ศูนย์ข่าวภูเก็ต
“การ์ด” ถือว่าเป็นกลไกสำคัญ ในการดูแลความปลอดภัยให้แก่ผู้ที่มาร่วมชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามเป็นด่านแรกในการปะทะกันแต่ละครั้ง และคอยปกครองไม่ให้ผู้ที่มาร่วมชุมนุมได้รับอันตราย ซึ่งเป็นหน้าที่ที่หนักมากท่ามกลางการเผชิญหน้าในแต่ละครั้ง แต่เด็กหนุ่มจากเกาะภูเก็ตกว่า 30 คน ที่มี “กฤช เทพบำรุง” หรือที่รู้จักกันว่า “โกนวล” เป็นแม่ทัพคุมทีม ต่างพร้อมใจและเต็มใจในการทำหน้าที่การ์ด คอยปกป้องพี่น้องพันธมิตรฯทุกครั้งที่มีการเรียกรวมพลและเคลื่อนพลไปตามจุดต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จนได้ประกาศชัยชนะในที่สุด**
“เราเป็นการ์ดเพื่อที่จะไม่ให้คนทั้งสองฝ่ายต้องฆ่ากัน และนี่คือปณิธานครั้งแรก ที่คิดว่าตัวเองจะเข้ามาเป็นการ์ดให้แก่พันธมิตรฯ โดยเป็นการตัดสินใจเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตายและไม่ให้คนของเราบาดเจ็บ” นี่คือคำที่เอ่ยออกมาจากความรู้สึกของ “กฤช เทพบำรุง” หัวหน้าการ์ดอาสากองทัพธรรมและหัวหน้าทีมงานการ์ดภูเก็ต ----
เริ่มงานแรกที่กองทัพธรรม
“กฤช เทพบำรุง” เปิดใจถึงย่างก้าวสู่การเป็นการ์ดคอยรักษาความปลอดภัยให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯที่มาร่วมชุมนุม ว่า การเข้ามาทำหน้าที่การ์ดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มตั้งแต่ช่วงแรกปี 2549 โดยได้เข้าไปช่วยงานในส่วนของเต็นท์อาหาร ด้วยการเข้าไปเป็นการ์ดเต็นท์อาหารของกองทัพธรรม** ซึ่งเป็นเต็นท์อาหารของหลวงตามหาบัว ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาก่อความวุ่นวาย เพราะอาจจะมีคนลักลอบใส่ของมีพิษลงในอาหารได้
หลังจากนั้นได้เข้าไปช่วยงานในด้านอื่น โดยเฉพาะในการเคลื่อนพลของพันธมิตรฯครั้งแรกๆ ได้ทำหน้าที่เป็นการ์ดควบคุมรถเครื่องเสียงในการเคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ ซึ่งการคุมรถเครื่องเสียงนั้นจะต้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะหากรถเครื่องเสียงอยู่ในตำแหน่งที่ไกลเกินไป เสียงจะก้องจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่หากอยู่ห่างกันมากไปอาจจะไม่ได้ยินเสียงของแกนนำ ซึ่งขณะที่กำลังคุมรถเครื่องเสียงอยู่นั้น ด้านหลังมีคนตะโกนขึ้นมาว่า “มาช่วยกันหน่อย การ์ดไม่ไหวแล้ว” ตนจึงกระโดดลงจากรถเครื่องเสียงเพื่อเข้าไปช่วยการ์ดด้านหลัง ซึ่งกำลังถูกตีและถูกขว้างจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งขณะนั้นชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถช่วยอะไรเราเลย เราต้องช่วยกันเองทั้งหมด
