ปชป.แฉ ขบวนการจ้องทำลายไทย ตัวการใหญ่ “แม้ว” จ้างล็อบบี้ยีสต์ต่างชาติเป็นเครื่องมือ ประโคมข่าวหมิ่นสถาบันหวังรักษาอำนาจตัวเอง เชื่อมโยงผ่าน “พันศักดิ์-พรหมินทร์-ภูมิธรรม” ด้าน “มาร์ค” เตรียมจับเข่าคุยสื่อนอกเคลียร์ปัญหา 14 ม.ค.นี้ เชื่อ หารือ “แม้ว” เหลวหากยังไร้จิตสำนึก
วันนี้ (4 ม.ค.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองและเงื่อนไขสำคัญในการที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ ว่า ซึ่งขณะนี้มีจุดที่พรรคมองว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อทิศทางอนาคตของประเทศ ว่า จะเดินหน้าบนพื้นฐานความมั่นคงหรือจะอยู่บนความสุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีหลายเรื่องที่อยู่บนการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยขณะนี้ปัญหาทั้ง 3 เรื่อง กำลังถูกบริษัทที่เคยว่าจ้าง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.2549 ดำเนินการเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท เอลเดอร์แมน ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี.และฮ่องกง โดยมีการติดต่อกับนิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างชาติหลายแห่ง เพื่อทำข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทย บริษัท บาเบอร์ กริฟฟิก รอเจอร์ หรือ บีจีอาร์ ซึ่งทำงานด้านการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก บริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์ และบริษัท เบเกอร์บอท ซึ่งมีฐานปฏิบัติการอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี.โดยจากการตรวจสอบข้อมูลล่าสุดพบว่า ใน 4 กลุ่มบริษัทดังกล่าวมีเพียงบริษัท เบล พอททิงเกอร์ นอร์ท เท่านั้น ที่มีการยกเลิกสัญญาว่าจ้างทำงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่จะต่อสัญญา และว่าจ้างบริษัทที่มีความชำนาญเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยประสบมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นเงื่อนไขสุดท้ายที่จะบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นที่ประเทศไทยได้รับจากสมาคมโลกจะสามารถฟื้นคืนมาได้หรือไม่
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การดำเนินการของบริษัทเหล่านี้เกี่ยวกับการตั้งคำถามการทำงานของสถาบันนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ผ่านมา โดยนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งสอดรับกับทางพรรคเพื่อไทย ที่ทำหนังสือไปยังสถานทูตรัฐบาลและสื่อต่างประเทศหลายฉบับเช่นกัน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบว่า มีการระบุชัดในเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาลในการแถลงนโยบายนอกสภา แต่ยังมีการพูดถึงการอ่านพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ และ ครม.ด้วย เรามั่นใจว่า การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่แถลงนโยบายไม่มีส่วนรู้เห็นกับการดำเนินการต่อเนื่องที่ผ่านล็อบบี้ต่างชาติ และเชื่อว่า มาชุมนุมมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่การดำเนินการของแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังสร้างผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อความเชื่อถือของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องสถาบันหลักในระบอบประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องให้หยุดการดำเนินการ และหากจะมีการตีความการทำงานของรัฐสภาที่ตัดสินใจเลือกที่ประชุมในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภายในประเทศก็สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้เราก็พร้อม แต่อยากให้หยุดยั้งการกระทำที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศผ่านสื่อและบริษัทล็อบบี้ยีสต์เหล่านี้
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการทำลายความเชื่อมั่นของกระบวนการและสถาบันยุติธรรมของไทยที่ดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว และเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งฟื้นฟู คืนความมั่นใจต่อสถาบันตุลาการของไทยให้จงได้ เพราะขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยและอังกฤษว่ามีความลำเอียงและเลือกปฏิบัติในการยึดทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะรับประกันได้ว่า หากพ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมาประเทศไทย รัฐบาลมีหน้าที่ให้ความปลอดภัยและได้รับความเป็นธรรม ผลการวินิจฉัยออกมาเป็นอย่างไรทุกคนก็พร้อมที่จะยอมรับ นอกจากนี้ยังมีการกระทำทั้งหลายในและต่างประเทศผ่านสื่อต่างๆ ทั้งอินเทอร์เน็ต ใบปลิว วิทยุชุมชน โดยล่าสุดมีวารสารอีโคโนมิก ได้ตีพิมพ์บทความพูดถึงบทบาทของสถาบันสูงสุดของประเทศ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ต่อการเมืองไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสำคัญมาก โดยจะเห็นได้ในบทความและคำถามที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการทำร้ายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทยที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และอาจเป็นเพราะต่างชาติไม่เข้าใจความละเอียดอ่อนและความเคารพรักที่คนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งดำเนินการไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ซึ่งขณะนี้มีความพยายามที่จะแปลคำปราศรัยของบางคนบนเวทีนปช.ในอดีต เพื่อผูกโยงกับคำถามที่สื่อต่างประเทศได้ตีพิมพ์ลงไปแล้ว เพื่อเตรียมลงบทความก่อนที่จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ดังนั้น ตนคิดว่า 3 ปัญหาในเรื่องความมั่นใจต่อประเทศไทยสมควรที่ต้องได้รับการสะสาง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นายกฯ ได้มอบหมายให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลด้านความมั่นคงไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ประสบผล ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดำเนินการทางการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับความมั่นใจของชาวโลกที่มีต่อไทย และต่อความสงบเรียบร้อยสมานฉันท์ของคนภายในประเทศไทย
“ผมขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงความชัดเจน ว่า ขณะนี้การว่าจ้างบริษัทดังกล่าวยังมีอยู่หรือไม่ และมีบริษัทอื่นนอกเหนือจากนี้ได้รับการว่าจ้างในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการมอบหมายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ คือ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษานายกฯ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกฯ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ที่สื่อควรจะถามความชัดเจนจากคนเหล่านี้ หากพบว่ามีการดำเนนการในลักษณะใช้โลกล้อมประเทศไทย ใช้ชนบทล้อมเมือง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้กันในกลุ่มอำนาจเดิม ผมหวังว่า ปัญหาความแตกแยก ซึ่งเป็นปัญหาหลักของวิกฤตการเมืองที่ผ่านมาจะไม่เกิดขึ้นต่อไปในปีนี้อีก”
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากจะใช้มาตรการขอร้องผ่านสื่อต่างประเทศให้ยุติการเสนอข่าวแล้ว รัฐบาลมีมาตรการอื่น เช่น ใช้มาตรการด้านกฎหมายหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายสุเทพ พยายามจะขอเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งตนได้หารือกับ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และ นายปณิธาน วัฒนายากร ว่าที่โฆษกรัฐบาล และในฐานะรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เห็นว่าการเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะไปพูดคุยได้ เพราะเป็นองค์กรที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจ บางบริษัทมีสัญญาถึง 3 แสนเหรียญ จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกมากกว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตที่ปรึกษาทั้ง 3 คน มีความตั้งใจจริงที่จะให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งก็ต้องเริ่มต้นที่คนเหล่านี้ว่าจะสามารถกำหนดทิศทางของบ้านเมืองให้ไปสู่ความสมานฉันท์หรือจะยังทำลายประเทศต่อไป
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า วิสัยทัศน์และวุฒิภาวะก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าจิตสำนึกของคนที่มีอำนาจว่าจะรักษาอำนาจของตนเองบนการทำลายความน่าเชือถือของประเทศตัวเองหรือไม่ และประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ายังมีการว่าจ้างบริษัทเหล่านี้อยู่อีกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าประชาชนบางส่วนไม่ได้รับรู้ต่อการกระทำเหล่านี้และถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ส่วนเรื่องจดหมายที่เขียนไปเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถปิดกั้นการทำงานของสื่อต่างประเทศได้ มีอยู่ทางเดียวคือต้องชี้แจงให้รู้ถึงความละเอียดอ่อนของสถาบัน โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ นายกฯ จะมีการพบกับสื่อต่างประเทศด้วย ส่วนที่มีการเอ่ยชื่อบุคคลทั้ง 3 คนนั้น ได้รับการยืนยันจากทางต่างประเทศว่าเป็น 1 ในกลุ่มบุคคลที่ยังมีการติดต่อจากบริษัทล็อบบี้ยีสต์ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรข้อให้เจ้าตัวออกมายืนยันดีกว่า และข้อมูลที่ได้รับมามีเพียงบริษัทเดียวที่ยกเลิกแล้ว ส่วนบริษัทที่เหลือยังรับจ้างทำงานต่อ หากเป็นเพียงเรื่องประโยชน์ทางธุรกิจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อมั่น หรือความน่าเชื่อถือของสถาบันต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำกระทำ
เมื่อถามว่าปัญหาเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนการทำงานของรัฐบาลหนรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามที่จะหารือกับกลุ่มอำนาจเก่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ โดยนายกฯ พร้อมที่จะเจรจากับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเจรจา คือ พฤติกรรมที่จะเป็นเงื่อนไขและอุปสรรคต่อความสำเร็จในการเจรจา หากการกระทำเหล่านี้ยังไม่ยุติลงก็ยากที่จะหารือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งได้
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามให้มีการแบ่งแยกประชาชน โดยในช่วงที่ผ่านมามีความพยายามชี้ให้เห็นว่า นายกฯ และรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถที่จะไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคเหนือได้ ในฐานะที่ตนเป็นส.ส.จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ขอยืนยันว่า ภาคเหนือจริงๆ แล้วรักสงบ และอยากให้โอกาสรัฐบาลทำงาน และแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประชาชนที่รอนโยบายของรัฐบาล ทั้งเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุ การเรียนฟรี หรือค่าตอบแทนของ อสม.จึงขอเรียกร้องไปยัง ส.ส.ฝ่ายค้านควรให้โอกาสรัฐบาลทำงาน และอย่าแบ่งแยกประชาชน ขอให้ยุติการสร้างความแตกแยกในพื้นที่ภาคต่างๆ ด้วยวาจา เพราะสิ่งที่ทำอยู่ไม่เป็นผลดีกับประเทศ และควรใช้สถานะความเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ในสภาเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนมากกว่า