ASTVผู้จัดการรายวัน - ฝันร้ายตามหลอนเกษตรกรไทย แนวโน้มราคาส่อแววตกต่ำไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา กาแฟ ข้าวโพด ถั่วเหลือง รวมไปถึงไก่ กุ้ง หมู หลังวิกฤตเศรษฐกิจขยายวงกว้าง ทำการบริโภคชะลอตัวลงทั่วโลก “พาณิชย์” เตรียมแผนรับมือ คาดใช้เงินแทรกแซงอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้คุ้มกับต้นทุนการผลิต
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในปี 2552 จะไม่แตกต่างจากช่วงปี 2551 มากนัก โดยคาดว่าราคายังคงมีแนวโน้มตกต่ำลงอีก เพราะผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และกำลังลุกลามไปทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบทำให้ความต้องการบริโภคลดลง การนำเข้าลดลง ขณะที่สินค้าเกษตรที่อิงราคาน้ำมัน ก็คงไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น จากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ เพราะคนจะไม่เห็นความสำคัญของการใช้พลังงานทดแทน และยังคงบริโภคน้ำมันต่อไป แรงจูงใจของผู้ผลิตในการผลิตพลังงานทดแทนก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
ปี 2552 ราคาสินค้าเกษตร ราคาคงไม่ดีเหมือนเมื่อช่วงต้นปี 2551 ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายๆ รายการสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา กาแฟ สับปะรด ไก่เนื้อ กุ้ง สุกร ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ถั่วเหลือง ไข่ไก่ โดยราคาเริ่มไต่ระดับขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. ก.พ. และมีราคาสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. และจากนั้นราคาก็เริ่มตกลงมาอย่างรวดเร็ว (ดูตารางประกอบ)
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงทางด้านราคาในปี 2552 รายการสำคัญ ได้แก่ ข้าวเปลือกนาปรัง ที่ขณะนี้เกษตรกรอยู่ระหว่างการเพาะปลูก และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วง ก.พ.- มี.ค. คาดว่าราคาจะเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีกครั้ง เพราะขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลง จากการที่ประเทศที่บริโภคข้าวได้เพิ่มปริมาณสต๊อกจนเพียงพอ ขณะที่บางประเทศได้เพิ่มปริมาณเพาะปลูกจนเพียงพอเช่นกัน ทำให้ความต้องการซื้อข้าวลดลง
ขณะนี้ราคาซื้อขายข้าวเปลือกในท้องตลาดอยู่ที่ประมาณตันละ 9 พันถึง 1 หมื่นบาท แต่ที่ราคาทรงตัวอยู่ได้ เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งราคารับจำนำไว้ที่ตันละ 1.2 หมื่นบาท ซึ่งต้องจับตาดูว่า การรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 รัฐบาลจะกำหนดราคาอย่างไร ซึ่งหากต่ำกว่าราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี ก็มีแนวโน้มว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะขายข้าวได้ราคาต่ำลงอีก
มันสำปะหลัง แนวโน้มราคายังไม่ดีขึ้น เนื่องจากตลาดส่งออกชะลอตัว เพราะจีนนำเข้ามันเส้นน้อยลง มันอัดเม็ดในสหภาพยุโรป (อียู) ก็ชะลอตัว เพราะผลผลิตธัญพืชในอียูมีมาก ทำให้ต้องการมันอัดเม็ดน้อยลง ขณะที่การนำมันสำปะหลังไปทำพลังงานทดแทนก็น้อยลง เพราะราคาน้ำมันถูกลง โดยราคาที่ยังทรงตัวอยู่ได้ ก็ด้วยโครงการรับจำนำของรัฐบาล ที่รับจำนำราคาเป็นขั้นบันไดจากกก.ละ 1.80 บาทในเดือน พ.ย.2551 ปรับเพิ่มเดือนละ 0.05 บาท ถึงเดือน เม.ย.2552 ราคาจะเพิ่มเป็น กก.ละ 2.05 บาท แต่หากไม่มีโครงการรับจำนำ คาดว่าราคาจะตกต่ำลงไปกว่านี้
ยางพารา ความต้องการใช้ยางในตลาดโลกยังคงลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์มีการชะลอตัวลงจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ยางลดลงตามไปด้วย และสถานการณ์ด้านราคาก็จะยังไม่สู้ดีนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะดำเนินการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราอย่างไร เพราะเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ด้วย
