ทอยส์อาร์อัส เล็งขยายธุรกิจในอนาคต รับบริหารจัดการคิดส์โซนหรือแผนกของเด็กเล่นในห้างสรรพสินค้า เผยเดินหน้าเข้าสู่สเต๊ปที่ 2 แล้ว เน้นเปิดสาขาแบบเอ็กซเพรสและชูกลยุทธ์ออฟไซด์ลุยปี 2522
นายมานิตย์ เลิศสาครศิริ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท ทอยส์ รีเทลลิ่ง ( ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านทอยส์อาร์อัส ในไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจของเด็กเล่นในไทยเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใส เนื่องจากของเด็กเล่นมีการพัฒนาต่อเนื่องจากผู้ประกอบการและพ่อแม่ในยุคปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับของเด็กเล่นมากขึ้น
เนื่องจากทิศทางดังกล่าวบริษัทฯจึงมีแผนที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายสาขาใหม่ๆแล้ว ในอนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทฯจะขยายธุรกิจด้วยการเข้ารับบริหารจัดการแผนกของเด็กเล่นหรือคิดส์โซนของห้างสรรพสินค้าหรือธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการเจรจากับทางบางห้างบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้สรุป เพราะเป็นแผนงานในอนาคต ขณะนี้ต้องการให้การลงทุนเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าให้อยู่ตัวเสียก่อน
ทั้งนี้ทอยส์อาร์อัสต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเซียนี้ก็มีบางประเทศที่เริ่มทำกันแล้วเช่นที่ ประเทศมาเลเซียทอยส์อาร์อัสเข้าบริหารพื้นที่ของเด็กเล่นในห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน หรือที่ประเทศฟิลิปปินส์ทอยส์อาร์อัสเข้าบริหารพื้นที่โซนของเด็กเล่นที่ห้างโรบินสัน เป็นต้น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี
นายมานิตย์กล่าวต่อว่า แผนดังกล่าวถือเป็นแผนงานอนาคต หลังจากที่แผนขั้นแรกในไทยผ่านพ้นไปแล้วและสามารถทำได้ตามเป้าหมาย คือ ภายใน 3 ปีแรก จะเปิดให้ได้ 8-10 สาขา ซึ่งขณะนี้ทำได้แล้ว 8 สาขา และเตรียมเปิดสาขาที่ 9 บนชั้น 4 ที่เซ็นทรัลบีชพัทยา ซึ่งลงทุนสาขานี้ไปประมาณ 10 กว่าล้านบาท พื้นที่ 450 ตารางเมตร ซึ่งเดิมที่พัทยาก็มี 1 สาขาอยู่แล้วที่บิ๊กซี (ปีที่แล้วเปิด 2 สาขาคือ เอสพละนาดกับหัวหิน)
ส่วนแผนขั้นที่สองเริ่มจากนี้คือ การเปิดสาขาแบบเอ็กซเพรสและการรุกทำตลาดและกิจกรรมเต็มที่ โดยการเปิดสาขาแบบเอ็กซ์เพรสนั้น จะใช้พื้นที่อย่างต่ำ ต่ำกว่า 1,000 ตารางเมตร เพื่อความคล่องตัวและสะดวกในการหาพื้นที่ อีกทั้งยอดขายต่อพื้นที่ต่อตารางเมตรของสาขาขนาดเล็กจะดีกว่า เช่น ลาดพร้าว พัทยา หัวหิน แฟชั่นไอส์แลนด์ และเอสพละนาด ส่วนสาขาใหญ่มากกว่า 1,000 ตารางเมตรเช่น เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลบางนา เป็นต้น ทั้งนี้การขยายสาขา
จากนี้จะเน้นเปิดในต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่มากขึ้น เนื่องจากในกรุงเทพฯมีมากถึง 6 สาขาแล้ว แต่หากได้ทำเลดีก็จะลงทุนเปิดอีก
ขณะที่กลยุทธ์การตลาดนั้นจะเน้นกลยุทธ์ “ออฟไซด์” คือ การเช่าพื้นที่ลานกิจกรรมของห้างสรรพสินค้าเพื่อจัดกิจกรรมและนำของมาขายในราคาพิเศษหมุนเวียนไปหลายแห่งนานประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างต่ำในแต่ละแห่งเช่นที่ทำอยู่คือ ที่จังค์ซีลอน และที่เอาท์เล็ตมอลล์พัทยา และล่าสุดก็คือ ร่วมจัดงานวันเด็กกับแฟชั่นไอส์แลนด์และโรสมีเดียกรุ๊ป
นายมานิตย์กล่าวว่า ผลประกอบการปีที่แล้วบริษัทฯมียอดขายเติบโต 2 หลัก และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 2 หลักเช่นเดียวกัน เพราะผู้ปกครองเริ่มให้ความสำคัญกับการซื้อของเด็กเล่นทีมีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะของเล่นเพื่อการศึกษาหรือที่เรียกว่า เอ็ดดูเทนเม้นต์
สำหรับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันเป็นคนไทยกับคนต่างประเทศ 50% เท่ากัน แต่มีเป้าหมายเปลี่ยนสัดส่วนเป็น คนไทย 70% ต่างชาติ 30% โดยมีฐานสมาชิกขณะนี้ที่ 130,000 ราย คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 200,000 ราย
