ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.กสิกรไทยลั่นชิงบัลลังก์แชมป์อุตสาหกรรมกองทุน ตั้งเป้าปีฉลูโต 20% สวนกระแสเศรษฐกิจ หลังเชื่อมีโอกาสดีของนักลงทุนทั้งด้านตราสารหนี้และหุ้นจากสถานการณ์ในปัจจุบัน"รพี"ชู3กลยุทธ์ลุยสนามแข่งบลจ. เน้นรักษาผลการดำเนินงาน คงสถานะการเป็นผู้นำ และบูรณาการ-เพิ่มความสะดวกลูกค้ากับแบงก์แม่มากขึ้น ขณะเดียวกันคาดเศรษฐกิจไทยฟื้นช่วงสิ้นปี 52 จากการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การบริหารงานในปีนี้ของบริษัทได้มีการตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ไว้ที่ประมาณ 20% ซึ่งน่าจะเป็นการโตสวนกระแสของทั้งอุตสาหกรรมเหมือนในปีที่ผ่านมา โดยใช้ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการดำเนินงาน
“ที่ผ่านมาเรามีเอยูเอ็มตามหลังอันดับ 1 ไม่มากนักและการทำงานในปีนี้แน่นอนว่าเราอยากจะทวงแชมป์”นายรพีกล่าว
สำหรับ กลยุทธ์ของการบริหารงานในปีนี้จะเน้นหนักใน 3 ด้านด้วยกัน คือ1.รักษาผลการดำเนินงานให้ดีอยู่ตลอดเวลา 2.การคงสถานะการเป็นผู้นำในทุกสายงาน และสุดท้ายคือการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยในการขยายฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น
โดยการรักษาผลงานการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้แอคทีฟมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ผลประกอบการดี เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จะดูเรื่องผลตอบแทนละความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคงจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นเองจะมีการปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ การรักษาการเป็นผู้นำในทุกสายงานนั้น บริษัทจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาขึ้น โดยอาจมีการรีมิกซ์กองทุนเพิ่มมากขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร เช่นเดียวกอง K-TREASURY และ K-Money ในปีที่ผ่านมา
นายรพี กล่าวอีกว่า ในส่วนการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทย จะเป็นการใช้ความได้เปรียบด้านช่องทางการขาย และการเข้าถึงลูกค้า เนื่องจากธนาคารกสิกรไทยมีสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นอย่างดีทำให้ง่ายต่อการนำเสนอขายสินค้าของบริษัท
“ที่ผ่านมาเราขายผ่านสาขาแบงก์อยู่แล้วกว่า 95% ซึ่งสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีช่องทางอินเตอร์เนต และเอทีเอ็ม ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความสะดวกมาขึ้นอีกด้วย”นายรพีกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมสร้างความเข้าใจแก่พนักงานเรื่องผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มเติมอีก เพื่อสามารถนำข้อมูลของกองทุนไปเสนอแก่นักลงทุนได้ตรงตามความต้องการยิ่งขึ้น และยังมีการให้บริการวางแผนการเงิน(K-WePlane) ซึ่งเป็นโปรแกรมในการช่วยกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้จ่ายในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมขยายความร่วมมือเพื่อให้ลูกค้าของสามารถใช้บริการ บริษัทในเครือธนาคารกสิกรได้เพิ่มมากขึ้นด้วย เช่า สามารถใช้บริการเช่าซื้อ หรือกู้เงินตามแต่กรณี
นายรพี กล่าวอีกว่า จากสถาการณ์ของเศรษฐกิจในปัจจุบันเชื่อว่า น่าจะเป็นโอกาสดีต่อการลงทุน โดยแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยขาลง ที่คาดว่าจะลดอีกในระดับ 1% เพื่อกระตุ้นการลงทุนจะทำให้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจนทำให้นักลงทุนหันมาสนใจการลงทุนในรูปแบบอื่นมากขึ้นได้ และเป็นโอกาสดีในการนำเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ให้กับลูกค้า ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น เองในปีที่ผ่านมาชะลอตัวมาค่อนข้างมาก และเชื่อว่าน่าในปีนี้น่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณดังกล่าวออกมาบ้างแล้ว
นอกจากนี้เชื่อว่าการที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนเองเป็นแนวทางที่ดี ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในช่วงสิ้นปี 2552 ปรับตัวดีขึ้นได้