“กฤช” บอกว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็ได้เข้ามาช่วยงานการ์ดตลอด และเมื่อทางพันธมิตรฯได้ถอยกำลังมาปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้ทำหน้าที่การ์ดอย่างเต็มตัวในครั้งแรกที่ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) บุกเข้ามาตีกลุ่มพันธมิตรฯเป็นจำนวนร้อยๆคนที่สะพานมัฆวานฯ โดยทีมการ์ดพันธมิตรฯมีกันอยู่แค่ 50 กว่าคน ซึ่งได้รับบาดเจ็บกันหลายคน ขณะนั้นตัวเองแทบจะไม่ได้ทำร้ายใคร แต่ได้ป้องกันโดยใช้กระเป๋าแทนโล่กำบัง เพื่อวิ่งเข้าไปรับไม้ ก้อนหิน ที่ถูกคว้างเข้ามา ส่วนคนอื่นวิ่งหนีออกมา
ในตอนแรกคิดว่าเขาวิ่งหนี แต่จริงๆแล้วเขาได้เข้าไปขอกำลังจากผู้ชุมนุมที่เวทีมาสมทบเพิ่ม เมื่อเรียกคนมาเพิ่มได้แล้ว จำนวนคนทั้งสองฝ่ายจึงเท่ากัน ซึ่งก่อนหน้านั้นคิดว่า เราจะนอนพักเอาแรงกันสักนิด แต่ด้วยใจเราที่แรงกว่า เลยตีพวก นปช. จนสาหัส ประมาณ 4-5 คน ตอนที่พวกเขาเจ็บสาหัส จนล้มลงไปนอนนั้น การ์ดของเราด้วยความโกรธที่โดนทำร้ายก่อน จึงคิดจะรุมตี ตนจึงได้เข้าไปห้ามสถานการณ์ตอนนั้นไว้ได้ เพราะดูท่าแล้ว อาจถึงตายแน่นอน หากปล่อยไว้
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำหน้าที่การ์ดอย่างเต็มตัวและหัวใจ โดยได้ปฏิญาณกับตัวเองว่า “เราจะเป็นการ์ดเพื่อที่จะไม่ให้คนทั้งสองฝ่ายฆ่ากัน และนี่คือปณิธานครั้งแรก ที่คิดว่าตัวเองจะอาสามาเป็นการ์ด โดยเป็นการตัดสินใจเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตายและไม่ให้มวลชนของฝ่ายเราบาดเจ็บ”
ตั้งแต่วันนั้นทุกคนเห็นว่า ผมมีความอาวุโสกว่าคนอื่นๆ จึงพยายามที่จะให้เป็นหัวหน้าของการ์ดอาสาสังกัดกองทัพธรรม โดยคนที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมและผู้ช่วยหัวหน้าทีมประมาณ 4-5 คน และมีการ์ดอาสา 400-500 คน ซึ่งหน้าที่หลักของการ์ดกองทัพธรรม มีทั้งชุดลาดตระเวน ชุดป้องกันและจู่โจม และชุดตรวจอาวุธ ได้แยกกันทำงานในกรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น แยกตีเก้าทัพ และแบ่งหน้าที่กันอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นความรับผิดชอบที่ได้รับอยู่เป็นประจำและล่าสุดคือ การรักษาฐานที่สะพานมัฆวานสังสรรค์
ในวันนั้นพลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ให้กำลังการ์ดไว้ 40 คน มี กลุ่ม นปช. มารอทำร้ายพวกเราอยู่ประมาณ 1,000 คน โดยจะเข้ามาภายในค่ายของเรา แต่ขณะนั้นเรามีการ์ดอยู่เพียง 40 คน เป็นทีมการ์ดจากภูเก็ตประมาณ 30 คน ที่เหลือมีคนมาช่วยอีก 10 กว่าคน ได้ทำหน้าที่รักษาฐานเพื่อที่จะไม่ให้คนจำนวนเป็นพันเข้ามาตีพวกเรา โดยพันธมิตรฯทั้งหมดได้ไปโจมตีเข้าทำเนียบฯ ลักษณะของ สงคราม 9 ทัพ
