ASTVผู้จัดการรายวัน - ปชป.แฉ"ทักษิณ" เดินแผนโลกล้อมประเทศจ้าง 4 บริษัทต่างชาติดิสเครดิตประเทศไทยผ่านสื่อนอก มี "พันศักดิ์-พรหมินทร์-ภูมิธรรม" เป็นตัวเชื่อม จี้ "แม้ว"แสดงจุดยืน พร้อมเผย "อภิสิทธิ์" เตรียมจับเข่าคุยสื่อนอก 14 ม.ค.นี้ ด้านนายกฯ รปภ.เข้ม ระหว่างลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงหลังเจอขู่ เจ้าตัวไม่หวั่นขอทำงานตามปกติ ยันเจรจา "ทักษิณ" ไม่มีเรื่องคดีเข้ามาเกี่ยวข้อง "ศิริโชค" เผยมีคนโทร.ขู่และโจมตี "มาร์ค" วันละ 100 สาย พันธมิตรฯ เชื่อ "แม้ว" ปัดเจรจาเพราะยังไม่เพลี่ยงพล้ำทางการเมือง เตือนตรรกสมานฉันท์ของรัฐผิดทาง หวั่นหมิ่นเหม่ต่อคำพิพากษาของศาล จี้รื้อรัฐตำรวจ เร่งดำเนินการผู้ก่อเหตุ 7 ตุลาเลือด "พงศ์เทพ"ยันลูกพี่ไม่เคยได้รับการติดต่อเจรจาจาก "เทพเทือก"
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองและเงื่อนไขสำคัญที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศว่า ขณะนี้มีจุดที่พรรคมองว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อทิศทางอนาคตของประเทศว่าจะเดินหน้าบนพื้นฐานความมั่นคงหรือจะอยู่บนความสุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมี 3 เรื่องที่อยู่บนการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าจะทำหรือไม่ โดยขณะนี้ปัญหาทั้ง 3 เรื่องกำลังถูกบริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยว่าจ้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.49 ให้มาดำเนินการทำความน่าเชื่อถือของประเทศไทย
โดยบริษัทดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท เอลเดอร์แมน ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ วอชิงตันดีซี และฮ่องกง โดยมีการติดต่อกับนิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างชาติหลายแห่ง เพื่อทำข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทยไปลงตีพิมพ์ บริษัทที่ 2 คือ บริษัท บาเบอร์ กริฟฟิก รอเจอร์ หรือบีจีอาร์ ซึ่งทำงานด้านการ ประชาสัมพันธ์เป็นหลัก 3 บริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และ 4 บริษัท เบเกอร์บอท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่วอชิงตันดีซี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดพบว่า ใน 4 กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีเพียงบริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท เท่านั้นที่มีการยกเลิกสัญญาว่าจ้างทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่จะต่อสัญญา และว่าจ้างบริษัทที่มีความชำนาญเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยประสบมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่จะบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นที่ประเทศไทยได้รับจากสมาคมโลกจะสามารถฟื้นคืนมาได้หรือไม่
**เล่นงานรัฐบาล-กระบวนการยุติธรรม
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การดำเนินการของบริษัทเหล่านี้เกี่ยวกับการตั้งคำถาม การทำงานของสถาบันนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ผ่านมา โดยนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งสอดรับกับทางพรรคเพื่อไทย ที่ทำหนังสือไปยังสถานทูตรัฐบาลและสื่อต่างประเทศหลายฉบับเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีการระบุชัดในเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาล ในการแถลงนโยบายนอกสภา แต่ยังมีการพูดถึงการอ่านพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ และครม.ด้วย เรามั่นใจว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่แถลงนโยบาย ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการดำเนินการต่อเนื่องที่ผ่านล็อบบี้ต่างชาติ และเชื่อว่ามาชุมนุม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่การดำเนินการของแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังสร้างผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อความเชื่อถือของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้หยุดการดำเนินการ และหากจะมีการตีความการทำงานของรัฐสภาที่ตัดสินใจเลือกที่ประชุมในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภายในประเทศก็สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้เราก็พร้อม แต่อยากให้หยุดยั้งการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศผ่านสื่อและบริษัทล็อบบี้ยิสต์เหล่านี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านอกจากนี้ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการทำลายความเชื่อมั่นของกระบวนการและสถาบันยุติธรรมของไทยที่ดำเนินการ มาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว และเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งฟื้นฟู คืนความมั่นใจต่อสถาบันตุลาการของไทยให้จงได้ เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยและอังกฤษว่ามีความลำเอียงและเลือกปฏิบัติในการยึดทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะรับประกันได้ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย รัฐบาลมีหน้าที่ให้ความปลอดภัยและได้รับความเป็นธรรม ผลการวินิจฉัยออกมาเป็นอย่างไรทุกคนก็พร้อมที่จะยอมรับ
**ใช้สื่อหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
นอกจากนี้ยังมีการกระทำทั้งหลายในและต่างประเทศผ่านสื่อต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต ใบปลิว วิทยุชุมชน โดยล่าสุดมีวารสารอีคอนอมิก ได้ตีพิมพ์บทความ พูดถึงบทบาทของสถาบันสูงสุดของประเทศคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมาก โดยจะเห็นได้ในบทความและคำถามที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการทำร้ายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และอาจเป็นเพราะต่างชาติไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนและความเคารพรักที่คนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งดำเนินการไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามที่จะแปลคำปราศรัยของบางคน บนเวที นปช.ในอดีต เพื่อผูกโยงกับคำถามที่สื่อต่างประเทศได้ตีพิมพ์ลงไปแล้ว เพื่อเตรียมลงบทความก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ดังนั้น ตนคิดว่า 3 ปัญหาในเรื่องความมั่นใจต่อประเทศไทยสมควร ที่ต้องได้รับการสะสาง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นายกฯ ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลด้านความมั่นคงไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ประสบผล ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังดำเนินการทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับความมั่นใจของชาวโลกที่มีต่อไทย และต่อความสงบเรียบร้อย สมานฉันท์ของคนภายในประเทศไทย
