ผู้จัดการรายวัน – “บีอีซีแอล” ปลื้ม นักลงทุนแห่จองหุ้นกู้มูลค่า 4 พันล้านบาทหมดเกลี้ยง หลังเปิดให้จองซื้อเป็นวันแรก ผู้บริหารอ้างได้รับผลดีจากภาวะตลาดหุ้นซบและคาดการณ์ยากจากปัจจัยลบต่างประเทศ บวกกับอัตราผลตอบแทนสูงที่ 5.20% ระบุวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินชำระหนี้ ขณะที่ยอดใช้บริการทางด่วนปีนี้หดจากราคาน้ำมันแพง แต่รับรู้รายได้ขายหุ้น-ปันผลน้ำประปาพยุงรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน พร้อมคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดยอดใช้บริการทางด่วนปีหน้าไม่โต
นางปาหนัน โตสุวรรณถาวร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BECL เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายน 51 ว่า นักลงทุนได้แสดงความสนใจจองซื้อหุ้นกู้เข้ามาเป็นจำนวนมากจนเต็มจำนวนทั้ง 4,000 ล้านบาท หลังจากเปิดให้จองเป็นวันแรก
สำหรับสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนสนใจจองซื้อเข้ามาจำนวนมาก สืบเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื่ออำนวยต่อการลงทุนและคาดการได้ยาก จากได้รับผลกระทบจากปัญหาจากต่างประเทศ และดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารต่ำ ทำให้นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทจากที่บริษัทมีความมั่นคงและให้ดอกเบี้ย 5.20%
ทั้งนี้ การที่บริษัทมีการเสนอขายหุ้นกู้ในขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมจากสภาพคล่องทางการเงินในระบบมีพอสมควร เป็นการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัท เพราะบริษัทขนาดใหญ่ไม่ว่าเป็น ปตท. ปูนซีเมนต์ ฯลฯ มีการอออกหุ้นกู้ และทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมดบริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้
“การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จำนวน 4 พันล้านบาท จากที่ขอไว้ว่าจะเสนอขายไม่เกิน 7.5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งที่2 จากก่อนหน้านี้เสนอขายไปแล้ว 7.5 พันล้านบาท และบริษัทยังมีวงเงินเหลือที่จะสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 3.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะออกได้ปีหน้าซึ่งก็จะครบวงเงินที่ขอบอร์ดอนุมัติไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท” นางปาหนัน กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังไม่มีแผนที่จะมีการซื้อหุ้นคืนจากการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทยังมีหนี้ที่สูง และมีภาระที่จะต้องชำระคืนหนี้ตามระยะเวลาที่กำหนดจึงไม่เหมาะสมที่จะทำเพราะ บริษัทที่จะทำต้องมีหนี้ต่ำ และมีเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า และการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงนั้นเชื่อว่าเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนระยะสั้น แต่นักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนยาวนั้นยังไม่ได้มีการขายหุ้นของบริษัทออกมา
นางปาหนัน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี2550 ที่มีรายได้รวม 7,289 ล้านบาท ถึงแม้ยอดการใช้ทางด่วนของประชาชนจะลดลงเหลือประมาณกว่า 8 แสนคันต่อวัน จากปีก่อนที่ประมาณกว่า 9 แสนคันต่อวัน เพราะ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและแรงในช่วง 9 เดือนแรก และยังไม่สามารถรับรู้รายได้ค่าทางด่วนวงแหวนใต้ได้ทำให้ปริมาณรถหายไป 40,000 คันต่อวัน
ทั้งนี้บริษัทจะได้รับรู้รายอื่นเข้ามาจากการเสนอขายหุ้นบริษัทน้ำประปา จำกัด (มหาชน)หรือ TTW และได้รับเงินปันผลจากน้ำประปาเข้ามาในงบการเงินไตรมาส4 ประมาณ 50 ล้านบาท จากที่ถือหุ้นกว่า 300 ล้านหุ้น และการที่บริษัทมีการปรับค่าด่วนทางขึ้นในเดือนกันยายนก็ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น จึงทำให้สามารถช่วยทำให้รายได้รวมปีนี้ของบริษัทสามารถใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาได้
สำหรับแผนการดำเนินงานปีหน้าจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตลดลงนั้น บริษัทจะมีการควบคุมในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้นและเตรียมแผนที่จะเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัท ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยโตได้ 2-3% โดยเชื่อว่าการใช้ทางด่วนของประชาชนจะไม่เติบโต แต่บริษัทจะมีรายได้รวมปี2552เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี2551 เพราะ บริษัทจะรับรู้รายได้จากการปรับขึ้นค่าทางด่วนเต็มปีและรับรู้รายได้จากการเก็บค่าทางด่วนวงแหวนใต้ที่จะเริ่มเก็บในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
