ท่านผู้อ่านที่เคารพ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการตัดข้อความในบทความผม ซึ่งเป็นการผิดสัญญา แต่ผมก็ไม่ประท้วง เพราะถือว่า ผมเป็นคนผิดที่ส่งต้นฉบับช้า และต้นฉบับก็ยาวกว่าที่ผมตั้งใจ ประกอบกับเนื้อที่ในหนังสือไม่พอ
ผมพยายามมองในแง่บวกว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ บางทีนักวิทยาศาสตร์ทดลองจะให้ได้เรื่องหนึ่ง กลับไปค้นพบอีกเรื่องหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยไม่ได้ตั้งใจก็มี
บังเอิญข้อความที่ขาดไปนั้น เป็นข้อความสำคัญเรื่องอำนาจเงินกับการเมืองไทย เป็นการโยนลูกไปหาจดหมายของท่านนายพลโทฤกดิ์ดี ซึ่งมองเห็นปรากฎการณ์ใหม่ในการบริจาคเงินด้วยอุดมการณ์และความบริสุทธิ์ใจของหมู่เหล่าพันธมิตรฯ
ผมคิดว่าคงไม่เป็นเรื่องซ้ำซากที่ผมจะนำข้อความนั้นมาเสนอ ดังนี้ครับ
“ผมเองเห็นต่อไปว่า พรรคที่หัวหน้าตั้งนั้นไม่มีวันยั่งยืน ใครมีข้อมูลว่าผมพูดผิดกระโดดออกมาเดิมพันได้ล้านบาทเอาขี้หมากองเดียว เพราะฉะนั้น ทุกพรรคที่หัวหน้าตั้งหรือตั้งเพื่อหัวหน้าหรือตั้งเอาไว้ขายหัว จะต้องล่มสลายหมดตามวาสนาชะตากรรมของหัวหน้า แปลว่าในขณะที่พรรคยังอยู่ก็จะต้องรับใช้ประโยชน์ของหัวหน้าและพวกพ้อง กับต้องจะต้องรีบกอบโกยเพราะเป็นสมบัติผลัดกันชม ไม่รู้จะไปวันไปพรุ่ง เรื่องนโยบายหรือโครงการหรูๆ ล้วนแต่ตอแหลเป็นเครื่องมือหากินทั้งนั้น
ลักษณะอันเป็นชั่วคราวของพรรคการเมืองนี้จึงเป็นเหมือนตราบาปหรือคำสาปทำให้เมืองไทยพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ได้ ขาดเสถียรภาพและไร้ความเชื่อถือ
ผมกำลังจะบอกต่อไปว่า เรื่องทั้งหมดนี้มิได้แปลว่านักการเมืองไทยเลวไปหมดทั้งชาติ เรื่องนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างหรือระบบ มิใช่เรื่องของบุคคล ระบบที่ออกแบบไว้เลวหรือวิวัฒนาการขึ้นมาเลว ถึงคนจะประเสริฐอย่างไร ก็เปลี่ยนหรือเอาชนะระบบไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ของหัวหน้ารัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เปรม ติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน และนายชวน หลีกภัย ไม่สามารถป้องกันการคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการได้ ทิ้งปัญหาให้ตกทอดต่อมา นับวันคอร์รัปชันคดโกงก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเพราะไม่ได้แก้ที่ระบบหลงงมงายว่า ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก หรือคนดีเสียอย่าง ระบบจะเป็นยังไงก็ช่างมัน
ระบบบังคับสังกัดพรรคและการบังคับจดทะเบียนพรรคแบบบริษัทรับเหมาก่อสร้างนี้เป็นมรดกของอเมริกันกับเผด็จการ ตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา เพราะกลัวคอมมิวนิสต์และทนความยุ่งของผู้แทนไม่ไหว จึงต้องการจับ ส.ส.ขังไว้ในคอกเสียให้หมดเพื่อความมั่นคงและเสถียรภาพ แต่ผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม
เชื่อใครไม่เชื่อ เชื่ออเมริกัน ทหาร (เผด็จการ) และนักวิชาการ
ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ มีการพูดถึงการเมืองใหม่และพรรคการเมืองใหม่พอสมควร ผมเองก็พูดใน ASTV เมื่อวันที่ 3 มกราคม นี้ว่าพรรคการเมืองจริงๆ เป็นสิ่งจำเป็นซึ่งก็จะต้องเป็นพรรคใหม่จึงจะได้การเมืองใหม่ไม่งั้นไม่มีทาง เพราะขณะนี้ของเก่ามีอยู่เพียงครึ่งพรรคคือ ประชาธิปัตย์ จะออกหัวหรือออกก้อยก็ยังไม่รู้
