xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นลุ้นแถลงนโยบาย “มาร์ค”29ธ.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงา นักลงทุนรอลุ้นผลการแถลงนโยบายรัฐบาล “อภิสิทธิ์” 29 ธ.ค.นี้ หวั่นกลุ่มนปช.ป่วน โบรกเกอร์ แนะชะลอลงทุน-ขายทำกำไร พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่เร่งฟื้นเศรษฐกิจ ด้านบล.ซีมิโก้ เผยครึ่งแรกปี 52 ตลาดหุ้นยังซบเซา แนะแบ่งพอร์ตลงทุนหุ้นแค่ 40%

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้า ก่อนจะปรับตัวลดลง หลังจากไม่มีปัจจัยบวกหรือปัจจัยลบใหม่ๆ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 29-30 ธ.ค.นี้
โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวในกรอบแคบๆ สลับแดนบวก-ลบตลอดทั้งวัน สามารถปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 443.76 จุด ต่ำสุดที่ 438.16 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 439.17 จุด ลดลงจากวันก่อน 1.23 จุด หรือคิดเป็น 0.28% มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเงียบเหงาแค่ 7,324.24 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 382.27 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 500.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 118.65 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ราคาปิดที่ 1.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท หรือคิดเป็น 17.02% มูลค่าการซื้อขาย 417.27 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 48 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 388.16 ล้านบาท และบมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 171 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายรวม 380.33 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ เคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอานิจสงส์จากนโยบายการเพิ่มวงเงินการลดหย่อนภาษีของรัฐบาล ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังไม่ความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ บวกกับเป็นช่วงใกล้วันหยุดยาวสิ้นปีจึงส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนค่อนข้างเงียบเหงา
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 ธ.ค.) น่าจะเงียบเหงาต่อเนื่อง จากการปิดทำการของตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงเทศกาลวันคริสมาสต์ รวมทั้งใกล้วันหยุดช่วงสิ้นปี ขณะเดียวกันนักลงทุนในประเทศเองกำลังติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาลมภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากเหตุผลดังกล่าวจึงแนะนำให้ชะลอการทุนและถือเงินสดไว้ในมือ ประเมินแนวรับอยู่ที่ 430 จุด แนวต้าน 445 จุด
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากใกล้ช่วงวันหยุดยาวและเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ขณะที่การเมืองในประเทศยังต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) แต่ภาพรวมปัญหาดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คงไม่มีปริมาณการซื้อขายเข้ามามากนัก เนื่องจากตลาดในสหรัฐฯ และยุโรปปิดทำการ ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจไม่ดี โดยควรจับตาทิศทางตลาดในเอเชีย ราคาน้ำมัน ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 437 จุด และแนวต้านที่ 444-447 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวนการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ และมีโอกาสปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากยังคงได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่กลุ่มนปช.จะต่อต้านการแถลงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะมีการชุมนุมหน้าบริเวณรัฐสภา ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน เพื่อรอติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนควรชะลอการลงทุน หรือเทขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 435 จุด มีแนวรับถัดอยู่ที่ 420 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด”
***หวังนโนบายฟื้นศก.ดันหุ้นครึ่งปีหลัง
นางสาววราภรณ์ วิบูลย์คณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิมิโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2552 ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ระดับ 540-580 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 380 จุด หากไม่มีสถานการณ์ที่เลวร้ายหรือปัจจัยลบมากเท่ากับในปีนี้
“ครึ่งปีแรกตลาดหุ้นยังไม่ดี แม้อาจจะมีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น แต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ ดังนั้นเชื่อว่าหากรัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี และทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับคืนมาได้ ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง” นางสาววราภรณ์
สำหรับสัดส่วนการลงทุนในปี 52 นั้น นักลงทุนควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนดังนี้ คือ พันธบัตร 40% หุ้น40% เนื่องจากมองว่ายังสามารถทำกำไรได้ดี ส่วนอีก 20% ที่เหลือให้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุนในช่วงตลาดหุ้นขาลง
ส่วนกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ที่น่าจะมีแนวโน้มที่ดีในปีหน้า ได้แก่ ลุ่มสื่อสาร กลุ่มค้าปลีก และอาหาร ตลอดจนกลุ่มพลังงาน แม้จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันทีผันผวน แต่ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูง จึงมองว่าราคาน้ำมันจะลงเพียงแค่ช่วงสั้น โดยคาดว่าครึ่งปีหลังราคาน้ำมันน่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุน คือ กลุ่มธุรกิจส่งออก ด้วยตัวธุรกิจที่จะดีในช่วงครึ่งปีหลังไม่ใช่ครึ่งปีแรก อีกทั้งความต้องการที่หดตัว
ส่วนล่างของฟอร์ม

ส่วนบนของฟอร์ม
นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. เคทีบี จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2552 คาดว่ายังถดถอย ซึ่งต้องหวังพึ่งแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดี สหรัฐฯ นอกเหนือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบที่เป็นเพียงการกระตุ้นในระยะสั้นจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ (ซับไพทม์) ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 0-3% แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้หากรัฐบาลมีนโยบายที่ดีออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติได้
 สำหรับนโยบายที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การอัดฉีดโครงการขนาดกลางเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการลงทนและกระจายลงลงสู่ท้องถิ่น นอกจากการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการดำเนินงานและอาจไม่ทันต่อเหตุการณ์
 “สิ่งสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลงานการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แม้จะไม่สามารถทำได้ 100% แต่ถ้าสามารถช่วยคนส่วนใหญ่เกือบทุกภาคส่วนได้ เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาการเมืองคลี่คลายไปเอง อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลจะเป็นตัวบอกได้ว่าระยะเวลา 3 เดือนนั้นเพียงพอหรือควรจะขยายเวลาต่อหรือไม่” นายอิสระกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น