ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยปีวัวยังผันผวน “ปกรณ์” ประธานตลาดหุ้นคาดหวังการเมืองคลี่คลาย ช่วยผลักดันดัชนีฟื้น ด้านผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้น ชี้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหนไกล แม้จะไม่ย่ำแย่กว่าปี 51 หลังตะกายผ่านจุดต่ำสุดได้แล้ว เหตุยังถูกกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอยส่งผลต่อภาคการส่งออก-ภาคธุรกิจที่แท้จริง และทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนหด บวกกับเม็ดเงินต่างชาติยังไม่กลับมาลงทุนอย่างจริงจัง พร้อมประเมินดัชนีตลาดหุ้นทั้งปีสูงกว่า 500 จุด
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปี 2552 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 51 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่แย่ที่สุดของตลาดหุ้นไทย โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ
“ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ แต่ปัจจัยการเมืองที่มีทิศทางไปในทางที่ดีขึ้น น่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย”
สำหรับประเด็นที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องอาศัยแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ แต่ในปีนี้นักลงทุนต่างชาติคงยังไม่กลับเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง เพราะปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน เศรษฐกิจโลกถดถอยทำให้มีความจำเป็นต้องเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินภายในประเทศของตนเอง นักลงทุนต่างประเทศจึงได้เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับประเทศ และส่งผลทำให้ดัชนีจะเป็นลักษณะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือทรงๆ ตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาประมาณ 1.6 แสนล้านบาท และยังคงมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีลักษณะการขายที่ลดลง ขณะเดียวกันได้มีกลุ่มนักลงทุนต่างที่มีลักษณะการลงทุนระยะยาวกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในอนาคตและเริ่มมีกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีลักษณะการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
“ผมมองตลาดหุ้นในปีนี้ยังเป็นบวก ดัชนีตลาดหุ้นยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่จะขึ้นเร็วหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ อาจจะดีขึ้นเล็กน้อยมีความผันผวน หรือทรงๆ จากสภาพตลาดหุ้นไทยต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติ การที่ดัชนีปรับตัวลดลงแรงจากแรงขายของต่างชาติที่มีสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท ดั้งนั้นจึงต้องรอให้ต่างชาติกลับมาลงทุน แต่ปีนี้คงจะไม่กลับเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินฯลฯ”นายปกรณ์กล่าว
***ดัชนีปีนี้550จุดสบายเหตุผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากไม่มีปัจจัยลบร้ายแรงเพิ่ม หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรงและผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จะต้องขึ้นกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 550 จุด หรืออาจจะสูงกว่าระดับนี้หากมีปัจจัยบวกทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาสนับสนุน โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนภายในประเทศทั้งสาถาบันและรายย่อยเป็นหลัก แต่อาจจะมีเม็ดเงินต่างชาติในแถบเอเชียเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง ทดแทนเม็ดเงินจากสหรัฐฯ และยุโรป ที่ประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและเศรษฐกิจชะลอตัว”
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นอาจจะได้รับผลดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่คาดการณ์อาจจะมีการปรับตัวลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0% เพื่อที่จะกระตุ้นภาคการใช้จ่ายและเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ประชาชนนำเงินออมออกมาลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
“เศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่ดีกว่าปี 51 แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมามากจนถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำไรบริษัทจดทะเบียนเองก็ลดลงกว่า 50% ทำให้เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะไม่แย่กว่าปี 51 ยกเว้นแต่จะมีปัจจัยลบแรงๆ ซึ่งเชื่อว่าดัชนีนี้จะอยู่ที่ 550 จุดได้สบาย แต่จะขึ้นได้แรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายกัมปนาท กล่าว
***ตลาดหุ้นกระเตืองแรงหรือไม่ขึ้นอยู่รัฐบาลแก้ปัญหา
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะปรับตัวขึ้นดีกว่าปี 51 เนื่องจากตลาดหุ้นได้มีการรับรู้ปัจจัยลบไปหมดแล้ว รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแตะระดบต่ำสุดที่ 380 จุดเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนสูง จากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตัวเลขการว่างงานและบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้น รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง แต่จะมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่
“เศรษฐกิจไทยปีนี้ถือว่าแย่ จากผลพวงของเศรษฐกิจโลกถอดถอยกระทบต่อการส่งออกและภาคธุรกิจที่แท้จริง แต่ตลาดหุ้นไทยปีนี้คงจะไม่แย่ไปกว่าปีที่ผ่านมา เพราะได้รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรกอาจจะยังผันผวน” นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับเม็ดเงินการลงทุนต่างชาตินั้น คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการย้ายออกมาลงทุนในหุ้น เพราะผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเหลือ 0% รวมทั้งนักลงทุนได้คลายความวิตกจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินจะนำเงินมาลงทุนอีกครั้ง
“ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับอายุของรัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน นโยบายที่ประกาศออกมาทำได้จริงหรือไม่ และสามารถใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความลำบากถึงรากหญ้า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) รวมถึงความสามารถในการสร้างความสามัคคี หากเกิดความแตกแยกขึ้นมาอีกครั้งจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงเช่นกัน”
***ศก.โลกแตะจุดต่ำสุดไตรมาส2-3นี้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ในช่วงเดือนมกราคม 52 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพราะนักลงทุนคาดหวังการดำเนินงานของรัฐบาลไทยที่จะมีการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่แย่กว่าปี 50 จากปัจจัยการเมืองคลี่คลายไปทิศทางที่ดี และมองว่าเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2-3 นี้ ซึ่งตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่เศรษฐกิจจะถึงจุดต่ำ แต่กว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวจะเป็นในช่วงปี 53 โดยคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 530 จุด”นายสุกิจกล่าว
นายวรุฒน์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บล. ฟินันซ่า กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดหุ้นไทยจะคงผันผวน ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เป็นการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุน จากปัจจุบันที่ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนยังมีความกังวลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 7,000 จุด (ปัจจุบันอยู่ 8,400-8,500 จุด)
พร้อมกันนี้ บริษัทได้แนะนำการจัดสรรวงเงินลงทุนของนักลงทุนระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป) โดยแบ่งลงทุนในหุ้น 50% ที่เหลือ 50% ควรถือเงินสด โดยให้เริ่มทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งปัจจุบันให้ตอบแทนเฉลี่ย 6-7% แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น และคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 450-460 จุด
***ทิศทางหุ้นไทยไม่ไปไหนไกล
ด้านนางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกจะเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับปัจจุบันนี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป จะได้รับความเสียหายจากตราสารซีดีเอสที่งบการเงินจะมีการประกาศออกมาใน่วงไตรมาส 1/52 ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมา
“ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าดัชนีจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับผลงานการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และการแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน โดยลงทุนในหุ้น 10%-20% โดยรอจังหวะในการเข้าซื้อ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม ซึ่งคาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์จะน่าสนใจลงทุนมากที่สุด ตราสารหนี้ไม่ต่ำกว่า 50% ที่เหลือลงทุนในตลาดอนุพันธ์”
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปี 2552 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 51 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่แย่ที่สุดของตลาดหุ้นไทย โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ
“ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือไม่ แต่ปัจจัยการเมืองที่มีทิศทางไปในทางที่ดีขึ้น น่าจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย”
สำหรับประเด็นที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องอาศัยแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ แต่ในปีนี้นักลงทุนต่างชาติคงยังไม่กลับเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง เพราะปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน เศรษฐกิจโลกถดถอยทำให้มีความจำเป็นต้องเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินภายในประเทศของตนเอง นักลงทุนต่างประเทศจึงได้เทขายหุ้นเพื่อนำเงินกลับประเทศ และส่งผลทำให้ดัชนีจะเป็นลักษณะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือทรงๆ ตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาประมาณ 1.6 แสนล้านบาท และยังคงมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีลักษณะการขายที่ลดลง ขณะเดียวกันได้มีกลุ่มนักลงทุนต่างที่มีลักษณะการลงทุนระยะยาวกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในอนาคตและเริ่มมีกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่มีลักษณะการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
“ผมมองตลาดหุ้นในปีนี้ยังเป็นบวก ดัชนีตลาดหุ้นยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่จะขึ้นเร็วหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ อาจจะดีขึ้นเล็กน้อยมีความผันผวน หรือทรงๆ จากสภาพตลาดหุ้นไทยต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติ การที่ดัชนีปรับตัวลดลงแรงจากแรงขายของต่างชาติที่มีสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท ดั้งนั้นจึงต้องรอให้ต่างชาติกลับมาลงทุน แต่ปีนี้คงจะไม่กลับเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินฯลฯ”นายปกรณ์กล่าว