ยุทธวิธีในการรับมือกับนปช. ในวันนั้นจำได้ว่า มีผู้หญิงมาร้องไห้เนื่องจากโดน กลุ่ม นปช. ตีตอนที่กำลังเดินเข้ามาเพื่อร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ในตอนนั้นได้เดินเข้าไปในกลุ่มนปช. โดยไปยืนอยู่ข้างๆ และตะโกนบอกออกไปว่า “คนที่สวมเสื้อเหลืองให้เดินมาทางเรา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” ทันใดนั้นเองพวก นปช. เสื้อแดงก็มองมาทางเรา แต่ด้วยใจที่คิดว่าเราไม่กลัว ทำให้เขามีความรู้สึกว่าเราเอาจริง และเขาก็ไม่รู้ว่าเรามีอะไรกันแน่ เพราะเราได้เอาไม้ใส่ในถุงดำ เพื่อให้เขาคิดว่าเป็นอาวุธหนัก และนำไปวางไว้ใกล้บริเวณนั้น โดยตอนนั้นเรามีการ์ดอยู่ทั้งหมด 9 คน
จากนั้นเมื่อฝ่ายพันธมิตรฯเสื้อเหลืองเดินกลับมาหมดทุกคนแล้ว จึงเดินกลับมา กลุ่ม นปช.จึงทำท่าทางฉุนเฉียว แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร การทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการตัดไม้ข่มนาม เราไปกันน้อยแต่ไม่กลัวพวกเขาที่มีจำนวนเป็น 1,000 คน หลังจากนั้นเราได้ตั้งทีมฟุตบอล เล่นกันตรงหน้าพวกเขา ซึ่งเขาได้ตั้งแผงเหล็กกั้นอยู่ แต่เราได้นำฟุตบอลมาเล่นอย่างสนุกสนาน แสดงให้เห็นว่าเราไม่กลัว ไม่มีอะไรให้ตึงเครียด แต่เราก็เตรียมความพร้อมในการป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่หากนปช.บุกเข้ามา
การปฏิบัติการครั้งนั้น ถือเป็นปฏิบัติการที่ค่อนข้างจะเอกเทศ เฉพาะทีมการ์ดภูเก็ต
ร่วมบุกยึดเอ็นบีที
นอกจากนี้มีอีกครั้งหนึ่งที่เกือบจะเป็นการปฏิบัติงานเฉพาะของทีมการ์ดภูเก็ต คือ ภารกิจที่เข้ายึดสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งทีมการ์ดภูเก็ตเป็นชุดที่สองที่ได้รับหน้าที่ในการบุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์ NBT หลังจากที่ชุดแรกเข้าบุกไปแล้วถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม จึงมีการระดมพลจาก สน. พันธมิตรฯโดยได้ติดต่อถามมาว่าสามารถระดมการ์ดได้จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งขณะนั้นมีการ์ดภูเก็ตอยู่ประมาณ 30-40 คน เมื่อรวมกับกลุ่มของ สน. พันธมิตรฯแล้วมีประมาณ 85 คน และมีมวลชนอีกกว่า 5,000 คน เมื่อไปถึงสถานีโทรทัศน์ NBT ภารกิจในครั้งนั้นคือ ต้องยึดตึกของ NBT ให้ได้