“ทั่วโลกต่างเริ่งแก้ปัญหาของต้นเพราะเกรงว่าเศรษฐกิจโลกจะทดถอยจนติดลบ แต่ถ้าไม่สำเร็จหรือเสถียรภาพของรัฐบาลบ้านเรามันสั้น คงไม่มีผลกับเป้าการเติบโตของเรา เพราะตอนนี้ยังมีโอกาสในการลงทุน ส่วนเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นผลกระทบระยะยาวที่ต้องติดตามดูต่อไป”นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวอีกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงอยู่ในภาวะทดถอย คือจะขยายตัวเพียงแค่ 1.2% ขณะที่เศรษฐกิจของทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกาจะยังคงขยายตัวติดลบ โดยมีประเทศในแถบเอเชียที่ยกเว้นญี่ปุ่นที่ยังสามารถขยายตัวได้ 5.5% ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่ารัฐบาลของทุกประเทศจะมีการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเร่งแก้ปัญหาของตน
ขณะที่ราคาน้ำมันอาจมีการปรับขึ้นได้ แต่อาจจะไม่รุนแรงเหมือนในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มของประเทศไทยซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการท่องเที่ยว อาจได้รับผลกระทบให้เห็นตัวเลขติดลบได้ โดยจะเป็นโอกาสให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ ภายหลังที่อัตราเงินเฟ้อปรับลง ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวได้ จากการใช้จ่ายของภาครัฐหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามครึ่งปีแรกของปีนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปี 2551
**AUMปีหนูโตสวนอุตสาหกรรม**
นางเสาวนีย์ ศรีสุวรรณกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวของAUM ในปีที่ผ่านมามีขนาดเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจุบันสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2551 อยู่ที่ 3.47 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่ 3.19 แสนล้านบาท กว่า 2.89 หมื่นล้านบาท โดยเป็นกองทุนรวมทีมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ 2.14 หมื่นล้านบาท อยู่ที่ 2.59 แสนล้านบาทในปัจจุบัน
สำหรับสาเหตุของการขยายตัวในครั้งนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการออกกองทุนถึงกว่า 40 กองทุนแบ่งเป็นกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีจำนวน 28 กองทุนรวมเป็นเงินกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนต่างประเทศอีก 2 กองทุน และกองทุนอื่นๆ อีก 10 กองทุน นอกจากนี้หลังจากที่บริษัทเปิดให้บริการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนLTF ผ่านบัตรเครดิตยังทำให้ยอกการขายกองทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 หมื่นล้านบาทอีกด้วย
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การบริหารงานในปีนี้ของบริษัทได้มีการตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM) ไว้ที่ประมาณ 20% ซึ่งน่าจะเป็นการโตสวนกระแสของทั้งอุตสาหกรรมเหมือนในปีที่ผ่านมา โดยใช้ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการดำเนินงาน
“ที่ผ่านมาเรามีเอยูเอ็มตามหลังอันดับ 1 ไม่มากนักและการทำงานในปีนี้แน่นอนว่าเราอยากจะทวงแชมป์”นายรพีกล่าว
สำหรับ กลยุทธ์ของการบริหารงานในปีนี้จะเน้นหนักใน 3 ด้านด้วยกัน คือ1.รักษาผลการดำเนินงานให้ดีอยู่ตลอดเวลา 2.การคงสถานะการเป็นผู้นำในทุกสายงาน และสุดท้ายคือการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยในการขยายฐานลูกค้าใหม่มากขึ้น
โดยการรักษาผลงานการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้แอคทีฟมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ที่จะคัดเลือกหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ผลประกอบการดี เป็นหลัก ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้จะดูเรื่องผลตอบแทนละความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคงจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นเองจะมีการปรับตัวลดลงตามอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่ การรักษาการเป็นผู้นำในทุกสายงานนั้น บริษัทจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาขึ้น โดยอาจมีการรีมิกซ์กองทุนเพิ่มมากขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร เช่นเดียวกอง K-TREASURY และ K-Money ในปีที่ผ่านมา
นายรพี กล่าวอีกว่า ในส่วนการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทย จะเป็นการใช้ความได้เปรียบด้านช่องทางการขาย และการเข้าถึงลูกค้า เนื่องจากธนาคารกสิกรไทยมีสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นอย่างดีทำให้ง่ายต่อการนำเสนอขายสินค้าของบริษัท