**พันศักดิ์-พรหมินทร์-ภูมิธรรมตัวเชื่อม
"ผมขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความชัดเจนว่าขณะนี้การว่าจ้างบริษัทดังกล่าวยังมีอยู่หรือไม่ และมีบริษัทอื่นนอกเหนือจากนี้ได้รับการว่าจ้างในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณคือ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกฯ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกฯ และนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ที่สื่อควรจะถามความชัดเจนจากคนเหล่านี้ หากพบว่ามีการดำเนินการในลักษณะใช้โลกล้อมประเทศไทย ใช้ชนบทล้อมเมือง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้กันในกลุ่มอำนาจเดิม ผมหวังว่าปัญหาความแตกแยกซึ่งเป็นปัญหาหลักของวิกฤตการเมืองที่ผ่านมาจะไม่เกิดขึ้นต่อไปในปีนี้อีก"
ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจากจะใช้มาตรการขอร้องผ่านสื่อต่างประเทศให้ยุติการ เสนอข่าวแล้ว รัฐบาลมีมาตรการอื่น เช่น ใช้มาตรการด้านกฎหมายหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายสุเทพ พยายามจะขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งตนได้หารือกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายปณิธาน วัฒนายากร ว่าที่โฆษกรัฐบาล และในฐานะรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เห็นว่าการเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะไปพูดคุยได้ เพราะเป็นองค์กรที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจ บางบริษัทมีสัญญาถึง 3 แสนเหรียญ จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกมากกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตที่ปรึกษาทั้ง3 คน มีความตั้งใจจริงที่จะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งก็ต้องเริ่มต้น ที่คนเหล่านี้ว่าจะสามารถกำหนดทิศทางของบ้านเมืองให้ไปสู่ความสมานฉันท์หรือจะยังทำลายประเทศต่อไป
"ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ายังมีการว่าจ้างบริษัทเหล่านี้อยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าประชาชนบางส่วนไม่ได้รับรู้ต่อการกระทำเหล่านี้และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง"
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เราไม่สามารถปิดกั้นการทำงานของสื่อต่างประเทศได้ มีอยู่ทางเดียวคือต้องชี้แจงให้รู้ถึงความละเอียดอ่อนของสถาบัน โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ นายกฯ จะมีการพบกับสื่อต่างประเทศด้วย ส่วนที่มีการเอ่ยชื่อบุคคลทั้ง 3 คนนั้น ได้รับการยืนยันจากทางต่างประเทศว่าเป็น 1 ในกลุ่มบุคคลที่ยังมีการติดต่อกับบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรขอให้เจ้าตัวออกมายืนยันดีกว่า และข้อมูลที่ได้รับมามีเพียงบริษัทเดียวที่ยกเลิกแล้ว ส่วนบริษัทที่เหลือยังรับจ้างทำงานต่อ หากเป็นเพียงเรื่องประโยชน์ทางธุรกิจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อมั่น หรือความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
**รปภ.คุมเข้ม "อภิสิทธิ์"หาเสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 06.40 น.วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปช่วยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 10 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หาเสียงที่สวนธนบุรีรมย์ ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัย จาก ทหารของศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ กว่า 100 นาย
พล.ต.ต.วรัญวัส การุณยธัช ผบก.น.8 กล่าวว่า มีการจัดกำลังรักษาความปลอดภัยตามปกติ เนื่องจากนายกฯเป็นบุคคลสำคัญ แต่กำชับให้ดูแลเป็นพิเศษมากขึ้น หลังมีข่าวลอบทำร้าย โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ จาก สน.ราชบูรณะ มาดูแลรักษาความปลอดภัย
**ไม่เชื่อเลือกตั้งซ่อมจะเป็นจุดเปลี่ยนขั้ว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์กรณีการปราศรัยที่แสดงความเป็นห่วงเสถียรภาพรัฐบาลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะจริง ๆ เรายังเป็นเสียงข้างมากในสภา แต่ต้องการให้ประชาชนสนับสนุน เพื่อให้เกิดความมั่นคงมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเมินหรือไม่ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จะเป็นจุดเปลี่ยน ให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่คิดอย่างนั้น แต่เราต้องเดินหน้า ขอคะแนนเสียง ขอการสนับสนุนจากประชาชนให้มากที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าที่นั่ง ส.ส.ที่ว่าง ส่วนใหญ่เป็นของฝ่ายค้าน
**เจรจา "แม้ว"ไม่มีต่อรองเรื่องคดี
สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเพราะตนยังไม่ได้สอบถาม
ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าถ้ามีภาพการเจรจา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เป็นผลดี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนย้ำว่าการเจรจา คือการพูดคุย ทำความเข้าใจกัน ว่ารัฐบาลยืนยันไม่มีการกลั่นแกล้งใคร รัฐบาลให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ภายใต้กรอบกฎหมาย และต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ถ้ามีอะไรที่จะทำให้ราบรื่นได้ก็อยากจะทำความเข้าใจกัน แต่ไม่มีเรื่องการต่อรองผลประโยชน์แน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อรองขอแลกกับคดีความ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี เรื่องนี้ชัดเจนรัฐบาลถือว่า การต่อรองเรื่องคดีความคงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ให้ความมั่นใจได้คือไม่มีการกลั่นแกล้ง จะให้ความเป็นธรรม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะหวั่นไหวว่า พอมีการเปลี่ยนขั้ว จะมีการกลั่นแกล้ง ใช้อำนาจบีบในเรื่องต่าง ๆ เรายืนยันว่าไม่มี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจในความบริสุทธิ์ ก็ต้องพร้อมที่จะมีต่อสู้ ตามกระบวนการยุติธรรม