กาแฟ มีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนมีความวิตกต่อการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ราคาภายในประเทศยังคงอ่อนตัวลดลง เพราะขณะนี้ ภาครัฐได้เตรียมมาตรการในการรับมือ ทั้งการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินสถานการณ์ การฝึกอบรมเกษตรกรให้แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การจัดหาตลาดให้กับเกษตรกร และการเข้าไปกำกับดูแลการซื้อขาย
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาในตลาดโลกยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยพุ่งสูงสุดตันละ 275 เหรียญสหรัฐ มาถึงเดือน ต.ค.2551 อยู่ที่ตันละ 162 เหรียญสหรัฐ และแนวโน้มราคาคาดว่าจะอ่อนตัวลงอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ จนรัฐบาลต้องใช้โครงการรับจำนำประกันราคาไว้ที่ กก.ละ 8.50 บาท แต่เกษตรกรก็ยังเรียกร้องให้มีการประกันราคาอย่างต่อเนื่อง
ปาล์มน้ำมัน แนวโน้มราคาจะยังคงอ่อนตัวลงอีก เพราะภาวะการค้าโลกชะลอตัว ผลผลิตมีมากขึ้น แต่การนำไปใช้ด้านพลังงานทดแทนกลับน้อยลง เพราะราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ราคาผลปาล์มดิบของเกษตรกรลดลงตามไปด้วย ขณะที่รัฐบาลก็ทำได้เพียงแค่ให้โรงงานผลิตน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัด กก.ละ 22.50 บาท และให้โรงงานสกัดซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร กก.ละ 3.50 บาท แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
ถั่วเหลือง ราคายังขึ้นๆ ลงๆ แต่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ กก.ละ 15 บาท ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป
ขณะที่ผลผลิตทางด้านเนื้อสัตว์ เช่น ไก่เนื้อ แนวโน้มราคาอาจตกต่ำลงอีก เพราะขณะนี้หลายๆ ประเทศเริ่มกังวลในเรื่องไข้หวัดนก และบางประเทศก็มีการกำหนดเงื่อนไข และมาตรการกีดกันการนำเข้ามากขึ้น ทั้งเกาหลี รัสเซีย ออสเตรเลีย ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดเพิ่มได้ กุ้ง ราคาน่าจะทรงตัว แต่มีแนวโน้มราคาอ่อนตัวลงอีก เพราะผลผลิตมีจำนวนมาก และยังมีกุ้งที่เข้าสู่โครงการรับจำนำอีกเกือบ 1 หมื่นตัน ที่ยังไม่ได้ระบายออก ส่วนเนื้อสุกร ราคาน่าจะอ่อนตัวลง จากต้นทุนทั้งน้ำมันและอาหารสัตว์ที่ลดลง แต่ก็ไม่น่าจะลดลงได้มากนัก
รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นห่วง เพราะสินค้าเกษตรเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ หากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จะกระทบทำให้กำลังซื้อของคนภาคเกษตรลดลง และส่งผลต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจในระดับรากหญ้าชะลอตัวลง และในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มีการเตรียมแผนในการรับมือสินค้าเกษตรรายการต่างๆ ไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ก็มีความเป็นห่วง และได้ขอให้เป็น 1 ในนโยบายเร่งด่วน 4 ข้อ ที่จะดำเนินการในช่วง 3 เดือน ก็คือ การหาทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตร ซึ่งจะมีการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ผ่านโครงการแทรกแซงต่างๆ แต่ขอให้ยึดหลักที่ไม่มากจนเกินไป โดยจะดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ขายสินค้าได้คุ้มกับต้นทุนการผลิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 รัฐบาลได้ใช้เงินในการแทรกแซงสินค้าเกษตรไปแล้ว วงเงินสูงถึง 1 แสนล้านบาท แต่ให้ความช่วยเหลือพืชเกษตรได้ไม่กี่ตัว คือ ข้าว มันปะหลัง และข้าวโพด ดังนั้น ในปี 2552 อาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินมากกว่านี้ เพราะมีสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมากที่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาทางด้านราคาตามที่ระบุไว้ข้างต้น.