อาจารย์ลักษณา ตเวทิกุล เลี้ยงปีใหม่บรรดาหัวกะทิของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายร้อยคน มีผู้แข็งขันในขบวนการอมตะ 193 วันหลายท่านปรารภถึงความจำเป็นที่พันธมิตรฯ จะต้องตั้งพรรคการเมือง ผมได้ยินว่าพลตรีจำลองขึ้นเวทีไปเบรกอย่างแรง บอกว่าถ้าไม่มีเงินไม่มีทาง ดูแต่พลังธรรมเป็นตัวอย่าง ท่านทำแทบตาย....ผลที่สุดก็ได้ระบอบทักษิณมา ถ้าไม่มีพลังธรรมคงเป็นไปไม่ได้ที่ทักษิณจะเรียนลัดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
วันนี้ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเป็นรุ่นน้องและเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของมหาดไทย อดีตเป็นอธิบดีกรมการปกครอง และรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของรัฐบาลทักษิณ แต่ไม่ยอมลงให้ทักษิณ จึงอยู่ไม่ได้ ถูกเขี่ยจนลาออกมาเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาราชของนายเสนาะ เทียนทอง ก็เจอการเมืองเก่าอีก ผลที่สุดต้องออกมาตั้งพรรคประชามติ แต่ก็พับฐานไม่ได้ที่นั่งเลย สาเหตุใหญ่ผมว่ามิใช่เพราะไม่มีเงินอย่างเดียว ผมว่าที่สำคัญเพราะสังคมไทยยังล้าหลัง ไม่สามารถคิดหรือเคลื่อนไหวร่วมกับพรรคประชามติได้
ในการตั้งพรรคใหม่ ผมบอกแล้วว่าพรรคหัวหน้าตั้งไม่ยั่งยืน ไม่เชื่อลองให้สนธิ ลิ้มทองกุลหรือแกนนำทั้ง 5 ของพันธมิตรฯ ลองตั้งดู แต่ที่สำคัญ ร้อยทั้งร้อยจะต้องถามว่าจะเอาเงินหรือเจ้ามือมาจากที่ไหน มีแน่หรือ 1 พันล้านบาท จะเอาหัวหน้าและผู้สมัครดังๆ มาจากที่ไหน
ผมว่าถ้าคิดได้แค่นั้น ก็เลิกคิดเสียดีกว่า
ผมยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือเล่มที่กล่าว ซึ่งมีชื่อว่า อำนาจเงิน+อำนาจรัฐ โดย ประมวล รุจนเสรี ผู้เขียน “พระราชอำนาจ”
แต่ผมได้อ่านข้อความในปกหลังแล้วว่า
“ผู้เขียนเข้าเล่นการเมืองอย่างจริงจัง จริงใจ ในปี 2543 ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ ได้เรียนรู้และเห็นอย่างชัดเจนถึง การใช้เงินในอำนาจรัฐเข้าสู่อำนาจรัฐ ของนักธุรกิจการเมืองบางกลุ่มทำให้เกิดความวิบัติแก่บ้านเมืองและเสียหายแก่ชาติ และประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ในการเลือกตั้งปี 2550 ก็เกิดซ้ำรอยเดิมขึ้นอีก ประชาชนคนไทยจะทำอย่างไรกับปัญหานี้ หรือจะปล่อยไปตามอำนาจเงิน?"
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอให้ท่านอ่านดีๆ และนำข้อความหลังปกนี้ไปประกบกับจดหมายท่อนล่างของพลโทฤกดิ์ดีในฉบับที่แล้ว แล้วลองคิดดีๆ หรือโพสต์ยาวๆ มาหาผมได้ไหม
ขออย่างเดียวอย่าเอาเรื่องบุคคลนะครับ ต่อไปนี้ขอให้เราพูดถึงเรื่องโครงสร้างและระบบกันมากหน่อย
แต่ระบบนั้นคนเป็นผู้สร้างไม่ใช่หรือ คำตอบก็คือ ทั้งใช่ และไม่ใช่
เราจะต้องใช้คนสักเท่าไหร่ คนแบบไหน และจะต้องใช้เวลาเท่าใด จะต้องแก้กฎหมายก่อนหรือไม่ ฯลฯ เราจึงจะได้การเมืองใหม่ ระบบใหม่
ผมขอเชิญท่านผู้อ่าน พลโทฤกดิ์ดีและประมวล รุจนเสรี มาช่วยกันตอบด้วย
เรื่องแค่นี้ไม่เกินหัวสมองและหัวใจของคนไทยหรอก เชื่อเถอะ!