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่าอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู้คดี ้เพราะเป็นเรื่องปกติ และเราต้องการให้ทุกคนยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย เพื่อเป็นการยืนยันว่า บ้านเมืองของเรามีมาตรฐาน นี่คือสิ่งที่เราต้องการสื่อสารด้วย
** ทำหน้าที่ปกติไม่หวั่นถูกลอบทำร้าย
ส่วนข่าวการข่มขู่ทำร้ายนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ประมาท แต่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เมื่อถามว่าจากการตรวจสอบใครเป็นคน ต้องการทำร้าย นายกฯ กล่าวว่า จะมีกลุ่มที่เคลื่อนไหว บางทีอาจจะเป็นเรื่องของอารมณ์ก็ได้ ต่อข้อถามว่าความรุนแรงอยู่ระดับไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บางทีคำพูดต่างๆ ที่ใช้ก็อาจจะเกินเลยไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ารุนแรงถึงขั้นเตรียมก่อเหตุหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนที่มีการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา แม้ว่าแกนนำ จะประกาศว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เข้าไปอยู่ในนั้น ก็รายงานว่ามีน้ำกรดและอาวุธด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่าแกนนำจะรู้หรือไม่ เขาอาจจะไม่ทราบก็ได้ แต่ก็อาจจะมีคนบางกลุ่ม ที่อาจจะมีอารมณ์รุนแรง เป็นเรื่องที่เราไม่ประมาท
เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ เพราะต้องลงพื้นที่ตลอด นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีสิทธิกลัว เราอาสามาทำหน้าที่ ก็ต้องเดินหน้าทำงาน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ไม่ได้ตั้งตน ในความประมาท ส่วนจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปอลดภัยหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ
**แฉโทรขู่ "มาร์ค"วันละ100สาย
นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบโทรศัพท์ข่มขู่นายนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องดังกล่าวมีมาตั้งแต่หลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯช่วงแรกๆ แต่ละวันเกิน 100 สาย มีทั้งการโทรศัพท์เข้ามายังมือถือ มีทั้งการส่งข้อความผ่านเอสเอ็มเอส ซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย
อย่างไรก็ตามนายอภิสิทธิ์ มักจะรับโทรศัพท์เอง และก็ชี้แจงอธิบาย ทำความเข้าใจ โดยไม่ได้วิตกหรือเกรงกลัว ซึ่งก็มีบางคนที่เข้าใจ แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจ นายอภิสิทธิ์จึงบอกว่าให้อดทนและชี้แจงกันต่อไป ระยะหลังนายกรัฐมนตรี มีภารกิจมาก ตนก็จะเป็นผู้รับโทรศัพท์แทนบ้าง ทั้งนี้จากการสอบถามคนที่โทรศัพท์เข้ามา ส่วนใหญ่จะบอกว่ารู้เบอร์นายกรัฐมนตรีมาจากรายการวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่
"นายกรัฐมนตรีท่านชอบรับโทรศัพท์เอง เพราะเป็นคนสู้ และต้องการชี้แจง ข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนเบอร์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการข่าวก็ยอมรับว่ามีการรายงานเข้ามาเป็นระยะ แต่ไม่ถึงขั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกวางระเบิดเครื่องบิน ส่วนที่คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ออกมาระบุว่า ให้เอาหลักฐานการถูกข่มขู่มาชี้แจงนั้น ก็ไม่รู้ว่าท่านคิดได้อย่างไร เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดช่วงวันที่ 30 ธ.ค.51-3 ม.ค.52 อย่างที่คุณณัฐวุฒิกล่าวอ้าง ทำไมถึงเก่งเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างนี้ มิน่าถึงไม่ได้เป็น ส.ส.สักที สงสัยเป็นเพราะมีข้อมูลอย่างนี้นี่เอง"
**รับรปภ.มีทั้งทหารและตำรวจ
นายศิริโชคกล่าวว่าสำหรับการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการใช้แต่ทหารนั้นก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ ก็มาจากศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ซึ่งก็มีการสนธิกำลังทั้งทหารและตำรวจ จริงๆ แล้วเวลาที่ไปไหนมาไหนเป็นการส่วนตัวนายกรัฐมนตรีไม่อยากให้มี รปภ.แต่เจ้าหน้าที่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเขา อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีไม่มีศัตรูที่ไหน ถึงวันนี้ถ้ามีก็มีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาในการลงพื้นที่ หากมีภารกิจนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะเดินทางไป
**พันธมิตรฯเชื่อ"แก๊งแม้ว"ต้านแรงแน่
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เชื่อว่าแรงต้านรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากระบอบทักษิณจะเข้มข้นและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทั้งในสภาและนอกสภา เพราะในช่วงที่พรรคนอมินีระบอบทักษิณถืออำนาจก็ยังแสดงความก้าวร้าวให้สังคมเห็น ยิ่งมาเป็นฝ่ายค้าน ยิ่งเป็นไปได้สูงที่จะต่อต้านรัฐบาลสารพัดวิธี
นายสุริยะใส กล่าวว่าการโทรศัพท์ข่มขู่นายกฯ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะมีการแจกเบอร์นายกฯ ให้กับเครือข่ายผ่านวิทยุชุมชนและกลุ่มคนขับรถแท็กซี่บางกลุ่ม รวมทั้งมีการโพสต์เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของแกนนำขึ้นในเว็บไซด์เครือข่ายระบอบทักษิณ ในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุมแกนนำหลายคนก็โดนขู่ฆ่ารายวัน
นายสุริยะใส กล่าวว่าการชุมนุมใหญ่และยืดเยื้อรูปแบบพันธมิตรฯ นั้นกลุ่ม นปช.คงไม่มีศักยภาพ แต่คงใช้รูปแบบจัดชุมนุมย่อยๆ ตามสถานการณ์เพื่อสร้างความ ปั่นป่วนให้กับรัฐบาลแทน เพราะวิธีการดังกล่าวใช้คนไม่ต้องมากแต่เน้นปฏิบัติการที่รุนแรงเพื่อเรียกความสนใจจากสังคม