แต่เมื่อไปถึง NBT ปรากฏว่ามีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากทั้งด้านในและนอกตัวอาคาร เราจึงทลายประตูแต่เข้าไปไม่ได้ เมื่อแผนปฏิบัติการเข้าทางประตูหน้าไม่ประสบความสำเร็จ เราจึงเปลี่ยนแผนใหม่ได้อ้อมไปทางด้านหลังของตึก และมีการ์ดทั้งหมดตามหลังเข้าไปประมาณ 50-60 คน เมื่อไปถึงด้านหลังตึกเราได้ตัดระบบไฟของ NBT ซึ่งเราคาดว่าหากตัดระบบไฟแล้ว คนข้างในอาคารคงต้องเปิดประตูออกมา แต่จนแล้วจนรอดประตูก็ไม่เปิดสักที เราก็ใจร้อนตัดสินใจวิ่งกระแทกประตู จนกระทั่งเข้าไปภายในอาคารได้ ที่วิ่งกระแทกประตูนั้นไม่ตั้งใจจะกระแทกให้ประตูแตก เพียงแต่ต้องการให้ประตูหลุดเท่านั้นเอง แต่แล้วประตูก็แตกจนได้ และเมื่อเข้าไปในอาคารตึก NBT ได้แล้ว มีตำรวจอยู่เต็มไปหมด เราจึงใช้วิธีการหัวหอก โดยการวิ่งตั้งหัวหอกแล้ววิ่งเข้าไปเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ตำรวจจับได้ เพื่อจะไปเปิดประตูด้านหน้า ซึ่งเราก็ทำสำเร็จ เมื่อประตูหน้าเปิดออกได้ มวลชนก็เข้ามาภายในได้ เราก็ชนะในที่สุด
ปิดถนนเปิดทางมวลชนล้อมรัฐสภา
“กฤช” เล่าถึงภารกิจต่อมาว่า กองทัพธรรมได้รับมอบหมายให้เข้าปิดล้อมรัฐสภา ก่อนที่มวลชนจะรับรู้ โดยหัวหน้าการ์ดจะรู้ก่อนล่วงหน้าว่าจะมีภารกิจอะไร ซึ่งตอนนั้นต้องไปคุมมวลชนที่ศาลอาญา เรื่องที่พลตรีจำลอง ศรีเมือง ขึ้นศาลในขณะนั้น เราจึงเริ่มวางแผนยึดรัฐสภาในเวลา 6 โมงเย็น โดยเป็นภารกิจของการ์ดกองทัพธรรมล้วนๆ และได้ประกาศให้มวลชนรับรู้ประมาณทุ่มกว่าๆ ซึ่งเมื่อเสร็จงานจากศาลอาญาและเดินทางไปถึงที่รัฐสภาเวลาเกือบทุ่ม เมื่อไปถึงได้รับแผนว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
เมื่อรับทราบแผน การ์ดชุดแรกได้ปิดถนนทันที โดยไปจัดการเอาเครื่องกีดขวางปิดถนน ช่วงที่ตามหลังการ์ดชุดแรกไปนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังหนาแน่น เนื่องจากตำรวจรู้ถึงปฏิบัติการที่จะเกิดขึ้นแล้ว จากการประกาศบนเวที เราจึงต้องฝ่าด่านตำรวจ ขณะนั้นมีการ์ดอยู่ 5-6 คน ที่จะต้องฝ่าด่านตำรวจหลายร้อยนาย จึงนำเครื่องกีดขวางปิดกั้นจราจรทั้งหมด
ในวันที่ปิดรัฐสภา เมื่อถึงช่วงกลางวันที่เริ่มยิงปะทะกันทีมการ์ดภูเก็ตได้เดินทางจากภูเก็ตขึ้นไปสมทบทั้งหมด ซึ่งได้เดินทางไปถึงในตอนเช้าพอดี เมื่อเริ่มยิงตูมแรก เราก็เริ่มวิ่งกันจากตรงลานพระบรมรูปทรงม้า มีทั้งมวลชนและการ์ดอื่นๆ วิ่งออกมา แต่การ์ดภูเก็ตได้วิ่งสวนทางเข้าไป และอยากเข้าไปดูใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้ไปอยู่ด้านหน้าสุด ถ้าดูในทีวีจะเห็นพวกเราอยู่ข้างๆ พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ในวันนั้นประทับใจมาก เนื่องจากเมื่อเข้าไปถึงด้านหน้าที่มีการปะทะกัน ตำรวจได้ยิงระเบิดเข้ามา มีระเบิดหล่นอยู่ข้างๆหลายลูก จึงเดินชูมือเข้าไปหาตำรวจเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่มีอาวุธ ตำรวจเองได้เอากระบองมาจี้อยู่ที่ลำตัวพวกเรา เราจึงบอกไปว่า จะทุบจะตีอะไรก็ได้ เราไม่มีอาวุธใดๆทั้งนั้น