“ที่ผ่านมาเราขายผ่านสาขาแบงก์อยู่แล้วกว่า 95% ซึ่งสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการลูกค้า นอกจากนี้เรายังมีช่องทางอินเตอร์เนต และเอทีเอ็ม ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีความสะดวกมาขึ้นอีกด้วย”นายรพีกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังเตรียมสร้างความเข้าใจแก่พนักงานเรื่องผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มเติมอีก เพื่อสามารถนำข้อมูลของกองทุนไปเสนอแก่นักลงทุนได้ตรงตามความต้องการยิ่งขึ้น และยังมีการให้บริการวางแผนการเงิน(K-WePlane) ซึ่งเป็นโปรแกรมในการช่วยกำหนดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับความต้องการใช้จ่ายในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมขยายความร่วมมือเพื่อให้ลูกค้าของสามารถใช้บริการ บริษัทในเครือธนาคารกสิกรได้เพิ่มมากขึ้นด้วย เช่า สามารถใช้บริการเช่าซื้อ หรือกู้เงินตามแต่กรณี
นายรพี กล่าวอีกว่า จากสถาการณ์ของเศรษฐกิจในปัจจุบันเชื่อว่า น่าจะเป็นโอกาสดีต่อการลงทุน โดยแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยขาลง ที่คาดว่าจะลดอีกในระดับ 1% เพื่อกระตุ้นการลงทุนจะทำให้ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจนทำให้นักลงทุนหันมาสนใจการลงทุนในรูปแบบอื่นมากขึ้นได้ และเป็นโอกาสดีในการนำเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ให้กับลูกค้า ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น เองในปีที่ผ่านมาชะลอตัวมาค่อนข้างมาก และเชื่อว่าน่าในปีนี้น่าจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณดังกล่าวออกมาบ้างแล้ว
นอกจากนี้เชื่อว่าการที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนเองเป็นแนวทางที่ดี ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในช่วงสิ้นปี 2552 ปรับตัวดีขึ้นได้
“ทั่วโลกต่างเริ่งแก้ปัญหาของต้นเพราะเกรงว่าเศรษฐกิจโลกจะทดถอยจนติดลบ แต่ถ้าไม่สำเร็จหรือเสถียรภาพของรัฐบาลบ้านเรามันสั้น คงไม่มีผลกับเป้าการเติบโตของเรา เพราะตอนนี้ยังมีโอกาสในการลงทุน ส่วนเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นผลกระทบระยะยาวที่ต้องติดตามดูต่อไป”นายรพีกล่าว
นายรพี กล่าวอีกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงอยู่ในภาวะทดถอย คือจะขยายตัวเพียงแค่ 1.2% ขณะที่เศรษฐกิจของทวีปยุโรป และสหรัฐอเมริกาจะยังคงขยายตัวติดลบ โดยมีประเทศในแถบเอเชียที่ยกเว้นญี่ปุ่นที่ยังสามารถขยายตัวได้ 5.5% ซึ่งหลังจากนี้เชื่อว่ารัฐบาลของทุกประเทศจะมีการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเร่งแก้ปัญหาของตน
ขณะที่ราคาน้ำมันอาจมีการปรับขึ้นได้ แต่อาจจะไม่รุนแรงเหมือนในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มของประเทศไทยซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการท่องเที่ยว อาจได้รับผลกระทบให้เห็นตัวเลขติดลบได้ โดยจะเป็นโอกาสให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ ภายหลังที่อัตราเงินเฟ้อปรับลง ซึ่งหลังจากนี้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวได้ จากการใช้จ่ายของภาครัฐหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามครึ่งปีแรกของปีนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปี 2551
**AUMปีหนูโตสวนอุตสาหกรรม**
นางเสาวนีย์ ศรีสุวรรณกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การขยายตัวของAUM ในปีที่ผ่านมามีขนาดเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับทั้งอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปัจจุบันสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2551 อยู่ที่ 3.47 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่ 3.19 แสนล้านบาท กว่า 2.89 หมื่นล้านบาท โดยเป็นกองทุนรวมทีมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ 2.14 หมื่นล้านบาท อยู่ที่ 2.59 แสนล้านบาทในปัจจุบัน
สำหรับสาเหตุของการขยายตัวในครั้งนี้ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการออกกองทุนถึงกว่า 40 กองทุนแบ่งเป็นกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีจำนวน 28 กองทุนรวมเป็นเงินกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นกองทุนต่างประเทศอีก 2 กองทุน และกองทุนอื่นๆ อีก 10 กองทุน นอกจากนี้หลังจากที่บริษัทเปิดให้บริการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนLTF ผ่านบัตรเครดิตยังทำให้ยอกการขายกองทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงกว่า 1 หมื่นล้านบาทอีกด้วย