**ฟันธง "ทักษิณ"ไม่เจรจาถ้าไม่ได้ประโยชน์
"ตรรกของรัฐบาลที่เน้นการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อความสมานฉันท์และร่วมกันแก้ปัญหาบ้านเมืองนั้นเป็นตรรกที่ผิด แม้จะตั้งใจดีแต่คงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ยอมเจรจาถ้าไม่ได้ประโยชน์ หากจะเจรจาจะยังไม่ใช่ตอนนี้ จนกว่า นปช.และพรรคเพื่อไทยจะเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง เพราะในขณะนี้อำนาจต่อรองของระบอบทักษิณยังอยู่ในระดับที่สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ"
นายสุริยะใส กล่าวว่าการเจรจาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอาจทำให้สังคมเคลือบแคลงว่าจะเป็นการฮั้วกันทางการเมืองได้ หรือไม่อาจจะเป็นการท้าทายและหมิ่นเหม่ต่อคำพิพากษาของศาลได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีคำพิพากษาติดตัวและอยู่ในฐานะผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน
**จี้ฟันตร.สิ่งปฏิกูลจากระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ หนทางเดียวที่จะริเริ่มสมานฉันท์ได้ต้องทำให้กระบวนการยุติธรรมเข้มแข็ง ตราบใดที่คนผิดและถูกคำพิพากษาของศาลแต่ไม่ยอมรับผิดและยังต่อต้าน คำพิพากษาของศาลบ้านเมืองก็สมานฉันท์ลำบาก ประการสำคัญกระบวนการยุติธรรมต้นทางทั้งตำรวจและอัยการบางส่วนสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองมามาก รัฐบาลต้องกล้าริเริ่มที่จะวางแผนปฏิรูปอย่างจริงจัง
ส่วนกรณีของรัฐตำรวจที่เป็นสิ่งปฏิกูลจากระบอบทักษิณต้องริเริ่มรื้อถอน เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน 7 ตุลา นั้น พยานหลักฐานและผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมาธิการสอบสวนของวุฒิสภา เพียงพอที่รัฐบาลจะดำเนินการเอาผิดนายตำรวจ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่โยกย้าย ไล่ออกหรือเอาผิดทางวินัยไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องรอการชี้มูล จาก ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.ชี้มูลในเรื่องความผิดอาญาและวินัยร้ายแรงเป็นหลัก
**"เด็กแม้ว"ปัด "สุเทพ" ต่อสายถึงนาย
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านคนใกล้ชิด ให้ยุติความเคลื่อนไหวที่สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองว่า เพิ่งโทรศัพท์คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.และทราบว่านายสุเทพยังไม่ได้ติดต่อไป และไม่เคยรับทราบว่าติดต่อผ่านคนใกล้ชิดด้วย เข้าใจว่าคงจะเป็นการให้ข่าวเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะจริงๆ แล้วนั้นตนเคยพูดแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างอดีตนายกฯกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเรื่องระหว่างประชาธิปไตยกับสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มันเป็นความเห็นที่แตกต่างและต่อสู้ทางความคิด
นายพงษ์เทพ กล่าวว่า นปช.และคนเสื้อแดงเท่าที่ตนเคยสัมผัสในการปราศรัยนั้น คนกลุ่มนี้รักประชาธิปไตย อยากเห็นความเสมอภาคที่เท่าเทียมกันและประชาชนเป็นเจ้าของประชาธิปไตย อดีตนายกฯที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพราะเคยเป็นนายกฯที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ และ โดน คมช.ยึดอำนาจ อดีตนายกฯ จึงเป็นเสมือนตัวแทนประชาธิปไตย อดีตนายกฯไม่มีอำนาจชี้นำประชาชนเพราะคนกลุ่มนี้มาด้วยอุดมการณ์ และตอนนี้มีขบวนการที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยโดยประกอบด้วยหลายส่วน พรรคประชาธิปัตย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกนี้เท่านั้น
**บอกรัฐบาลไม่จำเป็นต้องคุยกับ"ทักษิณ"
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากแกนนำทั้งสองขั้วมาเจรจากันนั้น ปัญหาอาจยุติและสร้างประชาธิปไตยที่สังคมต้องการ อาจเป็นทางออกได้ นายพงษ์เทพ กล่าวว่า การสร้างประชาธิปไตยนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องคุยกับอดีตนายกฯหรอก เพียงแต่สร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงๆ แต่ยอมรับว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ของกลไกหลายอย่างแต่รัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกลไกประชาธิปไตยในรูปแบบที่ควรจะเป็นและถูกต้องนั้น ถามว่าจะสร้างประชาธิปไตย ได้อย่างไร เห็นง่ายๆ ไม่มีใครปฏิเสธว่ารัฐบาลชุดนี้มีที่มาจากทหารบางส่วน
ส่วนในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯก็โดนกล่าวหาว่าเป็นประชาธิปไตยผูกขาด นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ประชาธิปไตยในช่วงนั้นจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากประชาชนและสามารถปรับได้ เพราะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อใช้ไปแล้วก็มีข้อบกพร่องบางส่วน ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เชิญนักวิชาการมาพิจารณาว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไร เพียงแต่ตอนนั้นผลของเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะมีการยุบสภาไปก่อน จึงไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
**ขอความยุติธรรมให้ลูกพี่เท่านั้นพอ
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีแนวทางการสร้างความปรองดองในสังคมได้อย่างไรนั้น นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ต้องสร้างความเสมอภาคในสังคมให้เกิดขึ้น รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เห็นแก่หน้าฝ่ายใดและไม่รับธงจากฝ่ายใดมาตัดสินแบบขัดหลักยุติธรรมรวมทั้งกลไกรัฐที่ถูกต้อง เช่น กกต.และ ป.ป.ช.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คมช. และเข้ามาทำหน้าที่นั้น บุคคลเหล่านี้จะกุมกลไกสำคัญได้อย่างไรและใครจะเชื่อถือ เพราะ คมช.