หัวหน้าทีมการ์ดภูเก็ต ยังพูดติดตลกว่า “ขณะนั้นหลายคนได้รับบาดเจ็บ แขนขาด ขาขาด ส่วนของตน เป้ากางเกงขาด ตั้งใจนั่งให้ทีวีถ่ายทอด แต่เขาไม่ยอมถ่าย ตอนนั้นตั้งใจให้เห็นเลยว่า เป้ากางเกงขาด”
ปิดสุวรรณภูมิ ภารกิจสุดท้ายก่อนประกาศชัย
“กฤช” เล่าถึงภารกิจสุดท้ายที่ทีมการ์ดภูเก็ตได้ร่วมกันกู้ชาติ ก่อนที่พันธมิตรฯจะประกาศชัยชนะ คือ ภารกิจการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ของพันธมิตร ฯ ว่า ตอนที่พันธมิตรฯบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ตนเป็นไข้หนักมากแทบที่จะเดินไม่ไหวจากการที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ต้องไปหาหมอ เมื่อรับประทานยาและพักผ่อนไปหนึ่งชั่วโมงอาการเริ่มดีขึ้น พอดีทางทีมการ์ดโทร.เข้ามาว่าขาดหัวหน้าทีมในการที่จะคุมรถไปสนามบินสุวรรณภูมิ จึงตัดสินใจเร่งเดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำทีมการ์ดสองคันรถไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ
เมื่อไปถึงทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ ปรากฏว่าตำรวจปิดทางเข้า-ออกทั้งหมดแล้ว และบอกให้เราลงจากรถทั้งหมดเพื่อตรวจค้นอาวุธ ซึ่งไม่มีใครยอมลงจากรถให้ตำรวจตรวจค้นแม้แต่คนเดียว เจรจากับตำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ตำรวจก็เปิดทางให้เข้าไปได้
ทั้งนี้ หากตำรวจไม่ยอมให้เข้าไปตอนนั้น ตนได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แล้วว่า “ตำรวจขอให้เก็บชีวิตไว้ เอาเงินเดือนไปเลี้ยงชีพและลูกเมีย พวกเราทำงานเพื่อชาติไม่ใช่โจร ไม่จับโจรเถอะ ปืนที่นำเข้าไปไม่ได้เอาไปยิงใคร แต่เอาไปเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถป้องกันได้แม้แต่ครั้งเดียว ถ้าจะจับก็ต้องสละชีพทั้งคุณและผม” นี่คือคำพูดที่ได้เตรียมไปพูดกับตำรวจ หากไม่ยอมให้เข้าไป แต่เมื่อตำรวจเห็นสายตาของพวกเราก็รู้ว่าไม่มีทางตรวจค้นได้ จึงยอมเปิดทางให้พวกเราเข้าไปในสนามบิน
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กองทัพธรรมได้มอบหมายให้ทีมการ์ดภูเก็ตไปทำหน้าที่เฝ้าลานจอดเครื่องบินไม่ให้เครื่องบินขึ้นได้ หากมีเครื่องบินลำใดขึ้น เราก็จะใช้รถพุ่งชนประตูเข้าไปขวางไม่ให้เครื่องบินขึ้น ทีมการ์ดภูเก็ตทำภารกิจเฝ้าลานจอดเครื่องบินอยู่ 2 วัน ซึ่งถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของสนามบิน เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดของท่าอากาศยานฯ จะมารวมกันอยู่ที่จุดนี้ทั้งหมด เมื่อเฝ้าอยู่ 2 วันแล้ว เห็นว่าเครื่องบินก็ไม่น่าที่จะขึ้นอีกแล้ว เพราะศูนย์ควบคุมการบินก็ไม่มีคนทำงานแล้ว
