ส่งออก-บีโอไอ-ททท. เสนอตั้งทีมเศรษฐกิจ โดยมี “อภิสิทธิ์”นำทัพออกโรดโชว์ตลาดต่างประเทศ เริ่มที่ญี่ปุ่น จีน อาเซียน ตะวันออกกลาง และรัสเซีย ตั้งแต่ม.ค.-เม.ย.ปีหน้า หวังฟื้นความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ด้าน “พรทิวา”สั่งจัดเวิร์กชอปส่งออก 7 ม.ค. ทำแผนผลักดันส่งออกร่วมภาคเอกชน
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อหามาตรการในการฟื้นความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ว่า จะเสนอให้รัฐบาลตั้งทีมเศรษฐกิจไทย ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และเดินทางออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนม.ค.-เม.ย.2552 เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจต่างประเทศในการขยายการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว
“เป้าหมายของเรา จะมุ่งไปยังประเทศที่มีศักยภาพในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สำหรับประเทศไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น ตั้งเป้าจะเดินทางไปในช่วงปลายเดือนม.ค. จีน เดือนก.พ. โดยจะไปก่อนวันเทศกาลตรุษจีน ตามต่อด้วยประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย ตะวันออกกลาง และรัสเซีย ซึ่งจะมีการเสนอให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงรับทราบ และเสนอให้รัฐมนตรีเสนอต่อรัฐบาลต่อไป ซึ่งหากเห็นชอบก็จะดำเนินการทันที”นายราเชนทร์กล่าว
ทั้งนี้ องค์ประกอบของทีมเศรษฐกิจไทยนั้น จะเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นหัวหน้าทีม ทีมงานประกอบด้วย รมว.พาณิชย์ รมว.อุตสาหกรรม รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 กระทรวงเข้าร่วม พร้อมกันนี้ จะให้มีภาคเอกชน 3 สถาบัน และสภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยร่วมด้วย
ส่วนรูปแบบการทำงานของทีมเศรษฐกิจ จะเดินทางไปยังประเทศเป้าหมาย และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของประเทศที่ไปเยือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวกับประเทศไทย การจัดปาฐกถาพิเศษ โดยมี นายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีของไทย เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลศักยภาพของประเทศไทย ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยเชิญชวนนักธุรกิจเข้าร่วมการสัมมนาอย่างน้อย 300-400 คน
ขณะเดียวกัน จะมีการจัดเลี้ยงรับรองและการจัดนิทรรศการ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และอาหารไทย ทั้งนี้ จะมีการจัดแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในงานด้วย โดยเชิญผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนเข้าร่วม จำนวน 300-400 คน การจัดเจรจาการค้าระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาครัฐและเอกชนในประเทศนั้นๆ โดยเชิญผู้ส่งออกสินค้าหลักของไทยไปเจรจาการค้า (Business Matching) กับนักธุรกิจที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า
นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการททท. กล่าวว่า นักท่องเที่ยวในตลาดยุโรปได้กลับมาท่องเที่ยวบ้างแล้ว แต่ตลาดที่ยังมีความอ่อนไหวอยู่ คือ ญี่ปุ่นและจีน โดย 2 ตลาดนี้มีนักท่องเที่ยวรวมกันมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี จึงนับเป็นตลาดขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในตลาดจีน ททท.กำลังดำเนินการผลักดันให้รัฐบาลจีนยกเลิกประกาศห้ามคนของจีนเดินทางเข้ามาไทย ผ่านเวทีต่างๆ ทั้งในระดับรัฐมนตรี และระดับรัฐบาล
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขธิการบีโอไอ กล่าวว่า นักลงทุนได้สูญเสียความเชื่อมั่นหลังการปิดสนามบิน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านทางสนามบิน แม้ก่อนหน้านี้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะไม่ขาดความเชื่อมั่นง่ายๆ แม้จะมีการประท้วงหลายครั้ง ดังนั้น หากไม่เร่งแก้ไขสถานการณ์ด้วยการฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมา นอกจากการลงทุนใหม่จะไม่เกิดขึ้นแล้ว การลงทุนที่มีอยู่อาจย้ายฐานไปลงทุนประเทศอื่นด้วย