แต่งตั้งบุคคลเหล่านี้เข้ามาแล้วตามรัฐธรรมนูญที่นิรโทษกรรมไว้แล้ว ถามว่าสังคมไทยมองเห็นอภิสิทธิ์ชนแล้วและจะอยู่กันอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากอดีตฯนายกฯจะยอมคุยกับนายสุเทพนั้นจะมีเงื่อนไข ใดบ้าง นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ไม่ต้องคุยกับอดีตนายกฯเลยเพียงแต่จัดทำกระบวนการต่างๆ ให้เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว กระบวนการยุติธรรม ต้องเป็นไปโดยแท้จริงและไม่มีอำนาจนอกระบบ อำนาจประชาธิปไตยต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่อยู่กับอภิสิทธิ์ชนเพียงไม่กี่คน การอยู่ร่วมกันโดนสงบสุขในประเทศนั้นต้องจัดสรรทรัพยากรและผลประโยชน์ให้ทุกฝ่ายโดยเหมาะสมและมีเหตุผล ตรงนี้สังคมไทยจะอยู่ได้อย่างสงบ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่าแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลน่าจะคุยกันเพื่อหาทางออกให้สังคมได้ นายพงษ์เทพกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนไทยคนหนึ่งใน 63 ล้านคน ขอเพียงจะจัดสรรผลประโยชน์ให้อดีตนายกฯเท่าเทียมกับคนไทยทุกคนก็พอแล้ว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองและเงื่อนไขสำคัญที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศว่า ขณะนี้มีจุดที่พรรคมองว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อทิศทางอนาคตของประเทศว่าจะเดินหน้าบนพื้นฐานความมั่นคงหรือจะอยู่บนความสุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมี 3 เรื่องที่อยู่บนการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าจะทำหรือไม่ โดยขณะนี้ปัญหาทั้ง 3 เรื่องกำลังถูกบริษัทที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยว่าจ้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.49 ให้มาดำเนินการทำความน่าเชื่อถือของประเทศไทย
โดยบริษัทดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท เอลเดอร์แมน ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ วอชิงตันดีซี และฮ่องกง โดยมีการติดต่อกับนิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างชาติหลายแห่ง เพื่อทำข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทยไปลงตีพิมพ์ บริษัทที่ 2 คือ บริษัท บาเบอร์ กริฟฟิก รอเจอร์ หรือบีจีอาร์ ซึ่งทำงานด้านการ ประชาสัมพันธ์เป็นหลัก 3 บริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และ 4 บริษัท เบเกอร์บอท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่วอชิงตันดีซี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดพบว่า ใน 4 กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีเพียงบริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท เท่านั้นที่มีการยกเลิกสัญญาว่าจ้างทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่จะต่อสัญญา และว่าจ้างบริษัทที่มีความชำนาญเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยประสบมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่จะบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นที่ประเทศไทยได้รับจากสมาคมโลกจะสามารถฟื้นคืนมาได้หรือไม่
**เล่นงานรัฐบาล-กระบวนการยุติธรรม
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การดำเนินการของบริษัทเหล่านี้เกี่ยวกับการตั้งคำถาม การทำงานของสถาบันนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ผ่านมา โดยนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งสอดรับกับทางพรรคเพื่อไทย ที่ทำหนังสือไปยังสถานทูตรัฐบาลและสื่อต่างประเทศหลายฉบับเช่นกัน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่ามีการระบุชัดในเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาล ในการแถลงนโยบายนอกสภา แต่ยังมีการพูดถึงการอ่านพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ และครม.ด้วย เรามั่นใจว่าการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่แถลงนโยบาย ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการดำเนินการต่อเนื่องที่ผ่านล็อบบี้ต่างชาติ และเชื่อว่ามาชุมนุม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่การดำเนินการของแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังสร้างผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อความเชื่อถือของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้หยุดการดำเนินการ และหากจะมีการตีความการทำงานของรัฐสภาที่ตัดสินใจเลือกที่ประชุมในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภายในประเทศก็สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้เราก็พร้อม แต่อยากให้หยุดยั้งการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศผ่านสื่อและบริษัทล็อบบี้ยิสต์เหล่านี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านอกจากนี้ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการทำลายความเชื่อมั่นของกระบวนการและสถาบันยุติธรรมของไทยที่ดำเนินการ มาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว และเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งฟื้นฟู คืนความมั่นใจต่อสถาบันตุลาการของไทยให้จงได้ เพราะขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยและอังกฤษว่ามีความลำเอียงและเลือกปฏิบัติในการยึดทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะรับประกันได้ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย รัฐบาลมีหน้าที่ให้ความปลอดภัยและได้รับความเป็นธรรม ผลการวินิจฉัยออกมาเป็นอย่างไรทุกคนก็พร้อมที่จะยอมรับ
**ใช้สื่อหมิ่นสถาบันเบื้องสูง
นอกจากนี้ยังมีการกระทำทั้งหลายในและต่างประเทศผ่านสื่อต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต ใบปลิว วิทยุชุมชน โดยล่าสุดมีวารสารอีคอนอมิก ได้ตีพิมพ์บทความ พูดถึงบทบาทของสถาบันสูงสุดของประเทศคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมาก โดยจะเห็นได้ในบทความและคำถามที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการทำร้ายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และอาจเป็นเพราะต่างชาติไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนและความเคารพรักที่คนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งดำเนินการไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามที่จะแปลคำปราศรัยของบางคน บนเวที นปช.ในอดีต เพื่อผูกโยงกับคำถามที่สื่อต่างประเทศได้ตีพิมพ์ลงไปแล้ว เพื่อเตรียมลงบทความก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ดังนั้น ตนคิดว่า 3 ปัญหาในเรื่องความมั่นใจต่อประเทศไทยสมควร ที่ต้องได้รับการสะสาง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นายกฯ ได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลด้านความมั่นคงไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ประสบผล ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังดำเนินการทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับความมั่นใจของชาวโลกที่มีต่อไทย และต่อความสงบเรียบร้อย สมานฉันท์ของคนภายในประเทศไทย