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรในปี 2552 จะไม่แตกต่างจากช่วงปี 2551 มากนัก โดยคาดว่าราคายังคงมีแนวโน้มตกต่ำลงอีก เพราะผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และกำลังลุกลามไปทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบทำให้ความต้องการบริโภคลดลง การนำเข้าลดลง ขณะที่สินค้าเกษตรที่อิงราคาน้ำมัน ก็คงไม่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น จากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับต่ำ เพราะคนจะไม่เห็นความสำคัญของการใช้พลังงานทดแทน และยังคงบริโภคน้ำมันต่อไป แรงจูงใจของผู้ผลิตในการผลิตพลังงานทดแทนก็ลดน้อยลงตามไปด้วย
ปี 2552 ราคาสินค้าเกษตร ราคาคงไม่ดีเหมือนเมื่อช่วงต้นปี 2551 ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในหลายๆ รายการสินค้า ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา กาแฟ สับปะรด ไก่เนื้อ กุ้ง สุกร ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ถั่วเหลือง ไข่ไก่ โดยราคาเริ่มไต่ระดับขึ้นจากช่วงเดือน ม.ค. ก.พ. และมีราคาสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. และจากนั้นราคาก็เริ่มตกลงมาอย่างรวดเร็ว (ดูตารางประกอบ)
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงทางด้านราคาในปี 2552 รายการสำคัญ ได้แก่ ข้าวเปลือกนาปรัง ที่ขณะนี้เกษตรกรอยู่ระหว่างการเพาะปลูก และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วง ก.พ.- มี.ค. คาดว่าราคาจะเข้าสู่ภาวะตกต่ำอีกครั้ง เพราะขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มลดต่ำลง จากการที่ประเทศที่บริโภคข้าวได้เพิ่มปริมาณสต๊อกจนเพียงพอ ขณะที่บางประเทศได้เพิ่มปริมาณเพาะปลูกจนเพียงพอเช่นกัน ทำให้ความต้องการซื้อข้าวลดลง
ขณะนี้ราคาซื้อขายข้าวเปลือกในท้องตลาดอยู่ที่ประมาณตันละ 9 พันถึง 1 หมื่นบาท แต่ที่ราคาทรงตัวอยู่ได้ เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งราคารับจำนำไว้ที่ตันละ 1.2 หมื่นบาท ซึ่งต้องจับตาดูว่า การรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 รัฐบาลจะกำหนดราคาอย่างไร ซึ่งหากต่ำกว่าราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี ก็มีแนวโน้มว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจะขายข้าวได้ราคาต่ำลงอีก
มันสำปะหลัง แนวโน้มราคายังไม่ดีขึ้น เนื่องจากตลาดส่งออกชะลอตัว เพราะจีนนำเข้ามันเส้นน้อยลง มันอัดเม็ดในสหภาพยุโรป (อียู) ก็ชะลอตัว เพราะผลผลิตธัญพืชในอียูมีมาก ทำให้ต้องการมันอัดเม็ดน้อยลง ขณะที่การนำมันสำปะหลังไปทำพลังงานทดแทนก็น้อยลง เพราะราคาน้ำมันถูกลง โดยราคาที่ยังทรงตัวอยู่ได้ ก็ด้วยโครงการรับจำนำของรัฐบาล ที่รับจำนำราคาเป็นขั้นบันไดจากกก.ละ 1.80 บาทในเดือน พ.ย.2551 ปรับเพิ่มเดือนละ 0.05 บาท ถึงเดือน เม.ย.2552 ราคาจะเพิ่มเป็น กก.ละ 2.05 บาท แต่หากไม่มีโครงการรับจำนำ คาดว่าราคาจะตกต่ำลงไปกว่านี้
ยางพารา ความต้องการใช้ยางในตลาดโลกยังคงลดลง เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์มีการชะลอตัวลงจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการใช้ยางลดลงตามไปด้วย และสถานการณ์ด้านราคาก็จะยังไม่สู้ดีนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะดำเนินการในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราอย่างไร เพราะเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ด้วย