ผมพยายามมองในแง่บวกว่าชีวิตเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ บางทีนักวิทยาศาสตร์ทดลองจะให้ได้เรื่องหนึ่ง กลับไปค้นพบอีกเรื่องหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยไม่ได้ตั้งใจก็มี
บังเอิญข้อความที่ขาดไปนั้น เป็นข้อความสำคัญเรื่องอำนาจเงินกับการเมืองไทย เป็นการโยนลูกไปหาจดหมายของท่านนายพลโทฤกดิ์ดี ซึ่งมองเห็นปรากฎการณ์ใหม่ในการบริจาคเงินด้วยอุดมการณ์และความบริสุทธิ์ใจของหมู่เหล่าพันธมิตรฯ
ผมคิดว่าคงไม่เป็นเรื่องซ้ำซากที่ผมจะนำข้อความนั้นมาเสนอ ดังนี้ครับ
“ผมเองเห็นต่อไปว่า พรรคที่หัวหน้าตั้งนั้นไม่มีวันยั่งยืน ใครมีข้อมูลว่าผมพูดผิดกระโดดออกมาเดิมพันได้ล้านบาทเอาขี้หมากองเดียว เพราะฉะนั้น ทุกพรรคที่หัวหน้าตั้งหรือตั้งเพื่อหัวหน้าหรือตั้งเอาไว้ขายหัว จะต้องล่มสลายหมดตามวาสนาชะตากรรมของหัวหน้า แปลว่าในขณะที่พรรคยังอยู่ก็จะต้องรับใช้ประโยชน์ของหัวหน้าและพวกพ้อง กับต้องจะต้องรีบกอบโกยเพราะเป็นสมบัติผลัดกันชม ไม่รู้จะไปวันไปพรุ่ง เรื่องนโยบายหรือโครงการหรูๆ ล้วนแต่ตอแหลเป็นเครื่องมือหากินทั้งนั้น
ลักษณะอันเป็นชั่วคราวของพรรคการเมืองนี้จึงเป็นเหมือนตราบาปหรือคำสาปทำให้เมืองไทยพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ได้ ขาดเสถียรภาพและไร้ความเชื่อถือ
ผมกำลังจะบอกต่อไปว่า เรื่องทั้งหมดนี้มิได้แปลว่านักการเมืองไทยเลวไปหมดทั้งชาติ เรื่องนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างหรือระบบ มิใช่เรื่องของบุคคล ระบบที่ออกแบบไว้เลวหรือวิวัฒนาการขึ้นมาเลว ถึงคนจะประเสริฐอย่างไร ก็เปลี่ยนหรือเอาชนะระบบไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ของหัวหน้ารัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เปรม ติณสูลานนท์ นายอานันท์ ปันยารชุน และนายชวน หลีกภัย ไม่สามารถป้องกันการคอร์รัปชันของนักการเมืองและข้าราชการได้ ทิ้งปัญหาให้ตกทอดต่อมา นับวันคอร์รัปชันคดโกงก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเพราะไม่ได้แก้ที่ระบบหลงงมงายว่า ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก หรือคนดีเสียอย่าง ระบบจะเป็นยังไงก็ช่างมัน
ระบบบังคับสังกัดพรรคและการบังคับจดทะเบียนพรรคแบบบริษัทรับเหมาก่อสร้างนี้เป็นมรดกของอเมริกันกับเผด็จการ ตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา เพราะกลัวคอมมิวนิสต์และทนความยุ่งของผู้แทนไม่ไหว จึงต้องการจับ ส.ส.ขังไว้ในคอกเสียให้หมดเพื่อความมั่นคงและเสถียรภาพ แต่ผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม
เชื่อใครไม่เชื่อ เชื่ออเมริกัน ทหาร (เผด็จการ) และนักวิชาการ
ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ มีการพูดถึงการเมืองใหม่และพรรคการเมืองใหม่พอสมควร ผมเองก็พูดใน ASTV เมื่อวันที่ 3 มกราคม นี้ว่าพรรคการเมืองจริงๆ เป็นสิ่งจำเป็นซึ่งก็จะต้องเป็นพรรคใหม่จึงจะได้การเมืองใหม่ไม่งั้นไม่มีทาง เพราะขณะนี้ของเก่ามีอยู่เพียงครึ่งพรรคคือ ประชาธิปัตย์ จะออกหัวหรือออกก้อยก็ยังไม่รู้