**พันศักดิ์-พรหมินทร์-ภูมิธรรมตัวเชื่อม
"ผมขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความชัดเจนว่าขณะนี้การว่าจ้างบริษัทดังกล่าวยังมีอยู่หรือไม่ และมีบริษัทอื่นนอกเหนือจากนี้ได้รับการว่าจ้างในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณคือ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกฯ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกฯ และนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ที่สื่อควรจะถามความชัดเจนจากคนเหล่านี้ หากพบว่ามีการดำเนินการในลักษณะใช้โลกล้อมประเทศไทย ใช้ชนบทล้อมเมือง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้กันในกลุ่มอำนาจเดิม ผมหวังว่าปัญหาความแตกแยกซึ่งเป็นปัญหาหลักของวิกฤตการเมืองที่ผ่านมาจะไม่เกิดขึ้นต่อไปในปีนี้อีก"
ผู้สื่อข่าวถามว่านอกจากจะใช้มาตรการขอร้องผ่านสื่อต่างประเทศให้ยุติการ เสนอข่าวแล้ว รัฐบาลมีมาตรการอื่น เช่น ใช้มาตรการด้านกฎหมายหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายสุเทพ พยายามจะขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งตนได้หารือกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ และนายปณิธาน วัฒนายากร ว่าที่โฆษกรัฐบาล และในฐานะรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เห็นว่าการเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะไปพูดคุยได้ เพราะเป็นองค์กรที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจ บางบริษัทมีสัญญาถึง 3 แสนเหรียญ จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกมากกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตที่ปรึกษาทั้ง3 คน มีความตั้งใจจริงที่จะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งก็ต้องเริ่มต้น ที่คนเหล่านี้ว่าจะสามารถกำหนดทิศทางของบ้านเมืองให้ไปสู่ความสมานฉันท์หรือจะยังทำลายประเทศต่อไป
"ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ายังมีการว่าจ้างบริษัทเหล่านี้อยู่อีกหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าประชาชนบางส่วนไม่ได้รับรู้ต่อการกระทำเหล่านี้และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง"
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เราไม่สามารถปิดกั้นการทำงานของสื่อต่างประเทศได้ มีอยู่ทางเดียวคือต้องชี้แจงให้รู้ถึงความละเอียดอ่อนของสถาบัน โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ นายกฯ จะมีการพบกับสื่อต่างประเทศด้วย ส่วนที่มีการเอ่ยชื่อบุคคลทั้ง 3 คนนั้น ได้รับการยืนยันจากทางต่างประเทศว่าเป็น 1 ในกลุ่มบุคคลที่ยังมีการติดต่อกับบริษัทล็อบบี้ยิสต์ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรขอให้เจ้าตัวออกมายืนยันดีกว่า และข้อมูลที่ได้รับมามีเพียงบริษัทเดียวที่ยกเลิกแล้ว ส่วนบริษัทที่เหลือยังรับจ้างทำงานต่อ หากเป็นเพียงเรื่องประโยชน์ทางธุรกิจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อมั่น หรือความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
**รปภ.คุมเข้ม "อภิสิทธิ์"หาเสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 06.40 น.วานนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปช่วยนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 10 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หาเสียงที่สวนธนบุรีรมย์ ท่ามกลางการดูแลรักษาความปลอดภัย จาก ทหารของศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ กว่า 100 นาย
พล.ต.ต.วรัญวัส การุณยธัช ผบก.น.8 กล่าวว่า มีการจัดกำลังรักษาความปลอดภัยตามปกติ เนื่องจากนายกฯเป็นบุคคลสำคัญ แต่กำชับให้ดูแลเป็นพิเศษมากขึ้น หลังมีข่าวลอบทำร้าย โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบ จาก สน.ราชบูรณะ มาดูแลรักษาความปลอดภัย
**ไม่เชื่อเลือกตั้งซ่อมจะเป็นจุดเปลี่ยนขั้ว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์กรณีการปราศรัยที่แสดงความเป็นห่วงเสถียรภาพรัฐบาลว่า ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะจริง ๆ เรายังเป็นเสียงข้างมากในสภา แต่ต้องการให้ประชาชนสนับสนุน เพื่อให้เกิดความมั่นคงมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าประเมินหรือไม่ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. จะเป็นจุดเปลี่ยน ให้เกิดการเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่คิดอย่างนั้น แต่เราต้องเดินหน้า ขอคะแนนเสียง ขอการสนับสนุนจากประชาชนให้มากที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าที่นั่ง ส.ส.ที่ว่าง ส่วนใหญ่เป็นของฝ่ายค้าน
**เจรจา "แม้ว"ไม่มีต่อรองเรื่องคดี
สำหรับความคืบหน้าในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเพราะตนยังไม่ได้สอบถาม
ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าถ้ามีภาพการเจรจา กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เป็นผลดี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนย้ำว่าการเจรจา คือการพูดคุย ทำความเข้าใจกัน ว่ารัฐบาลยืนยันไม่มีการกลั่นแกล้งใคร รัฐบาลให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ภายใต้กรอบกฎหมาย และต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ถ้ามีอะไรที่จะทำให้ราบรื่นได้ก็อยากจะทำความเข้าใจกัน แต่ไม่มีเรื่องการต่อรองผลประโยชน์แน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อรองขอแลกกับคดีความ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มี เรื่องนี้ชัดเจนรัฐบาลถือว่า การต่อรองเรื่องคดีความคงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ให้ความมั่นใจได้คือไม่มีการกลั่นแกล้ง จะให้ความเป็นธรรม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะหวั่นไหวว่า พอมีการเปลี่ยนขั้ว จะมีการกลั่นแกล้ง ใช้อำนาจบีบในเรื่องต่าง ๆ เรายืนยันว่าไม่มี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจในความบริสุทธิ์ ก็ต้องพร้อมที่จะมีต่อสู้ ตามกระบวนการยุติธรรม
นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่าอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาสู้คดี ้เพราะเป็นเรื่องปกติ และเราต้องการให้ทุกคนยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย เพื่อเป็นการยืนยันว่า บ้านเมืองของเรามีมาตรฐาน นี่คือสิ่งที่เราต้องการสื่อสารด้วย
** ทำหน้าที่ปกติไม่หวั่นถูกลอบทำร้าย
ส่วนข่าวการข่มขู่ทำร้ายนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ประมาท แต่ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เมื่อถามว่าจากการตรวจสอบใครเป็นคน ต้องการทำร้าย นายกฯ กล่าวว่า จะมีกลุ่มที่เคลื่อนไหว บางทีอาจจะเป็นเรื่องของอารมณ์ก็ได้ ต่อข้อถามว่าความรุนแรงอยู่ระดับไหน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บางทีคำพูดต่างๆ ที่ใช้ก็อาจจะเกินเลยไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ารุนแรงถึงขั้นเตรียมก่อเหตุหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนที่มีการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา แม้ว่าแกนนำ จะประกาศว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เข้าไปอยู่ในนั้น ก็รายงานว่ามีน้ำกรดและอาวุธด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่าแกนนำจะรู้หรือไม่ เขาอาจจะไม่ทราบก็ได้ แต่ก็อาจจะมีคนบางกลุ่ม ที่อาจจะมีอารมณ์รุนแรง เป็นเรื่องที่เราไม่ประมาท
เมื่อถามว่า กลัวหรือไม่ เพราะต้องลงพื้นที่ตลอด นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีสิทธิกลัว เราอาสามาทำหน้าที่ ก็ต้องเดินหน้าทำงาน ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ไม่ได้ตั้งตน ในความประมาท ส่วนจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปอลดภัยหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ
**แฉโทรขู่ "มาร์ค"วันละ100สาย
นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบโทรศัพท์ข่มขู่นายนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องดังกล่าวมีมาตั้งแต่หลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาฯช่วงแรกๆ แต่ละวันเกิน 100 สาย มีทั้งการโทรศัพท์เข้ามายังมือถือ มีทั้งการส่งข้อความผ่านเอสเอ็มเอส ซึ่งส่วนใหญ่ ใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย
อย่างไรก็ตามนายอภิสิทธิ์ มักจะรับโทรศัพท์เอง และก็ชี้แจงอธิบาย ทำความเข้าใจ โดยไม่ได้วิตกหรือเกรงกลัว ซึ่งก็มีบางคนที่เข้าใจ แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจ นายอภิสิทธิ์จึงบอกว่าให้อดทนและชี้แจงกันต่อไป ระยะหลังนายกรัฐมนตรี มีภารกิจมาก ตนก็จะเป็นผู้รับโทรศัพท์แทนบ้าง ทั้งนี้จากการสอบถามคนที่โทรศัพท์เข้ามา ส่วนใหญ่จะบอกว่ารู้เบอร์นายกรัฐมนตรีมาจากรายการวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่
"นายกรัฐมนตรีท่านชอบรับโทรศัพท์เอง เพราะเป็นคนสู้ และต้องการชี้แจง ข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนเบอร์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการข่าวก็ยอมรับว่ามีการรายงานเข้ามาเป็นระยะ แต่ไม่ถึงขั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกวางระเบิดเครื่องบิน ส่วนที่คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ออกมาระบุว่า ให้เอาหลักฐานการถูกข่มขู่มาชี้แจงนั้น ก็ไม่รู้ว่าท่านคิดได้อย่างไร เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดช่วงวันที่ 30 ธ.ค.51-3 ม.ค.52 อย่างที่คุณณัฐวุฒิกล่าวอ้าง ทำไมถึงเก่งเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างนี้ มิน่าถึงไม่ได้เป็น ส.ส.สักที สงสัยเป็นเพราะมีข้อมูลอย่างนี้นี่เอง"
**รับรปภ.มีทั้งทหารและตำรวจ
นายศิริโชคกล่าวว่าสำหรับการดูแลรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการใช้แต่ทหารนั้นก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ ก็มาจากศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ซึ่งก็มีการสนธิกำลังทั้งทหารและตำรวจ จริงๆ แล้วเวลาที่ไปไหนมาไหนเป็นการส่วนตัวนายกรัฐมนตรีไม่อยากให้มี รปภ.แต่เจ้าหน้าที่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเขา อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีไม่มีศัตรูที่ไหน ถึงวันนี้ถ้ามีก็มีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาในการลงพื้นที่ หากมีภารกิจนายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะเดินทางไป
**พันธมิตรฯเชื่อ"แก๊งแม้ว"ต้านแรงแน่
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า เชื่อว่าแรงต้านรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากระบอบทักษิณจะเข้มข้นและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นทั้งในสภาและนอกสภา เพราะในช่วงที่พรรคนอมินีระบอบทักษิณถืออำนาจก็ยังแสดงความก้าวร้าวให้สังคมเห็น ยิ่งมาเป็นฝ่ายค้าน ยิ่งเป็นไปได้สูงที่จะต่อต้านรัฐบาลสารพัดวิธี
นายสุริยะใส กล่าวว่าการโทรศัพท์ข่มขู่นายกฯ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะมีการแจกเบอร์นายกฯ ให้กับเครือข่ายผ่านวิทยุชุมชนและกลุ่มคนขับรถแท็กซี่บางกลุ่ม รวมทั้งมีการโพสต์เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของแกนนำขึ้นในเว็บไซด์เครือข่ายระบอบทักษิณ ในช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุมแกนนำหลายคนก็โดนขู่ฆ่ารายวัน
นายสุริยะใส กล่าวว่าการชุมนุมใหญ่และยืดเยื้อรูปแบบพันธมิตรฯ นั้นกลุ่ม นปช.คงไม่มีศักยภาพ แต่คงใช้รูปแบบจัดชุมนุมย่อยๆ ตามสถานการณ์เพื่อสร้างความ ปั่นป่วนให้กับรัฐบาลแทน เพราะวิธีการดังกล่าวใช้คนไม่ต้องมากแต่เน้นปฏิบัติการที่รุนแรงเพื่อเรียกความสนใจจากสังคม
**ฟันธง "ทักษิณ"ไม่เจรจาถ้าไม่ได้ประโยชน์
"ตรรกของรัฐบาลที่เน้นการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อความสมานฉันท์และร่วมกันแก้ปัญหาบ้านเมืองนั้นเป็นตรรกที่ผิด แม้จะตั้งใจดีแต่คงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ยอมเจรจาถ้าไม่ได้ประโยชน์ หากจะเจรจาจะยังไม่ใช่ตอนนี้ จนกว่า นปช.และพรรคเพื่อไทยจะเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง เพราะในขณะนี้อำนาจต่อรองของระบอบทักษิณยังอยู่ในระดับที่สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ"