ทั้งนี้ สถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนระหว่างม.ค.-25 ธ.ค.2551 พบว่ามีการขอรับส่งเสริม 1,261 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 446,002 ล้านบาท ลดลง 36% ส่วนใหญ่เป็นการขอรับส่งเสริมในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารและสาธารณูปโภค 356 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 165,233 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักกรและเหล็ก จำนวน 253 โครงการ มูลค่า 77,266 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวน 210 โครงการ มูลค่าลงทุน 68,620 ล้านบาท
“สิ่งที่เราต้องย้ำให้นักธุรกิจนักลงทุนเข้าใจ ก็คือ เรื่องความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล ที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ก็ยังยึดมั่นในการให้ความสำคัญการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุน รวมทั้ง ยังได้กำหนดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นเพื่อหาแนวทางกำหนดแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่จะส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งของภาคธุรกิจ” นางอรรชกากล่าว
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในวันที่ 7 ม.ค.2552 ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออก ไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กชอป) โดยเชิญผู้ผลิตสินค้าในสาขาต่างๆ ทั้งเกษตรและอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจบริการ มาหารือเพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออก รวมทั้งให้เสนอแนะปัญหา และสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปถึงแนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ที่ชัดเจน
“น่าจะเห็นภาพชัดเจนว่าการส่งออกในปีหน้าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งจะได้รู้ว่าผู้ส่งออกมีปัญหาอะไร และหากปัญหานั้นๆ ได้รับการแก้ไข บวกกับมาตรการต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์จะนำมาให้ความช่วยเหลือ ก็จะรู้ว่าการส่งออกในปีหน้าจะผลักดันให้ขยายตัวได้หรือไม่”นางพรทิวากล่าว
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อหามาตรการในการฟื้นความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ว่า จะเสนอให้รัฐบาลตั้งทีมเศรษฐกิจไทย ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และเดินทางออกไปโรดโชว์ในต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนม.ค.-เม.ย.2552 เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจต่างประเทศในการขยายการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว
“เป้าหมายของเรา จะมุ่งไปยังประเทศที่มีศักยภาพในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สำหรับประเทศไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น ตั้งเป้าจะเดินทางไปในช่วงปลายเดือนม.ค. จีน เดือนก.พ. โดยจะไปก่อนวันเทศกาลตรุษจีน ตามต่อด้วยประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย ตะวันออกกลาง และรัสเซีย ซึ่งจะมีการเสนอให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงรับทราบ และเสนอให้รัฐมนตรีเสนอต่อรัฐบาลต่อไป ซึ่งหากเห็นชอบก็จะดำเนินการทันที”นายราเชนทร์กล่าว
ทั้งนี้ องค์ประกอบของทีมเศรษฐกิจไทยนั้น จะเสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เป็นหัวหน้าทีม ทีมงานประกอบด้วย รมว.พาณิชย์ รมว.อุตสาหกรรม รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 กระทรวงเข้าร่วม พร้อมกันนี้ จะให้มีภาคเอกชน 3 สถาบัน และสภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยร่วมด้วย
ส่วนรูปแบบการทำงานของทีมเศรษฐกิจ จะเดินทางไปยังประเทศเป้าหมาย และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีของประเทศที่ไปเยือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย ทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวกับประเทศไทย การจัดปาฐกถาพิเศษ โดยมี นายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีของไทย เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลศักยภาพของประเทศไทย ด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมถึงการสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนตอบข้อซักถามของผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยเชิญชวนนักธุรกิจเข้าร่วมการสัมมนาอย่างน้อย 300-400 คน