อาจารย์ลักษณา ตเวทิกุล เลี้ยงปีใหม่บรรดาหัวกะทิของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลายร้อยคน มีผู้แข็งขันในขบวนการอมตะ 193 วันหลายท่านปรารภถึงความจำเป็นที่พันธมิตรฯ จะต้องตั้งพรรคการเมือง ผมได้ยินว่าพลตรีจำลองขึ้นเวทีไปเบรกอย่างแรง บอกว่าถ้าไม่มีเงินไม่มีทาง ดูแต่พลังธรรมเป็นตัวอย่าง ท่านทำแทบตาย....ผลที่สุดก็ได้ระบอบทักษิณมา ถ้าไม่มีพลังธรรมคงเป็นไปไม่ได้ที่ทักษิณจะเรียนลัดขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
วันนี้ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ผู้เขียนเป็นรุ่นน้องและเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของมหาดไทย อดีตเป็นอธิบดีกรมการปกครอง และรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยของรัฐบาลทักษิณ แต่ไม่ยอมลงให้ทักษิณ จึงอยู่ไม่ได้ ถูกเขี่ยจนลาออกมาเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาราชของนายเสนาะ เทียนทอง ก็เจอการเมืองเก่าอีก ผลที่สุดต้องออกมาตั้งพรรคประชามติ แต่ก็พับฐานไม่ได้ที่นั่งเลย สาเหตุใหญ่ผมว่ามิใช่เพราะไม่มีเงินอย่างเดียว ผมว่าที่สำคัญเพราะสังคมไทยยังล้าหลัง ไม่สามารถคิดหรือเคลื่อนไหวร่วมกับพรรคประชามติได้
ในการตั้งพรรคใหม่ ผมบอกแล้วว่าพรรคหัวหน้าตั้งไม่ยั่งยืน ไม่เชื่อลองให้สนธิ ลิ้มทองกุลหรือแกนนำทั้ง 5 ของพันธมิตรฯ ลองตั้งดู แต่ที่สำคัญ ร้อยทั้งร้อยจะต้องถามว่าจะเอาเงินหรือเจ้ามือมาจากที่ไหน มีแน่หรือ 1 พันล้านบาท จะเอาหัวหน้าและผู้สมัครดังๆ มาจากที่ไหน
ผมว่าถ้าคิดได้แค่นั้น ก็เลิกคิดเสียดีกว่า
ผมยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือเล่มที่กล่าว ซึ่งมีชื่อว่า อำนาจเงิน+อำนาจรัฐ โดย ประมวล รุจนเสรี ผู้เขียน “พระราชอำนาจ”
แต่ผมได้อ่านข้อความในปกหลังแล้วว่า
“ผู้เขียนเข้าเล่นการเมืองอย่างจริงจัง จริงใจ ในปี 2543 ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ ได้เรียนรู้และเห็นอย่างชัดเจนถึง การใช้เงินในอำนาจรัฐเข้าสู่อำนาจรัฐ ของนักธุรกิจการเมืองบางกลุ่มทำให้เกิดความวิบัติแก่บ้านเมืองและเสียหายแก่ชาติ และประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ในการเลือกตั้งปี 2550 ก็เกิดซ้ำรอยเดิมขึ้นอีก ประชาชนคนไทยจะทำอย่างไรกับปัญหานี้ หรือจะปล่อยไปตามอำนาจเงิน?"
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอให้ท่านอ่านดีๆ และนำข้อความหลังปกนี้ไปประกบกับจดหมายท่อนล่างของพลโทฤกดิ์ดีในฉบับที่แล้ว แล้วลองคิดดีๆ หรือโพสต์ยาวๆ มาหาผมได้ไหม
ขออย่างเดียวอย่าเอาเรื่องบุคคลนะครับ ต่อไปนี้ขอให้เราพูดถึงเรื่องโครงสร้างและระบบกันมากหน่อย
แต่ระบบนั้นคนเป็นผู้สร้างไม่ใช่หรือ คำตอบก็คือ ทั้งใช่ และไม่ใช่
เราจะต้องใช้คนสักเท่าไหร่ คนแบบไหน และจะต้องใช้เวลาเท่าใด จะต้องแก้กฎหมายก่อนหรือไม่ ฯลฯ เราจึงจะได้การเมืองใหม่ ระบบใหม่
ผมขอเชิญท่านผู้อ่าน พลโทฤกดิ์ดีและประมวล รุจนเสรี มาช่วยกันตอบด้วย
เรื่องแค่นี้ไม่เกินหัวสมองและหัวใจของคนไทยหรอก เชื่อเถอะ!