดยมีระบบป้องกันแยกส่วนไม่ให้เกิดอันตรายจากการเดินรถไฟ

ลักษณะที่สาม การปลูกพืชผลและพันธุ์ไม้ตามสภาพของท้องที่และสภาพภูมิอากาศ

พื้นที่ใดเป็นเขตท่องเที่ยวหรือเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวก็จะปลูกไม้ดอกที่เต็มไปด้วยสีสันต่างๆ สองข้างทางรถไฟ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปชม มีความสวยสดงดงามราวกับแดนสวรรค์

พื้นที่ใดปลูกไม้ผลก็ให้ปลูกไม้ผลเป็นรายได้ของชุมชนในท้องถิ่นหรือวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น และปลูกตามสภาพความจริงที่เหมาะสมกับพืชพันธุ์นั้นๆ บางพื้นที่ปลูกแอปเปิ้ล ปลูกลูกพลับ ปลูกส้มและอะไรต่อมิอะไร จนสองข้างทางรถไฟกลายเป็นแหล่งผลิตผลไม้ชั้นยอด ที่เป็นพื้นฐานในการส่งเข้าโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรของท้องถิ่นได้อย่างเพียงพอ

พื้นที่ใดปลูกไม้ทางเศรษฐกิจก็ปลูกเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มครึ้มไปทั้งสองข้างทางรถไฟโดยให้ชุมชนเป็นผู้ปลูก และแบ่งผลประโยชน์ให้กับการรถไฟ เพราะเมื่อครบกำหนดระยะเวลาก็สามารถขายไม้สำหรับทำกิจการต่างๆ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ กลายเป็นแหล่งผลิตทางการเกษตรที่มีคุณค่า

ด้วยลักษณะเหล่านี้ สองข้างทางรถไฟของเขาจึงเป็นเงินเป็นทองเป็นแหล่งผลิตเป็นแหล่งรายได้ของประชาชน และก่อให้เกิดความสะดวก ความสวยงาม ไม่รกร้างว่างเปล่าและชำรุดทรุดโทรมเหมือนกับที่เป็นอยู่ในบ้านเรา

มาพิจารณายุทธศาสตร์พัฒนาสองข้างทางรถไฟกันบ้างก็ท่าจะดี!
กำลังโหลดความคิดเห็น