นายสุริยะใส กล่าวว่าการเจรจาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอาจทำให้สังคมเคลือบแคลงว่าจะเป็นการฮั้วกันทางการเมืองได้ หรือไม่อาจจะเป็นการท้าทายและหมิ่นเหม่ต่อคำพิพากษาของศาลได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีคำพิพากษาติดตัวและอยู่ในฐานะผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดิน
**จี้ฟันตร.สิ่งปฏิกูลจากระบอบทักษิณ
ทั้งนี้ หนทางเดียวที่จะริเริ่มสมานฉันท์ได้ต้องทำให้กระบวนการยุติธรรมเข้มแข็ง ตราบใดที่คนผิดและถูกคำพิพากษาของศาลแต่ไม่ยอมรับผิดและยังต่อต้าน คำพิพากษาของศาลบ้านเมืองก็สมานฉันท์ลำบาก ประการสำคัญกระบวนการยุติธรรมต้นทางทั้งตำรวจและอัยการบางส่วนสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองมามาก รัฐบาลต้องกล้าริเริ่มที่จะวางแผนปฏิรูปอย่างจริงจัง
ส่วนกรณีของรัฐตำรวจที่เป็นสิ่งปฏิกูลจากระบอบทักษิณต้องริเริ่มรื้อถอน เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน 7 ตุลา นั้น พยานหลักฐานและผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรรมาธิการสอบสวนของวุฒิสภา เพียงพอที่รัฐบาลจะดำเนินการเอาผิดนายตำรวจ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่โยกย้าย ไล่ออกหรือเอาผิดทางวินัยไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องรอการชี้มูล จาก ป.ป.ช.เพราะ ป.ป.ช.ชี้มูลในเรื่องความผิดอาญาและวินัยร้ายแรงเป็นหลัก
**"เด็กแม้ว"ปัด "สุเทพ" ต่อสายถึงนาย
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านคนใกล้ชิด ให้ยุติความเคลื่อนไหวที่สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองว่า เพิ่งโทรศัพท์คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.และทราบว่านายสุเทพยังไม่ได้ติดต่อไป และไม่เคยรับทราบว่าติดต่อผ่านคนใกล้ชิดด้วย เข้าใจว่าคงจะเป็นการให้ข่าวเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพราะจริงๆ แล้วนั้นตนเคยพูดแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไม่ได้เป็นเรื่องระหว่างอดีตนายกฯกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเรื่องระหว่างประชาธิปไตยกับสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มันเป็นความเห็นที่แตกต่างและต่อสู้ทางความคิด
นายพงษ์เทพ กล่าวว่า นปช.และคนเสื้อแดงเท่าที่ตนเคยสัมผัสในการปราศรัยนั้น คนกลุ่มนี้รักประชาธิปไตย อยากเห็นความเสมอภาคที่เท่าเทียมกันและประชาชนเป็นเจ้าของประชาธิปไตย อดีตนายกฯที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพราะเคยเป็นนายกฯที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ และ โดน คมช.ยึดอำนาจ อดีตนายกฯ จึงเป็นเสมือนตัวแทนประชาธิปไตย อดีตนายกฯไม่มีอำนาจชี้นำประชาชนเพราะคนกลุ่มนี้มาด้วยอุดมการณ์ และตอนนี้มีขบวนการที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยโดยประกอบด้วยหลายส่วน พรรคประชาธิปัตย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกนี้เท่านั้น
**บอกรัฐบาลไม่จำเป็นต้องคุยกับ"ทักษิณ"
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากแกนนำทั้งสองขั้วมาเจรจากันนั้น ปัญหาอาจยุติและสร้างประชาธิปไตยที่สังคมต้องการ อาจเป็นทางออกได้ นายพงษ์เทพ กล่าวว่า การสร้างประชาธิปไตยนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องคุยกับอดีตนายกฯหรอก เพียงแต่สร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงๆ แต่ยอมรับว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ของกลไกหลายอย่างแต่รัฐบาลที่ไม่ได้มาตามกลไกประชาธิปไตยในรูปแบบที่ควรจะเป็นและถูกต้องนั้น ถามว่าจะสร้างประชาธิปไตย ได้อย่างไร เห็นง่ายๆ ไม่มีใครปฏิเสธว่ารัฐบาลชุดนี้มีที่มาจากทหารบางส่วน
ส่วนในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯก็โดนกล่าวหาว่าเป็นประชาธิปไตยผูกขาด นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ประชาธิปไตยในช่วงนั้นจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากประชาชนและสามารถปรับได้ เพราะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2540 เมื่อใช้ไปแล้วก็มีข้อบกพร่องบางส่วน ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เชิญนักวิชาการมาพิจารณาว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไร เพียงแต่ตอนนั้นผลของเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เพราะมีการยุบสภาไปก่อน จึงไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
**ขอความยุติธรรมให้ลูกพี่เท่านั้นพอ
ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีแนวทางการสร้างความปรองดองในสังคมได้อย่างไรนั้น นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ต้องสร้างความเสมอภาคในสังคมให้เกิดขึ้น รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เห็นแก่หน้าฝ่ายใดและไม่รับธงจากฝ่ายใดมาตัดสินแบบขัดหลักยุติธรรมรวมทั้งกลไกรัฐที่ถูกต้อง เช่น กกต.และ ป.ป.ช.ที่มาจากการแต่งตั้งของ คมช. และเข้ามาทำหน้าที่นั้น บุคคลเหล่านี้จะกุมกลไกสำคัญได้อย่างไรและใครจะเชื่อถือ เพราะ คมช.แต่งตั้งบุคคลเหล่านี้เข้ามาแล้วตามรัฐธรรมนูญที่นิรโทษกรรมไว้แล้ว ถามว่าสังคมไทยมองเห็นอภิสิทธิ์ชนแล้วและจะอยู่กันอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากอดีตฯนายกฯจะยอมคุยกับนายสุเทพนั้นจะมีเงื่อนไข ใดบ้าง นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ไม่ต้องคุยกับอดีตนายกฯเลยเพียงแต่จัดทำกระบวนการต่างๆ ให้เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว กระบวนการยุติธรรม ต้องเป็นไปโดยแท้จริงและไม่มีอำนาจนอกระบบ อำนาจประชาธิปไตยต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่อยู่กับอภิสิทธิ์ชนเพียงไม่กี่คน การอยู่ร่วมกันโดนสงบสุขในประเทศนั้นต้องจัดสรรทรัพยากรและผลประโยชน์ให้ทุกฝ่ายโดยเหมาะสมและมีเหตุผล ตรงนี้สังคมไทยจะอยู่ได้อย่างสงบ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่าแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลน่าจะคุยกันเพื่อหาทางออกให้สังคมได้ นายพงษ์เทพกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนไทยคนหนึ่งใน 63 ล้านคน ขอเพียงจะจัดสรรผลประโยชน์ให้อดีตนายกฯเท่าเทียมกับคนไทยทุกคนก็พอแล้ว