ประกอบกับด้านในอาคารไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลทั้งในส่วนของบริเวณร้านดิวตี้ฟรี ห้องพักผู้โดยสาร จึงได้ประสานงานกันภายใน ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปดูแลความเรียบร้อยในส่วนของอาคารที่พักผู้โดยสารทั้งหมด รวมไปถึงร้านดิวตี้ฟรีจำนวนมาก ซึ่งปกติแล้วคิดว่าการดูแลพื้นที่ทั้งหมดนี้ต้องใช้คนไม่ต่ำกว่า 300-500 คน แต่พันธมิตรฯใช้คนดูแลประมาณ 50 คนเท่านั้น โดยมีทีมการ์ดภูเก็ตร่วมอยู่ด้วยประมาณ 20 คน สุดท้ายเหลือแค่ 7 คน หรือที่เราเรียกให้กันในกลุ่มว่า “7 ประจัญบาน” เพราะบางคนได้เริ่มทยอยกันกลับบ้าน หลังจากที่เห็นว่าเราปลอดภัยอย่างแน่นอน และเริ่มอ่อนล้าจากที่เดินทางมาทำหน้าที่การ์ดหลายวันมาก
เมื่อย้ายเข้ามาดูแลภายในอาคารผู้โดยสาร ได้ล็อกประตูเข้า-ออกภายในอาคารผู้โดยสารทั้งหมด ด้วยการทำระเบิดปลอมที่ทำจากแบตเตอรี่ สายไฟ และกล่องโฟมที่หาได้ในบริเวณนั้นติดตั้งไว้ที่ประตูตั้งแต่ประตูแรกจนถึงประตูสุดท้าย มีการล็อกลิฟต์ ทีมการ์ดภูเก็ตและทีมการ์ดกองทัพธรรม สามารถดูแลได้เป็นอย่างดี ไม่มีสินค้าในร้านดิวตี้ฟรีแม้แต่ชิ้นเดียวหายออกไป เพราะเราห้ามทุกคนเข้ามาในบริเวณนี้โดยเด็ดขาด ยกเว้นคนที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ในวันส่งคืนสนามบินสุวรรณภูมิให้แก่ท่าอากาศยานฯ
“กฤช”ยังถ่ายทอดถึงวิธีในการดูแลทีมการ์ด ว่า ห้ามทะเลาะกัน หากไม่ใช้อสิงหา สันติ คนนั้นไม่ใช่พันธมิตรฯ ก็จะเลิกทะเลาะกัน และจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด บอกกับน้องทุกๆคนว่าอาวุธที่สำคัญที่สุดของการ์ด คือ มือที่ประกบกัน และพูดว่า สวัสดีครับ ขอบคุณครับ ในการพูดคุยตรวจค้นผู้ที่มาร่วมชุมนุม ไม้กระบอง อาวุธต่างๆ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ต้องใช้หลังจากที่มาตรการขั้นนิ่มนวลไม่สามารถใช้ได้ผล เพราะเราต้องยอมรับว่ามนุษย์ไม่เหมือนกัน บางคนพูดก็รู้เรื่องแล้ว บางคนก็ใช้มาตรการหนักถึงจะพูดกันรู้เรื่อง
ทั้งหมดเป็นเพียงภารกิจครั้งใหญ่และสำคัญที่ “กฤช” และทีมการ์ดภูเก็ต ได้แสดงความกล้าหาญในการต่อสู้ร่วมกับพี่น้องพันธมิตรฯ ไม่นับรวมภารกิจอื่นๆ อีกมากมายตลอดเวลา 193 วันที่พันธมิตรฯได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อปกป้องชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ “กฤช”และทีมการ์ดภูเก็ตไม่ได้ปิดฉากการเป็นนักรบของพันธมิตรฯไว้แค่นี้ แต่พร้อมที่จะภาวนาตัวเองในการร่วมต่อสู้เพื่อรักษาประเทศตลอดไป