นายมานิตย์ เลิศสาครศิริ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท ทอยส์ รีเทลลิ่ง ( ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านทอยส์อาร์อัส ในไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจของเด็กเล่นในไทยเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใส เนื่องจากของเด็กเล่นมีการพัฒนาต่อเนื่องจากผู้ประกอบการและพ่อแม่ในยุคปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับของเด็กเล่นมากขึ้น
เนื่องจากทิศทางดังกล่าวบริษัทฯจึงมีแผนที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการขยายสาขาใหม่ๆแล้ว ในอนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า บริษัทฯจะขยายธุรกิจด้วยการเข้ารับบริหารจัดการแผนกของเด็กเล่นหรือคิดส์โซนของห้างสรรพสินค้าหรือธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการเจรจากับทางบางห้างบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้สรุป เพราะเป็นแผนงานในอนาคต ขณะนี้ต้องการให้การลงทุนเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าให้อยู่ตัวเสียก่อน
ทั้งนี้ทอยส์อาร์อัสต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเซียนี้ก็มีบางประเทศที่เริ่มทำกันแล้วเช่นที่ ประเทศมาเลเซียทอยส์อาร์อัสเข้าบริหารพื้นที่ของเด็กเล่นในห้างสรรพสินค้าพาร์คสัน หรือที่ประเทศฟิลิปปินส์ทอยส์อาร์อัสเข้าบริหารพื้นที่โซนของเด็กเล่นที่ห้างโรบินสัน เป็นต้น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี
นายมานิตย์กล่าวต่อว่า แผนดังกล่าวถือเป็นแผนงานอนาคต หลังจากที่แผนขั้นแรกในไทยผ่านพ้นไปแล้วและสามารถทำได้ตามเป้าหมาย คือ ภายใน 3 ปีแรก จะเปิดให้ได้ 8-10 สาขา ซึ่งขณะนี้ทำได้แล้ว 8 สาขา และเตรียมเปิดสาขาที่ 9 บนชั้น 4 ที่เซ็นทรัลบีชพัทยา ซึ่งลงทุนสาขานี้ไปประมาณ 10 กว่าล้านบาท พื้นที่ 450 ตารางเมตร ซึ่งเดิมที่พัทยาก็มี 1 สาขาอยู่แล้วที่บิ๊กซี (ปีที่แล้วเปิด 2 สาขาคือ เอสพละนาดกับหัวหิน)
ส่วนแผนขั้นที่สองเริ่มจากนี้คือ การเปิดสาขาแบบเอ็กซเพรสและการรุกทำตลาดและกิจกรรมเต็มที่ โดยการเปิดสาขาแบบเอ็กซ์เพรสนั้น จะใช้พื้นที่อย่างต่ำ ต่ำกว่า 1,000 ตารางเมตร เพื่อความคล่องตัวและสะดวกในการหาพื้นที่ อีกทั้งยอดขายต่อพื้นที่ต่อตารางเมตรของสาขาขนาดเล็กจะดีกว่า เช่น ลาดพร้าว พัทยา หัวหิน แฟชั่นไอส์แลนด์ และเอสพละนาด ส่วนสาขาใหญ่มากกว่า 1,000 ตารางเมตรเช่น เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลบางนา เป็นต้น ทั้งนี้การขยายสาขา
จากนี้จะเน้นเปิดในต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่มากขึ้น เนื่องจากในกรุงเทพฯมีมากถึง 6 สาขาแล้ว แต่หากได้ทำเลดีก็จะลงทุนเปิดอีก
ขณะที่กลยุทธ์การตลาดนั้นจะเน้นกลยุทธ์ “ออฟไซด์” คือ การเช่าพื้นที่ลานกิจกรรมของห้างสรรพสินค้าเพื่อจัดกิจกรรมและนำของมาขายในราคาพิเศษหมุนเวียนไปหลายแห่งนานประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างต่ำในแต่ละแห่งเช่นที่ทำอยู่คือ ที่จังค์ซีลอน และที่เอาท์เล็ตมอลล์พัทยา และล่าสุดก็คือ ร่วมจัดงานวันเด็กกับแฟชั่นไอส์แลนด์และโรสมีเดียกรุ๊ป
นายมานิตย์กล่าวว่า ผลประกอบการปีที่แล้วบริษัทฯมียอดขายเติบโต 2 หลัก และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 2 หลักเช่นเดียวกัน เพราะผู้ปกครองเริ่มให้ความสำคัญกับการซื้อของเด็กเล่นทีมีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะของเล่นเพื่อการศึกษาหรือที่เรียกว่า เอ็ดดูเทนเม้นต์
สำหรับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันเป็นคนไทยกับคนต่างประเทศ 50% เท่ากัน แต่มีเป้าหมายเปลี่ยนสัดส่วนเป็น คนไทย 70% ต่างชาติ 30% โดยมีฐานสมาชิกขณะนี้ที่ 130,000 ราย คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะมีประมาณ 200,000 ราย