กาแฟ มีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนมีความวิตกต่อการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่ราคาภายในประเทศยังคงอ่อนตัวลดลง เพราะขณะนี้ ภาครัฐได้เตรียมมาตรการในการรับมือ ทั้งการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินสถานการณ์ การฝึกอบรมเกษตรกรให้แปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การจัดหาตลาดให้กับเกษตรกร และการเข้าไปกำกับดูแลการซื้อขาย
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาในตลาดโลกยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยพุ่งสูงสุดตันละ 275 เหรียญสหรัฐ มาถึงเดือน ต.ค.2551 อยู่ที่ตันละ 162 เหรียญสหรัฐ และแนวโน้มราคาคาดว่าจะอ่อนตัวลงอีก ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ จนรัฐบาลต้องใช้โครงการรับจำนำประกันราคาไว้ที่ กก.ละ 8.50 บาท แต่เกษตรกรก็ยังเรียกร้องให้มีการประกันราคาอย่างต่อเนื่อง
ปาล์มน้ำมัน แนวโน้มราคาจะยังคงอ่อนตัวลงอีก เพราะภาวะการค้าโลกชะลอตัว ผลผลิตมีมากขึ้น แต่การนำไปใช้ด้านพลังงานทดแทนกลับน้อยลง เพราะราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ราคาผลปาล์มดิบของเกษตรกรลดลงตามไปด้วย ขณะที่รัฐบาลก็ทำได้เพียงแค่ให้โรงงานผลิตน้ำมันปาล์มรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัด กก.ละ 22.50 บาท และให้โรงงานสกัดซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร กก.ละ 3.50 บาท แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
ถั่วเหลือง ราคายังขึ้นๆ ลงๆ แต่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ กก.ละ 15 บาท ซึ่งคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป
ขณะที่ผลผลิตทางด้านเนื้อสัตว์ เช่น ไก่เนื้อ แนวโน้มราคาอาจตกต่ำลงอีก เพราะขณะนี้หลายๆ ประเทศเริ่มกังวลในเรื่องไข้หวัดนก และบางประเทศก็มีการกำหนดเงื่อนไข และมาตรการกีดกันการนำเข้ามากขึ้น ทั้งเกาหลี รัสเซีย ออสเตรเลีย ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดเพิ่มได้ กุ้ง ราคาน่าจะทรงตัว แต่มีแนวโน้มราคาอ่อนตัวลงอีก เพราะผลผลิตมีจำนวนมาก และยังมีกุ้งที่เข้าสู่โครงการรับจำนำอีกเกือบ 1 หมื่นตัน ที่ยังไม่ได้ระบายออก ส่วนเนื้อสุกร ราคาน่าจะอ่อนตัวลง จากต้นทุนทั้งน้ำมันและอาหารสัตว์ที่ลดลง แต่ก็ไม่น่าจะลดลงได้มากนัก
รายงานข่าวแจ้งว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นห่วง เพราะสินค้าเกษตรเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ หากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ จะกระทบทำให้กำลังซื้อของคนภาคเกษตรลดลง และส่งผลต่อเนื่องทำให้เศรษฐกิจในระดับรากหญ้าชะลอตัวลง และในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้มีการเตรียมแผนในการรับมือสินค้าเกษตรรายการต่างๆ ไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่ ก็มีความเป็นห่วง และได้ขอให้เป็น 1 ในนโยบายเร่งด่วน 4 ข้อ ที่จะดำเนินการในช่วง 3 เดือน ก็คือ การหาทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตร ซึ่งจะมีการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ผ่านโครงการแทรกแซงต่างๆ แต่ขอให้ยึดหลักที่ไม่มากจนเกินไป โดยจะดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ขายสินค้าได้คุ้มกับต้นทุนการผลิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 รัฐบาลได้ใช้เงินในการแทรกแซงสินค้าเกษตรไปแล้ว วงเงินสูงถึง 1 แสนล้านบาท แต่ให้ความช่วยเหลือพืชเกษตรได้ไม่กี่ตัว คือ ข้าว มันปะหลัง และข้าวโพด ดังนั้น ในปี 2552 อาจมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องใช้เงินมากกว่านี้ เพราะมีสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมากที่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาทางด้านราคาตามที่ระบุไว้ข้างต้น.