***ดัชนีปีนี้550จุดสบายเหตุผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากไม่มีปัจจัยลบร้ายแรงเพิ่ม หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรงและผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่จะต้องขึ้นกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 550 จุด หรืออาจจะสูงกว่าระดับนี้หากมีปัจจัยบวกทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาสนับสนุน โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของนักลงทุนภายในประเทศทั้งสาถาบันและรายย่อยเป็นหลัก แต่อาจจะมีเม็ดเงินต่างชาติในแถบเอเชียเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง ทดแทนเม็ดเงินจากสหรัฐฯ และยุโรป ที่ประสบปัญหาด้านสภาพคล่องและเศรษฐกิจชะลอตัว”
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นอาจจะได้รับผลดีจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่คาดการณ์อาจจะมีการปรับตัวลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0% เพื่อที่จะกระตุ้นภาคการใช้จ่ายและเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้ประชาชนนำเงินออมออกมาลงทุนในตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
“เศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่ดีกว่าปี 51 แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมามากจนถึงจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำไรบริษัทจดทะเบียนเองก็ลดลงกว่า 50% ทำให้เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะไม่แย่กว่าปี 51 ยกเว้นแต่จะมีปัจจัยลบแรงๆ ซึ่งเชื่อว่าดัชนีนี้จะอยู่ที่ 550 จุดได้สบาย แต่จะขึ้นได้แรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมทั้งในประเทศและต่างประเทศ” นายกัมปนาท กล่าว
***ตลาดหุ้นกระเตืองแรงหรือไม่ขึ้นอยู่รัฐบาลแก้ปัญหา
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะปรับตัวขึ้นดีกว่าปี 51 เนื่องจากตลาดหุ้นได้มีการรับรู้ปัจจัยลบไปหมดแล้ว รวมถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแตะระดบต่ำสุดที่ 380 จุดเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนสูง จากปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตัวเลขการว่างงานและบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้น รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ลดลง แต่จะมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่
“เศรษฐกิจไทยปีนี้ถือว่าแย่ จากผลพวงของเศรษฐกิจโลกถอดถอยกระทบต่อการส่งออกและภาคธุรกิจที่แท้จริง แต่ตลาดหุ้นไทยปีนี้คงจะไม่แย่ไปกว่าปีที่ผ่านมา เพราะได้รับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรกอาจจะยังผันผวน” นายก้องเกียรติ กล่าว
สำหรับเม็ดเงินการลงทุนต่างชาตินั้น คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนที่ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการย้ายออกมาลงทุนในหุ้น เพราะผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเหลือ 0% รวมทั้งนักลงทุนได้คลายความวิตกจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินจะนำเงินมาลงทุนอีกครั้ง
“ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับอายุของรัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน นโยบายที่ประกาศออกมาทำได้จริงหรือไม่ และสามารถใช้จ่ายงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความลำบากถึงรากหญ้า ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) รวมถึงความสามารถในการสร้างความสามัคคี หากเกิดความแตกแยกขึ้นมาอีกครั้งจะส่งผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงเช่นกัน”
***ศก.โลกแตะจุดต่ำสุดไตรมาส2-3นี้
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า ในช่วงเดือนมกราคม 52 ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพราะนักลงทุนคาดหวังการดำเนินงานของรัฐบาลไทยที่จะมีการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะสนับสนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่แย่กว่าปี 50 จากปัจจัยการเมืองคลี่คลายไปทิศทางที่ดี และมองว่าเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2-3 นี้ ซึ่งตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนที่เศรษฐกิจจะถึงจุดต่ำ แต่กว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวจะเป็นในช่วงปี 53 โดยคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ 530 จุด”นายสุกิจกล่าว
นายวรุฒน์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บล. ฟินันซ่า กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดหุ้นไทยจะคงผันผวน ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เป็นการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุน จากปัจจุบันที่ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนยังมีความกังวลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 7,000 จุด (ปัจจุบันอยู่ 8,400-8,500 จุด)
พร้อมกันนี้ บริษัทได้แนะนำการจัดสรรวงเงินลงทุนของนักลงทุนระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป) โดยแบ่งลงทุนในหุ้น 50% ที่เหลือ 50% ควรถือเงินสด โดยให้เริ่มทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งปัจจุบันให้ตอบแทนเฉลี่ย 6-7% แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น และคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นสิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 450-460 จุด
***ทิศทางหุ้นไทยไม่ไปไหนไกล
ด้านนางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกจะเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับปัจจุบันนี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป จะได้รับความเสียหายจากตราสารซีดีเอสที่งบการเงินจะมีการประกาศออกมาใน่วงไตรมาส 1/52 ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมา
“ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าดัชนีจะอยู่ที่เท่าไร ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับผลงานการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และการแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน โดยลงทุนในหุ้น 10%-20% โดยรอจังหวะในการเข้าซื้อ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม ซึ่งคาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์จะน่าสนใจลงทุนมากที่สุด ตราสารหนี้ไม่ต่ำกว่า 50% ที่เหลือลงทุนในตลาดอนุพันธ์”