นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดการณ์เม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้าลงทุนเอเชีย-ไทยไตรมาส 2/52 หลังมีการโยกเงินลงทุนจากตราสารเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำ พร้อมเตือนเป็นการลงทุนระยะสั้นๆ ที่จะเข้ามาลงทุนเก็งกำไรงบการเงินรายไตรมาสของบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น ก่อนจะขายทิ้งขนเงินกลับประเทศ ส่งผลตลาดหุ้นเอเชีย-ไทยครึ่งปีแรกผันผวนสูง แต่จะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
นายวรุฒน์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มของการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ว่า นักลงทุนต่างประแทศจะขนเงินออกจากการลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ ในแถบยุโรป สหรัฐฯ ที่ได้รับผลตอบแทนต่ำ ทำให้ต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ ซึ่งเอเชียป็นเพียงแห่งเดียวมียังมีอัตราผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีการเติบโตที่ดีเฉลี่ยประมาณ 4-5% โดยเฉพาะจีนที่จีดีพี ยังเติบโตได้ 7% และอินเดีย 6-7%
ทั้งนี้ หากมีการย้ายข้ามาลงทุนในพันธบัตรในเอชีย จะได้รับผลตอบแทนถึง 5-6% ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทน 6-7% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียประมาณไตรมาส2/52
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเข้ามาลงทุนจะเป็นเพียงการลงทุนระยะสั้นๆ เท่านั้นในช่วงครึ่งปีแรกโดยจะเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ก่อนจะทยอยขายออกมาเมื่อบริษัทจดทะเบียนเริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานออกมา ซึ่งจะเป็นลักษณะการทำราคาปิด (window dressing) ทุกไตรมาส
“พฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่จะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เป็นการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุน จากปัจจุบันที่ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนยังมีความกังวลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 7,000 จุด ปัจจุบันที่อยู่ 8,400-8,500 จุด หากสถาบันการเงิน และธนาคารของสหรัฐฯ และยุโรป มีการล้มจากได้รับผลเสียหายจากตราสารซีดีเอส ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลขของซีดีเอสถึง 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ”
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มีการลงทุนประมาณ 12 เดือนขึ้นไป บริษัทแนะนำให้มีการจัดพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหุ้น 50% ที่เหลือ 50% ควรถือเงินสดแต่ไม่ควรที่จะเป็นเงินที่มาจากการกู้ยืม ซึ่งนักลงทุนควรที่จะเริ่มทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งปัจจุบันให้ตอบแทนเฉลี่ย 6-7% แต่ก็มีหุ้นหลายบริษัทที่ได้ผลตอบแทนเกิน10% แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากจะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปล่อยสินเชื่อที่จะมีการเติบโตที่ดี และหุ้นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ450-460จุด ซึ่งมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากเม็ดเงินเข้ามาซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกจะเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับปัจจุบันนี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสถาบันการเงินสกรัฐฯ และยุโรป จะได้รับความเสียหายจากตราสารซีดีเอสที่งบการเงินจะมีการประกาศออกมาในช่วงไตรมาส1/52ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมา
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งยังไม่สามารถประเมินดัชนีได้ว่าจะอยู่ที่เท่าไร เพราะ ขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหุ้น 10%-20% โดยรอจังหวะในการเข้าซื้อ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม ซึ่งคาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์จะน่าสนใจลงทุนมากที่สุด ขณะที่สัดส่วนอีกไม่ต่ำกว่า 50% ลงทุนตราสารหนี้ ส่วนที่เหลือลงทุนในอนุพันธ์
นายวรุฒน์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มของการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ว่า นักลงทุนต่างประแทศจะขนเงินออกจากการลงทุนในตราสารทางการเงินต่างๆ ในแถบยุโรป สหรัฐฯ ที่ได้รับผลตอบแทนต่ำ ทำให้ต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ ซึ่งเอเชียป็นเพียงแห่งเดียวมียังมีอัตราผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีการเติบโตที่ดีเฉลี่ยประมาณ 4-5% โดยเฉพาะจีนที่จีดีพี ยังเติบโตได้ 7% และอินเดีย 6-7%
ทั้งนี้ หากมีการย้ายข้ามาลงทุนในพันธบัตรในเอชีย จะได้รับผลตอบแทนถึง 5-6% ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทน 6-7% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียประมาณไตรมาส2/52
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเข้ามาลงทุนจะเป็นเพียงการลงทุนระยะสั้นๆ เท่านั้นในช่วงครึ่งปีแรกโดยจะเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ก่อนจะทยอยขายออกมาเมื่อบริษัทจดทะเบียนเริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานออกมา ซึ่งจะเป็นลักษณะการทำราคาปิด (window dressing) ทุกไตรมาส
“พฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากที่จะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เป็นการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุน จากปัจจุบันที่ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนยังมีความกังวลจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 7,000 จุด ปัจจุบันที่อยู่ 8,400-8,500 จุด หากสถาบันการเงิน และธนาคารของสหรัฐฯ และยุโรป มีการล้มจากได้รับผลเสียหายจากตราสารซีดีเอส ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลขของซีดีเอสถึง 33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ”
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่มีการลงทุนประมาณ 12 เดือนขึ้นไป บริษัทแนะนำให้มีการจัดพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหุ้น 50% ที่เหลือ 50% ควรถือเงินสดแต่ไม่ควรที่จะเป็นเงินที่มาจากการกู้ยืม ซึ่งนักลงทุนควรที่จะเริ่มทยอยซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งปัจจุบันให้ตอบแทนเฉลี่ย 6-7% แต่ก็มีหุ้นหลายบริษัทที่ได้ผลตอบแทนเกิน10% แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากจะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปล่อยสินเชื่อที่จะมีการเติบโตที่ดี และหุ้นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ450-460จุด ซึ่งมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากเม็ดเงินเข้ามาซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกจะเคลื่อนไหวในระดับเดียวกับปัจจุบันนี้ เนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และสถาบันการเงินสกรัฐฯ และยุโรป จะได้รับความเสียหายจากตราสารซีดีเอสที่งบการเงินจะมีการประกาศออกมาในช่วงไตรมาส1/52ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมา
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งยังไม่สามารถประเมินดัชนีได้ว่าจะอยู่ที่เท่าไร เพราะ ขึ้นอยู่กับผลงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหุ้น 10%-20% โดยรอจังหวะในการเข้าซื้อ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในแต่ละกลุ่ม ซึ่งคาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์จะน่าสนใจลงทุนมากที่สุด ขณะที่สัดส่วนอีกไม่ต่ำกว่า 50% ลงทุนตราสารหนี้ ส่วนที่เหลือลงทุนในอนุพันธ์