ขณะเดียวกัน จะมีการจัดเลี้ยงรับรองและการจัดนิทรรศการ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และอาหารไทย ทั้งนี้ จะมีการจัดแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในงานด้วย โดยเชิญผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนเข้าร่วม จำนวน 300-400 คน การจัดเจรจาการค้าระหว่างภาคเอกชนไทยกับภาครัฐและเอกชนในประเทศนั้นๆ โดยเชิญผู้ส่งออกสินค้าหลักของไทยไปเจรจาการค้า (Business Matching) กับนักธุรกิจที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า
นายสันติชัย เอื้อจงประสิทธิ์ รองผู้ว่าการททท. กล่าวว่า นักท่องเที่ยวในตลาดยุโรปได้กลับมาท่องเที่ยวบ้างแล้ว แต่ตลาดที่ยังมีความอ่อนไหวอยู่ คือ ญี่ปุ่นและจีน โดย 2 ตลาดนี้มีนักท่องเที่ยวรวมกันมากกว่า 2 ล้านคนต่อปี จึงนับเป็นตลาดขนาดใหญ่ จำเป็นต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะในตลาดจีน ททท.กำลังดำเนินการผลักดันให้รัฐบาลจีนยกเลิกประกาศห้ามคนของจีนเดินทางเข้ามาไทย ผ่านเวทีต่างๆ ทั้งในระดับรัฐมนตรี และระดับรัฐบาล
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล เลขธิการบีโอไอ กล่าวว่า นักลงทุนได้สูญเสียความเชื่อมั่นหลังการปิดสนามบิน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องนำเข้าและส่งออกสินค้าผ่านทางสนามบิน แม้ก่อนหน้านี้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะไม่ขาดความเชื่อมั่นง่ายๆ แม้จะมีการประท้วงหลายครั้ง ดังนั้น หากไม่เร่งแก้ไขสถานการณ์ด้วยการฟื้นความเชื่อมั่นให้กลับมา นอกจากการลงทุนใหม่จะไม่เกิดขึ้นแล้ว การลงทุนที่มีอยู่อาจย้ายฐานไปลงทุนประเทศอื่นด้วย
ทั้งนี้ สถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนระหว่างม.ค.-25 ธ.ค.2551 พบว่ามีการขอรับส่งเสริม 1,261 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 446,002 ล้านบาท ลดลง 36% ส่วนใหญ่เป็นการขอรับส่งเสริมในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารและสาธารณูปโภค 356 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 165,233 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักกรและเหล็ก จำนวน 253 โครงการ มูลค่า 77,266 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวน 210 โครงการ มูลค่าลงทุน 68,620 ล้านบาท
“สิ่งที่เราต้องย้ำให้นักธุรกิจนักลงทุนเข้าใจ ก็คือ เรื่องความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล ที่แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ก็ยังยึดมั่นในการให้ความสำคัญการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากการออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุน รวมทั้ง ยังได้กำหนดตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นเพื่อหาแนวทางกำหนดแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่จะส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งของภาคธุรกิจ” นางอรรชกากล่าว
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในวันที่ 7 ม.ค.2552 ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออก ไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กชอป) โดยเชิญผู้ผลิตสินค้าในสาขาต่างๆ ทั้งเกษตรและอุตสาหกรรม พร้อมทั้งผู้ประกอบการธุรกิจบริการ มาหารือเพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออก รวมทั้งให้เสนอแนะปัญหา และสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือ ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปถึงแนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในปี 2552 ที่ชัดเจน
“น่าจะเห็นภาพชัดเจนว่าการส่งออกในปีหน้าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งจะได้รู้ว่าผู้ส่งออกมีปัญหาอะไร และหากปัญหานั้นๆ ได้รับการแก้ไข บวกกับมาตรการต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์จะนำมาให้ความช่วยเหลือ ก็จะรู้ว่าการส่งออกในปีหน้าจะผลักดันให้ขยายตัวได้หรือไม่”นางพรทิวากล่าว