“จากปัญหาวิกฤตทางการเงินสหรัฐนั้นบริษัทก็จะพยายามที่จะไม่มีการดำเนินทางไปโรดโชว์ในต่างชาติจากที่ได้รับผลกระทบ แต่จะหันมาโรดโชว์ให้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อยแทน เพื่อที่จะให้ข้อมูลและเข้ามาซื้อขายชดเชยกับนักลงทุนต่างชาติที่มีการขายออกไป ” นางปาหนัน กล่าว
นางปาหนัน โตสุวรรณถาวร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BECL เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายน 51 ว่า นักลงทุนได้แสดงความสนใจจองซื้อหุ้นกู้เข้ามาเป็นจำนวนมากจนเต็มจำนวนทั้ง 4,000 ล้านบาท หลังจากเปิดให้จองเป็นวันแรก
สำหรับสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนสนใจจองซื้อเข้ามาจำนวนมาก สืบเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นไม่เอื่ออำนวยต่อการลงทุนและคาดการได้ยาก จากได้รับผลกระทบจากปัญหาจากต่างประเทศ และดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารต่ำ ทำให้นักลงทุนหันเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทจากที่บริษัทมีความมั่นคงและให้ดอกเบี้ย 5.20%
ทั้งนี้ การที่บริษัทมีการเสนอขายหุ้นกู้ในขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะสมจากสภาพคล่องทางการเงินในระบบมีพอสมควร เป็นการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัท เพราะบริษัทขนาดใหญ่ไม่ว่าเป็น ปตท. ปูนซีเมนต์ ฯลฯ มีการอออกหุ้นกู้ และทิศทางดอกเบี้ยในระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ทั้งหมดบริษัทจะนำไปชำระคืนหนี้
“การเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้จำนวน 4 พันล้านบาท จากที่ขอไว้ว่าจะเสนอขายไม่เกิน 7.5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งที่2 จากก่อนหน้านี้เสนอขายไปแล้ว 7.5 พันล้านบาท และบริษัทยังมีวงเงินเหลือที่จะสามารถออกหุ้นกู้ได้อีก 3.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะออกได้ปีหน้าซึ่งก็จะครบวงเงินที่ขอบอร์ดอนุมัติไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท” นางปาหนัน กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังไม่มีแผนที่จะมีการซื้อหุ้นคืนจากการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากบริษัทยังมีหนี้ที่สูง และมีภาระที่จะต้องชำระคืนหนี้ตามระยะเวลาที่กำหนดจึงไม่เหมาะสมที่จะทำเพราะ บริษัทที่จะทำต้องมีหนี้ต่ำ และมีเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า และการที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงนั้นเชื่อว่าเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนระยะสั้น แต่นักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุนยาวนั้นยังไม่ได้มีการขายหุ้นของบริษัทออกมา
นางปาหนัน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี2550 ที่มีรายได้รวม 7,289 ล้านบาท ถึงแม้ยอดการใช้ทางด่วนของประชาชนจะลดลงเหลือประมาณกว่า 8 แสนคันต่อวัน จากปีก่อนที่ประมาณกว่า 9 แสนคันต่อวัน เพราะ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและแรงในช่วง 9 เดือนแรก และยังไม่สามารถรับรู้รายได้ค่าทางด่วนวงแหวนใต้ได้ทำให้ปริมาณรถหายไป 40,000 คันต่อวัน
ทั้งนี้บริษัทจะได้รับรู้รายอื่นเข้ามาจากการเสนอขายหุ้นบริษัทน้ำประปา จำกัด (มหาชน)หรือ TTW และได้รับเงินปันผลจากน้ำประปาเข้ามาในงบการเงินไตรมาส4 ประมาณ 50 ล้านบาท จากที่ถือหุ้นกว่า 300 ล้านหุ้น และการที่บริษัทมีการปรับค่าด่วนทางขึ้นในเดือนกันยายนก็ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น จึงทำให้สามารถช่วยทำให้รายได้รวมปีนี้ของบริษัทสามารถใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาได้
สำหรับแผนการดำเนินงานปีหน้าจากที่ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตลดลงนั้น บริษัทจะมีการควบคุมในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้นและเตรียมแผนที่จะเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัท ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยโตได้ 2-3% โดยเชื่อว่าการใช้ทางด่วนของประชาชนจะไม่เติบโต แต่บริษัทจะมีรายได้รวมปี2552เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี2551 เพราะ บริษัทจะรับรู้รายได้จากการปรับขึ้นค่าทางด่วนเต็มปีและรับรู้รายได้จากการเก็บค่าทางด่วนวงแหวนใต้ที่จะเริ่มเก็บในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า
“จากปัญหาวิกฤตทางการเงินสหรัฐนั้นบริษัทก็จะพยายามที่จะไม่มีการดำเนินทางไปโรดโชว์ในต่างชาติจากที่ได้รับผลกระทบ แต่จะหันมาโรดโชว์ให้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศและรายย่อยแทน เพื่อที่จะให้ข้อมูลและเข้ามาซื้อขายชดเชยกับนักลงทุนต่างชาติที่มีการขายออกไป ” นางปาหนัน กล่าว